จอมยุทธ์ระบบเลเวล Invincible Level Up - ตอนที่ 45
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 45 ยอมแพ้งั้นหรือ?
โจมตีต่อเนื่องสี่ครั้งติด!
มีเพียงฉินเทียนที่เป็นเกมเมอร์ผู้มากประสบการณ์เท่านั้นที่จะคิดการโจมตีเช่นนี้ออกมาได้
ภายในเกม การโจมตีติดต่อกันจะต้องพึ่งพาทักษะเดียว ทว่าในครั้งนี้เขาสามารถทำได้ด้วยการระเบิดความเร็วออกมา
ตอนนี้เขารู้สึกดียิ่ง กระนั้นใบหน้าของเขาก็ไม่เผยร่องรอยแต่อย่างใด
การโจมตีต่อเนื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในงานชุมนุมสี่ตระกูลใหญ่ มากที่สุดก็คือการโจมตีอย่างรวดเร็ว หากแต่มันไม่ได้มีความต่อเนื่องเพียงนี้ ทว่าตอนนี้ฉินเทียนกลับสามารถทำได้อย่างหมดจด
ฉากนี้ทำให้เหล่าผู้บ่มเพาะที่มีพรสวรรค์ระดับทั่วไปติดตาตรึงใจยิ่ง
หลังจากเหตุการณ์นี้ เหล่าผู้บ่มเพาะของเมืองชิงเหอต่างเร่งศึกษาการโจมตีต่อเนื่อง แต่นั่นก็เป็นเรื่องในอนาคต
“นายน้อยสามารถเคลื่อนไหวเช่นนี้ได้ นี่มันราวกับปาฏิหาริย์เลย” เมิ่งเล่ยปกปิดความยินดีไว้ไม่มิด ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความสุข ในใจรู้สึกเบิกบาน
ขั้นก่อตั้งวิญญาณระดับที่สามจ้าวยี่ถูกฉินเทียนสังหารโดยไม่มีแม้แต่โอกาสจะตอบโต้
แตกต่างเพียงหนึ่งระดับยังถือว่ามาก ฉินเทียนกระทั่งไม่ต้องโจมตีสุดกำลัง ถ้าเขาใช้ เช่นนั้นการต่อสู้คงจบลงในหมัดเดียวกระมัง?
ผู้ชมหลายพันเริ่มรู้สึกเลือดลมสูบฉีดด้วยความตื่นเต้น พวกมันไม่เคยเห็นการลงมือที่หมดจรดเช่นนี้มาก่อน อัตราต่อรองเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้กลายเป็นลงหนึ่งจ่ายสอง
ฉินเทียนกลายเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่มีสิทธ์ชนะเลิศ มีคนไม่น้อยเริ่มคาดหวังต่อเขา
ฉินเทียนหัวเราะก่อนจะนั่งลง เขามองไปยังเวทีประลองที่เสี่ยวหยูเฟิงกำลังต่อสู้อยู่ เขาไม่ต้องการจะพลาดชมแม้การเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยๆของมัน
ตั้งแต่ที่เสี่ยวหยูเฟิงก้าวขึ้นลานประลองไป กระบี่ในมือของมันไม่เคยหยุดนิ่ง ตัวกระบี่ส่งเสียงออกมาไม่ขาดสาย
เหนือเวทีประลองขึ้นไปคล้ายมีกระบี่นับพันเล่มหมุนวนอยู่ ราวกับว่ามันพร้อมจะพุ่งทะยานได้ทุกเมื่อ
ความแข็งแกร่งของมันน่ากลัวไม่เบา ยังมีท่าทางถือดีนั่นอีก มันไม่ได้เห็นคู่ประลองอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย สายตาของมันจับจ้องมายังฉินเทียนอย่างเย็นชาคล้ายกับผู้ที่คู่ควรมีเพียงฉินเทียน
“ช่างโอหังนัก….”
หลิวชางเสี่ยวสะบัดแขนเสื้อก่อนที่มีดสั้นอันปราณีตจะปรากฏขึ้นในมือของมัน
มีหลายคนที่ประหลาดใจ ฉินซานเทียนเองก็ทอดถอนใจ “ตระกูลหลิวช่างฟุ่มเฟือยนัก นำอาวุธวิญญาณระดับกลางออกมาโดยไม่กลัวถูกแย่งชิง”
ได้ยินฉินซานเทียนกล่าวเช่นนั้น ฉินเทียนก็เพ่งมองอย่างละเอียด เขารู้สึกเพียงว่ามันเป็นมีดสั้นที่สร้างขึ้นดีกว่าปกติเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อหลิวชางเสี่ยวโคจรพลังปราณ มีดสั้นนั้นก็พลันเกิดการเปลี่ยนแปลง…..
แสงสีน้ำเงินระเบิดออกมาห่อหุ้มตัวมีดจนมีสภาพคล้ายไลท์เซเบอร์ในสตาร์วอร์
อาวุธที่เปล่งแสงได้?
อาวุธวิญญาณระดับกลางสามารถถ่ายเทพลังปราณได้งั้นหรือ?
ฉินเทียนจ้องเขม็ง เขาต้องการดูว่าเสี่ยวหยูเฟิงจะรับมืออย่างไร
ที่บนเวทีประลอง เสี่ยวหยูเฟิงยังคงยืนวางท่า กระบี่พลันลอยขึ้นไปในอากาศ มันหันไปหาหลิวชางเสี่ยวก่อนจะกล่าวดูถูก “อาวุธวิญญาณระดับกลางงั้นหรือ?”
“อยู่ในมือเจ้าก็ไม่ต่างอะไรจากขยะ…”
กระบี่ของเสี่ยวหยูเฟิงมีความยืดหยุ่นไม่ต่างจากแส้ มันเริ่มบิดเบี้ยวก่อนจะหายไป
หลิวชางเสี่ยวลอบตื่นตระหนก มันรีบหันมองรอบตัว กระทั่งพบกระบี่กำลังแหวกฝ่าอากาศเข้ามาหามัน “ลอบโจมตีงั้นหรือ เจ้าก็ทำได้เพียงนี้”
มันตวัดมีดสั้นออกไป…
กระนั้นกระบี่กลับหายไปอีกหน มันหายไปเพียงชั่วกระพริบตา ฉับพลันหลิวชางเสี่ยวก็เสียวสันหลังวาบ ไม่ทันที่มันจะทันตอบสนองใดๆ แผ่นหลังของมันก็รับหมัดอันหนักหน่วงจนลอยออกเวทีประลองไป
เพียงการลงมือเดียว!
ฉับพลันกลิ่นอายของเสี่ยวหยูเฟิงพุ่งตรงเข้ากดดันฉินเทียน พร้อมกับที่แผ่กลิ่นอายมา กระบี่ของมันก็ส่งเสียงกระหึ่มขึ้น….
“บังอาจ!”
เสียงของฉินซานเทียนดังกึกก้องราวฟ้าผ่า กลิ่นอายอันเข้มข้นพลันทะลักออกมาสลายกลิ่นอายของเสี่ยวหยูเฟิงไป มันหันไปมองเสี่ยวลี่อย่างเย็นชาและแค่นเสียง “เลี้ยงดูได้ดี”
สีหน้าของเสี่ยวลี่เปลี่ยนเป็นดำคล้ำขณะขบฟันแน่น มันมีโทสะอยู่แล้วเนื่องเพราะบุตรีถูกฉินเทียนตบหน้า ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นมันก็ทราบว่าไม่อาจใช้ตระกูลฉินพาทะยานได้แล้ว ดังนั้นมันจะไม่ปราณี! ตราบเท่าที่คู่ประลองมาจากตระกูลฉิน พวกมันต้องตาย!
ตราบเท่าที่ฉินเทียนถูกกำจัด พวกมันก็สามารถหันไปประจบเอาใจตระกูลจ้าวเพื่อยกระดับตระกูล
หลังสูดหายใจเข้าลึก เสี่ยวลี่ก็ยิ้มอย่างเย็นชา
แต่ตอนนี้พวกมันจะต้องอดทนไว้ก่อน
เมื่อเห็นเช่นนั้น รอยยิ้มจางๆก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจ้าวอู่ตี้
พรสวรรค์ที่ฉินเทียนแสดงออกมานับเป็นภัยคุกคาม ทักษะการฆ่าของเขาก็เรียกได้ว่ามีพรสวรรค์จนสามารถสั่นคลอนฐานะตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองชิงเหอของพวกมัน ทว่าตอนนี้ดูเหมือนจะมีผู้อื่นมารับหน้าที่ในการกำจัดภัยคุกคามนี้แล้ว
มองดูใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังของเสี่ยวหยูเฟิง นั่นทำให้มันนึกย้อนไปถึงการประลองเมื่อห้าปีที่แล้วที่ฉินเทียนเอาชนะเสี่ยวหยูเฟิงอย่างขาดลอย ด้วยความแค้นอันลึกล้ำนี้ เมื่อทั้งสองได้มาเผชิญหน้ากันก็คงมีหนึ่งเดียวเท่านั้นที่จะรอด
สำหรับตระกูลจ้าวแล้ว นี่เป็นสถานการณ์ที่น่ายินดีอย่างมาก
และเมื่อเป็นเช่นนั้น ทั้งหมดที่มันต้องกระทำก็คือ จัดหนึ่งในพวกมันให้ต่อสู้กับจ้าวคงในรอบสุดท้าย…
หลังจกานั้นมันก็หันไปผงกศีรษะเบาๆให้ผู้ตัดสินจากตระกูลจ้าวที่นั่งอยู่ในหมู่ผู้ตัดสิน
ผู้ตัดสินตระกูลจ้าวส่งสัญญาณกลับมา
หลังจากจบรอบที่สี่ ก็คงเหลือผู้เข้าร่วมเพียงสิบสองคน ในหมู่ผู้เข้าร่วมทั้งสิบสอง ฉินเฟิงเป็นเพียงผู้เดียวที่เป็นผู้ฝึกตนขั้นที่เก้า ผู้เข้าร่วมคนอื่นๆที่เหลือล้วนแต่อยู่ในขั้นก่อตั้งวิญญาณ และในหมู่สิบสองคนนั้น มีคนจากสี่ตระกูลใหญ่ถึงแปดคน
หลังจากได้พักช่วงสั้นๆ การประลองรอบที่ห้าก็ได้เริ่มขึ้น คู่ต่อสู้ที่เข้ามาอยู่ทีีนี่ได้ล้วนแต่แข็งแกร่งกว่าสี่รอบที่ผ่านมา แต่แม้จะทราบเช่นนั้นฉินเทียนก็ยังคงนิ่งเฉย ใบหน้าของเขาไม่มีร่องรอยความกังวลแม้แต่น้อย
ที่ด้านข้างเขา ฉินเฟิงกำลังหอบหายใจอย่างหนักหน่วง มันได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากการประลองรอบก่อนหน้า สำหรับมัน การประลองรอบที่ห้าอาจจะเป็นขีดจำกัดของมันแล้ว
“หากได้เจอกับเสี่ยวหยูเฟิง จะดีกว่าหากเจ้าจะถอนตัว” ฉินเทียนหันไปมองฉินเฟิงก่อนจะเอ่ยเตือนแผ่วเบา
ฉินเฟิงขมวดคิ้วหันกลับมามองฉินเทียน สีหน้าของมันเปลี่ยนไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ตอบคำ
ในใจของมันทราบดีว่าที่ฉินเทียนบอกนั้นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว เสี่ยวหยูเฟิงอาจจะยั้งมือให้ให้ศิษย์ตระกูลหลิว แต่นั่นจะไม่เกิดขึ้นกับศิษย์ตระกูลฉินอย่างแน่นอน
การตายในเวทีประลองถือเป็นเรื่องปกติ เว้นเสียแต่การลงมือจะมุ่งร้ายอย่างโจ่งแจ้ง ไม่เช่นนั้นกรรมการก็จะไม่ยื่นมือเข้าไปสอด
การลงมือของเสี่ยวหยูเฟิงที่เอาชนะขั้นก่อตั้งวิญญาณระดับที่สามหลิวชางเสี่ยวไปเป็นการโจมตีที่คาดเดาทิศทางไม่ได้ แล้วมันจะสามารถรับมือได้อย่างไร? ฉินเฟิงไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อย
พร้อมกันนั้น การประลองรอบที่ห้าก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ถึงรอบนี้ ฉินเทียนก็ล้วงลงไปหยิบกระดาษออกมาคลี่อ่าน เขาค่อนข้างผิดหวังเพราะว่าคู่ต่อสู้ไม่ใช่เสี่ยวหยูเฟิง
คู่ประลองของเขาเป็นศิษย์จากตระกูลเล็กๆ เมื่อศิษย์ผู้นั้นขึ้นมาบนเวทีประลอง มันก็ยิ้มและกล่าวว่า “ข้าได้เห็นความแข็งแกร่งของเจ้าแล้ว ข้ายอมแพ้!”
หลังจากโยนผ้าออกไป มันก็ก้าวลงจากเวทีพร้อมด้วยเสียงเชียร์ ไม่มีผู้ใดคิดดูถูกมัน หลายคนรู้สึกชื่นชมการกระทำของมัน
“ยอมแพ้งั้นหรือ?” ฉินเทียนยิ้มก่อนจะลงจากเวที
โชคของฉินเทียนไม่เลวเลย กระนั้นฉินเฟิงกลับไม่โชคดีเหมือนเขา คู่ประลองของมันคือ เสี่ยวหยูเฟิง
บนเวทีประลอง ฉินเฟิงรับสายตาที่ดูถูกจากเสี่ยวหยุเฟิง ในใจของมันพลันเดือดพล่าน สองหมัดกำแน่น ทว่าสุดท้ายมันก็คลายฝ่ามือและก้าวลงจากเวที
แม้ว่ามันจะไม่ต้องการทำเช่นนั้น แต่มันก็ทราบดีว่ามันยังไม่แข็งแกร่งพอจะต่อกรกับเสี่ยวหยูเฟิง หากว่ามันฝืนประลองไป มันก็อาจจะรับมือการโจมตีจากเสี่ยวหยูเฟิงไม่ได้จนต้องทิ้งชีวิตไว้
มองไล่หลังฉินเฟิงที่เลือกถอนตัว เสี่ยวหยูเฟิงก็กล่าวดูถูก “เศษสวะ”
คำ ‘เศษสวะ’ ที่ดังออกจากปากมัน กระทั่งฉินเทียนที่อยู่ด้านล่างลานประลองก็ยังได้ยินอย่างแจ่มชัด และแน่นอนว่าฉินเฟิงย่อมต้องได้ยินเช่นกัน กระนั้นใบหน้าของมันก็ยังเรียบเฉยขณะขบฟันแน่น
ฉินเทียนยิ้มเย็นชา ประกายความไม่แยแสวูบผ่านม่านตา ความต้องการฆ่าของเขาพลันเข้มข้นขึ้น….