จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 526 ปราณแท้บริสุทธิ์
ผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานทั้งหกที่ร่อนลงมายังพื้นดิน สวมชุดที่ แตกต่างกัน ไม่มีระบบที่ดูเป็นเอกภาพ คนที่พูดขึ้นเป็นชายหนุ่มในชุด เสื้อฟ้า แต่งตัวเหมือนจอมยุทธ์น้อย แบกกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง ใบหน้า หยิ่งยโสจ้องมองหลี่มู่ด้วยสายตาขบขันและความที่เหนือกว่า ราวกับ มองของเล่นชิ้นเล็กชิ้นหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
แต่ว่า หลี่มู่ตอนนี้เปลือยเปล่าทั่วร่าง เอวคาดพืชน้ำอยู่ เส้นผมขน คิ้วไม่มี ทั้งตัวดําปิ๊ ดปี๋ จนดูแย่จริงๆ ถูกคนเรียกว่าลิงป่าก็ไม่ใช่เรื่องที่ เกินคาดอะไร
หัวหน้าของผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานทั้งหก ไว้หนวดไว้เคราอายุ อานามน่าจะสักสามสิบกว่า กวาดมองหลี่มู่ทั้งบนล่าง เอ่ยขึ้นว่า “ลิง เสียที่ไหน นี่มันคนป่าจากชายขอบเทือกเขามังกรแห่งบาป…นี่ เห็น ปีศาจสาวใสชุดสีเขียวบ้างหรือไม่?”
พริบตานี้ หลี่มู่ก็สัมผัสได้อย่างชัดเจน ใต้บึงน้ำด้านหลังทางทิศ ของหินก้อนนั้น มีคลื่นพลังส่งออกมาแวบหนึ่งแล้วหายไปทันที เห็นได้ ชัดว่า ‘นางเงือกสีเขียว’ ที่ซ่อนอยู่ในมุมมืดสามารถได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งหมดบนฝั่ ง ซึ่งตอนนี้เครียดจนถึงขีดสุดแล้ว
แต่ว่าผู้แข็งแกร่งฟ้าประทานเหล่านี้ ก็ไม่ได้รู้สึกตัวเลย
ถึงอย่างไรพลังการสัมผัสของพวกเขาก็ยังห่างชั้นจากหลี่มู่อยู่เยอะ มาก
หลี่มู่ไม่พูดอะไร เพียงสั่นศีรษะ
“ไม่เห็นจริงๆ หรือ?” จอมยุทธ์น้อยเสื้อฟ้าชักกระบี่ยาวออกจาก ข้างเอว ชี้ไปยังหน้าผากของหลี่มู่ เอ่ยขึ้นอย่างไม่เกรงใจว่า “ข้าจะบอก เจ้านะ ปีศาจสาวนั่นเป็นปลาที่หลุดออกจากแหของลัทธิมาร พวกเรา พันธมิตรสี่เมืองกําลังไล่ตามอย่างสุดกําลัง ถ้าเจ้ากล้าซ่อนตัวนางไว้ ก็ ถือว่าเป็นศัตรูของพันธมิตรสี่เมืองของพวกเราด้วย ถึงตอนนั้น ชนเผ่า คนป่าน้อยใหญ่บนเขามังกรแห่งบาปอย่างพวกเจ้า จะต้องถูกฝัง ด้วยกันเพราะตัวนาง”
หลี่มู่ยังคงสั่นศีรษะ ไม่พูดจา
ไม่ว่าจะเป็นกิมย้งหรือโก้วเล้ง บทประพันธ์หรือละครเกี่ยวกับจอม ยุทธ์มากมายเหล่านั้น จะไปจะมาก็ล้วนบอกหลักการที่แท้จริงข้อหนึ่ง แก่ทุกคน คนจากลัทธิมารไม่แน่ว่าจะเป็นพวกที่ชั่วร้าย และพวกฝ่าย ธรรมะก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคนดี
ในเมื่อไม่สามารถยืนยันได้ว่าคนเหล่านี้ดีหรือเลว ก็ทําตัวเป็นแขก ที่เดินผ่านไปก่อนก็แล้วกัน
“สั่นศีรษะเป็นอย่างเดียว พูดไม่เป็นหรือ? เจ้าเป็นใบ้หรือไรกัน?” ชายหนวดเคราพิจารณาตัวหลี่มู่ เลิกคิ้วเล็กน้อย
รูปร่างคนป่าคนนี้แตกต่างออกไป ดูระดับสูงกว่าคนป่าทั่วไป เล็กน้อย แต่ทั่วตัวบนล่างไม่ได้มีคลื่นปราณแท้ใดๆ เลย ดูแล้วไม่เหมือน พวกสาวกลัทธิมารปลอมตัวมา ว่ากันว่าคนป่ารอบๆ เทือกเขามังกร แห่งบาปล้วนตัวดําเหมือนถ่าน ภาษาที่ใช้แปลกประหลาด ไม่เข้าใจ ภาษาทางการ ทั้งหมดนี้ล้วนสอดคล้องกับลักษณะพิเศษของคนป่าใน เทือกเขามังกรแห่งบาปทั้งสิ้น
“ค้นหารอบๆ” ชายหนวดเคราเอ่ยขึ้น
ความสนใจของคนอื่นๆ ได้ผละจากตัวหลี่มู่ไป และได้ค้นหาอย่าง ละเอียดจนทั่วหุบเขา แต่ละคนยังมีสิ่งของอย่างหนึ่งที่เหมือนจานสีเงิน เมื่อกรอกปราณแท้เข้าไปจะสาดแสงอ่อนๆ ออกมาชี้นําทิศทางการ ตรวจค้น และยังทําการตรวจดูในบึงจากริมฝั่ งแล้วด้วย แต่ท้ายสุดก็ไม่ พบเบาะแสอะไร
“ไปเถอะ ไปค้นหาสถานที่อื่นต่อ จะต้องหาตัวปีศาจสาวลัทธิมาร นี้เจอแน่นอน” ชายหนวดเคราเอ่ยขึ้น
จอมยุทธ์น้อยเสื้อฟ้าชี้กระบี่ไปทางหลี่มู่ เอ่ยว่า “แล้วเจ้าคนป่าคน นี้ทําอย่างไรดี? สังหารทิ้งไปเลยไหม?”
ชายหนวดเคราตอบกลับ “ช่างเถอะ แค่มดตัวเดียวเท่านั้น ไม่ต้อง ให้เป็นเรื่องใหญ่โต สังหารเขาไปอาจจะยั่วยุเผ่าคนป่าจากในภูเขาก็ได้ คนป่าพวกนั้นเวลาบ้าขึ้นมาจะไม่กลัวตายไม่สนอะไรทั้งสิ้น ถึงแม้จะไม่ น่ากลัวนัก แต่ก็ยังยุ่งยากอยู่ดี…ไปเถอะ”
จอมยุทธ์เสื้อฟ้าในใจไม่ค่อยยอม ใช้กระบี่ชี้ไปยังหลี่มู่พร้อมยิ้ม เย็นชา ทําท่าเชือดคอขู่ “เหอๆ ก็แค่มด” จากนั้นจึงทะยานตัวออกไป พร้อมคนอื่นด้วยสีหน้าถากถาง ร่างแปรเป็นลําแสงหายลับไปบน ท้องฟ้าไกลลิบ
หลี่มู่หัวเราะเหอในใจ แต่ยังคงไม่ได้ลงไม้ลงมือ
เขากําลังคิดจะหยิบเอาเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมาจากช่องเก็บของมิติ เพื่อเปลี่ยน ในบึงน้ำด้านหลังมีเสียงขึ้นจากน้ำที่เบาจนแทบไม่รู้สึก เสียงแหวกอากาศดังขึ้น จากนั้นดาบโค้งคมกริบเย็นเยียบราวน้ำแข็ง เล่มหนึ่งได้ยื่นมาจากด้านหลังพาดอยู่บนคอของหลี่มู่
กลิ่นหอมจางๆ ลอยมา สดชื่นเมื่อสูดดม
“ทําไมจึงช่วยข้าไว้?”
เสียงเย็นเยียบเหมือนหิมะบนยอดเขาน้ำแข็งพันปี น้ำเสียงมีความ เหน็บหนาวที่มีมาแต่กําเนิด
ด้ามดาบโค้งถูกกุมอยู่ในมือเรียวเล็กเหมือนกับต้นหอมของ ‘นาง เงือกสีเขียว’ เสื้อผ้าชุดเขียว ยังคงแนบเนื้อติดกับร่างของนาง เพราะยัง ไม่ถือว่าปลอดภัย นางจึงไม่ได้ใช้พลังเร่งให้เสื้อผ้าแห้ง
หลี่มู่ไม่ได้หันหลัง สั่นศีรษะ
“เจ้าเป็นใบ้จริงๆ หรือ?”
ดวงตาหญิงสาวคมกริบ ผมยาวสีเขียวอ่อนเปียกแปะอยู่ที่จอนผม มีความงามเพริศพริ้งและสวยเย็นอย่างโดดเด่น ดาบโค้งในมือคมกริบ จนลมพัดเส้นผมเข้ามายังขาด วางพาดอยู่บนคอหลี่มู่ ขยับเล็กน้อยเพื่อ ขู่ขึ้นมาอีกขั้น
หลี่มู่ยังคงไม่พูดจา
“ไสหัวไปเสีย อย่าให้ข้าเห็นเจ้าอีก” เมื่อเห็นอาการขี้ขลาดของห ลี่มู่เช่นนี้ บนใบหน้าของสาวงามปรากฏสีหน้ารังเกียจขึ้น หลังจากลังเล เล็กน้อยจึงเอ่ยขึ้นเสียงเย็น “หนีไปยิ่งไกลยิ่งดี ครั้งหน้าถ้าข้าเห็นเจ้า ข้าจะบั่นศีรษะของเจ้าเสีย”
หากทําตามวิธีของนางแต่ก่อน จะต้องสังหารคนป่าคนนี้ทิ้งอย่าง แน่นอน เพื่อที่จะไม่ทิ้งร่องรอยของตนเองเอาไว้
แต่เมื่อครู่ คนป่าคนนี้กลับยันเอายอดฝีมือจากพันธมิตรสี่เมือง ออกไป ถือว่าเป็นการช่วยชีวิตตนเองทางอ้อม
คนของลัทธิมาร บุญคุณความแค้นแยกอย่างชัดเจน
ต่อให้ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ก็ไม่สามารถฝ่าฝืนหลักการจนตอบ แทนบุญคุณด้วยความแค้นได้
หลี่มู่ยักไหล่
เป็นหญิงสาวที่มีเอกลักษณ์ดีจริงๆ
เขากําลังจะเดิน ตอนนี้สาวงามชุดเขียวด้านหลังจู่ๆ บนใบหน้าได้ ปรากฏแสงสีดําชั้นหนึ่งขึ้น อาการบาดเจ็บที่ฝืนทนมาตลอดได้แสดง อาการขึ้นมาอย่างกะทันหัน พริบตาได้กระอักเลือดออกมา ดาบโค้งใน มือร่วงผล็อย ล้มพับลงไปอย่างปวกเปียก ทับลงไปบนร่างของหลี่มู่และ สูญเสียสติสัมปชัญญะไป
มือทั้งคู่ของนาง กดเอวของหลี่มู่เอาไว้ด้วยจิตใต้สํานึก
“ไม่เป็นอย่างนี้ได้ไหมล่า”
หลี่มู่สั่นศีรษะอย่างจําใจ
จะทําอย่างไรได้ นี่เป็นสาวงามคนหนึ่งเลยนะ
ยิ่งไปกว่านั้น ลางสังหรณ์บอกกับหลี่มู่ว่าสาวงามชุดเขียวคนนี้ ถึงแม้จะอารมณ์ไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่ใช่คนเลวอะไร…ช่างเถอะ ช่วยได้ก็ ช่วยเสียหน่อยละกัน
สวรรค์มีคุณธรรมให้รักหวงแหนชีวิต ช่วยชีวิตหนึ่งก็ยังดีเสียกว่า สร้างสุสานให้กับคนตาย
เขาหยิบเอาเสื่อผ้าจากในมิติเก็บของออกมาเปลี่ยน จากนั้นอุ้ม หญิงสาวชุดเขียวเดินตรงไปยังด้านนอกของเขามังกรแห่งบาป
ระหว่างทาง แน่นอนว่าต้องพบกับทหารไล่ตามจากสี่เมือง พันธมิตรมากมาย
แต่พลังของหลี่มู่ ยิ่งใหญ่ขนาดไหน?
ถึงแม้ปราณแท้ทั่วร่างถูกใช้ไปจนหมดจากการต่อต้านสายฟ้า ทัณฑ์สวรรค์จนไม่สามารถบินได้ แต่ต่อให้ใช้เพียงความแข็งแกร่งของ กายเนื้อ ก็เพียงพอที่จะสยบผู้แข็งแกร่งขั้นมหาเทวะได้ ลางบอกเหตุ เฉียบคม กระโดดทะยานไปมาภายในเทือกเขา ซ่อนตัวจากทหารไล่ ตามได้อย่างสบายๆ
เมื่อพระอาทิตย์ตกจึงได้มาถึงรอบนอกเขามังกรแห่งบาป
ไม่พบกับตัวเมืองเลย หลี่มู่จึงหาสถานที่พักแห่งหนึ่งบนที่ราบรก ร้าง จัดการวางค่ายกลรวมวิญญาณขึ้น จุดคบไฟ วางร่างของหญิงสาว ชุดเขียวลงบนหญ้าแห้งที่ปูไว้อีกด้าน ป้อนยาลูกกลอนขจัดพิษฟื้ นฟู อาการบาดเจ็บลงไปเม็ดหนึ่ง จากนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก
หลี่มู่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางบนหินก้อนหนึ่งกลางค่ายกล เริ่มกระตุ้น สูดรับเอาพลังวิญญาณเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ
เมื่อมีการช่วยเหลือจากค่ายกลรวมวิญญาณ พลังวิญญาณจึง เข้มข้นกว่าด้านนอกหลายเท่าตัว
พลังวิญญาณในขั้นตอนนี้ เพียงพอกับเงื่อนไขการดูดซับ ‘วิชา ก่อนกําเนิด’ ของหลี่มู่อย่างหมิ่นเหม่
จากการหายใจของหลี่มู่ พลังวิญญาณฟ้าดินรอบๆ กลายเป็น กระแสวนของอากาศอย่างที่มองเห็นได้ด้วยตา รวมตัวเข้ามาหาเขา ต้นไม้ใบหญ้าภายในรัศมีเจ็ดจั้งล้วนราบลงไปพร้อมกัน ราวกับกําลังก้ม กราบหลี่มู่อย่างไม่หยุด
ความรู้สึกสบายที่คุ้นเคย ไหลเวียนอยู่ตามช่องเล็กๆ ในร่างกาย ราวกับผืนดินแห้งผากปะทะกับฝนห่าใหญ่อย่างไรอย่างนั้น พลัง วิญญาณถูก ‘วิชาก่อนกําเนิด’ กลั่นออกมาเป็นปราณแท้ ซึมเข้าสู่ทั่ว ร่างไขกระดูก ชโลมเอากายเนื้อที่เกือบจะแห้งผากของหลี่มู่
สองชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ดวงจันทร์ลอยขึ้นไปสูงสุดแล้ว
ดวงจันทร์บนโลกนี้ มีเพียงดวงเดียวเหมือนกับดาวโลก
พลังวิญญาณฟ้าดินรอบๆ รัศมีสองสามพันลี้ ล้วนถูกหลี่มู่ดูดซับ เข้ามากว่าเจ็ดแปดส่วน จากนั้นค่ายกลรวมวิญญาณจึงได้สลายไปตาม ธรรมชาติ สูญสิ้นคุณสมบัติไป
หลี่มู่กระตุ้นจนเสร็จสิ้น ลุกขึ้นมาขยับร่างกายสักหน่อย
ผิวหนังที่ถูกอัสนีผ่าจนดําเหมือนถ่าน ปริแตกบนร่างของเขาค่อยๆ ถอยกลับ กล้ามเนื้อเติบโตเริ่มฟื้ นฟู ขนคิ้วขึ้นมาแล้ว เส้นผมก็งอก ออกมาสั้นๆ ชั้นหนึ่ง จนเริ่มเหมือนมนุษย์ขึ้นมาบ้างแล้ว
“แปลก ปราณแท้ที่บําเพ็ญออกมาใหม่นี้ ดูเกาะกลุ่มมากกว่าแต่ ก่อน และชัดเจนมากกว่าเดิม พลานุภาพแข็งแกร่งขึ้น ราวกับเป็นพลัง ใหม่อย่างไรอย่างนั้น คล้ายๆ กับปราณแห่งความปั่ นป่วนเลย…หรือว่า เป็นเพราะข้าไปที่ดาวโลก ผ่านประสบการณ์พลังวิญญาณแห้งขอด แล้วยังมาต้านกับทัณฑ์สวรรค์อีก ดังนั้นในร่างกายจึงเกิดการ เปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น?”
หลี่มู่ทดสอบอย่างละเอียด ใบหน้าปรากฏแววยินดี
ถึงแม้ปราณแท้ที่เกิดขึ้นในร่างกาย จะเป็นเหมือนแค่เส้นผมบางๆ บนศีรษะ ยังห่างจากตอนที่สมบูรณ์ที่สุดอยู่ไกลแสนไกล แต่กลับเป็น จุดเริ่มต้นที่ดียิ่งกว่า
“หากยึดตามประสิทธิผลเช่นนี้ต่อไป ใช้เวลาเพียงแค่สองถึงสาม เดือน ปราณแท้ในร่างกายก็สามารถฟื้ นฟูกลับมาจนเต็มแล้ว อืม ปราณ แท้ที่บําเพ็ญออกมาใหม่นี้ ขอเรียกว่า….ปราณแท้บริสุทธิ์ก็แล้วกัน”
หลี่มู่พอใจกับความก้าวหน้าเช่นนี้มาก
สาวชุดเขียวหลับตาทั้งคู่ ยังอยู่ในสภาพสลบไสล
แต่ดูเหมือนนางจะกําลังตกอยู่ในฝันร้ายอันยาวนาน แสงจันทร์ที่ สาดส่องลงมาบนใบหน้าเกลี้ยงเกลา สีหน้ากลัวปรากฏความเสียใจและ หวาดกลัวออกมาเป็นระยะ ปากเอาแต่พึมพําเสียงต�าคําว่า ‘ท่านย่า ท่านย่า’ ออกมา เห็นได้ชัดว่ามีความสัมพันธ์กับย่าเป็นอย่างดี เป็นคนที่ สําคัญอย่างมากสําหรับชีวิตนาง
หญิงสาวชุดเขียวที่กําลังสลบไสล มีความงามอันน่าตกตะลึงถึง ที่สุด
ถ้าหากบอกว่าฮวาเสี่ยงหรงเป็นความงามบริสุทธิ์แบบโบราณ หวางซืออวี่เป็นความงามร่วมสมัยแล้วล่ะก็ หญิงสาวชุดเขียวคนนี้ก็คือ
ความงามอย่างเย็นชาถือดี ความยอดเยี่ยมของใบหน้าและระดับของ ความงดงามนั้น ไม่ได้แตกต่างอะไรจากฮวาเสี่ยงหรงกับหวางซืออวี่เลย
โดยเฉพาะในตอนที่ได้รับบาดเจ็บจนสลบไปเช่นนี้ ภายใต้การขับ เด่นของเส้นผมสีเขียวอ่อน ใบหน้านั้นมีความงามแบบที่เห็นแล้วก็ยัง รู้สึกต้องห่วงใยทนุถนอน
หลี่มู่เองก็ยังอดเหลือบมองมาหลายครั้งไม่ได้
…
…
เยี่ยอู๋เหินฝันร้าย
นางฝันเห็นตนเองย้อนกลับไปเมื่อสิบหกปีก่อนหน้า ที่อุทยาน ตระกูลเยี่ยมีเปลวไฟลุกโหมครั้งใหญ่ กลืนเอาบิดามารดาญาติพี่น้องไป ในความสับสนวุ่นวาย คุณย่าอุ้มตัวนางพุ่งหนีออกมาจากทะเลเพลิง
นางพยายามหันหน้ากลับ ร้องไห้กู่ตะโกน คิดจะมองใบหน้าบิดา มารดาให้ชัดเจน แต่ไม่ว่าจะพยายามสักเพียงไหน ก็ไม่สามารถเห็น ใบหน้าของพวกท่า เปลวไฟโหมกระหน้ำกลืนกินทุกอย่างลไป คุณย่า พาตัวเธอหนีและหนี แต่ว่ากลับถูกคนชุดดําที่มีใบหน้าไม่ชัดเจนไล่ สังหาร คุณย่าได้รับบาดเจ็บสาหัส ตะโกนให้นางหนีไปก่อน…
“ไม่ ท่านย่าไม่…ถ้าจะตาย เราต้องตายด้วยกัน”
นางตะโกน สะดุ้งพรวดลุกขึ้นนั่ง
ฝันร้ายได้หายไป
สายลมยามค�าคืนพัดหวิว เสียงสายน้ำไหลแว่วที่ข้างหู แสงจันทร์ นวลอบอุ่นตรงหน้าสาดลงมา ต้นไม้ใบหญ้าร่ายระบํา
รอบด้านเงียบสงัด กลิ่นหอมประหลาดจางๆ ลอยมาจากด้านหลัง
เยี่ยอู๋เหินมึนงง ความทรงจําหน่วงอยู่ครู่หนึ่ง แต่เพียงไม่นานนางก็ จดจําเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้ ความระแวดระวังพุ่งกลับขึ้นมา
นางหันหลัง มองเห็นที่ชายหาดริมแม่น้ำ กองไฟกองหนึ่งกําลังไหม้ ปะทุ ชายหนุ่มประหลาดคนหนึ่งในชุดคลุมยาวสีขาว กําลังใช้ดาบเล่ม หนึ่งแทงปลาใหญ่ตัวหนึ่ง และทําการย่างปลาอยู่บนกองไฟอย่างอดทน
กลิ่นหอมประหลาดนั้น ลอยมาจากบนปลาตัวใหญ่ที่ย่างกําลังจะ สุกตัวนี้นี่เอง
……………………………………