จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 529 คุณชายกระบี่พิณ
หลี่มู่ตัดสินใจผสมโรงนั่งชมมหรสพเสียหน่อย
ถ้าหากเทพกระบี่บัวเขียวคนนั่นมาจากดาวโลกจริงๆ ก็คงจะต้อง
ปกป้องลัทธิมารนี่เสียหน่อยแล้ว สิ่งที่ชาวโลกสืบสานเอาไว้ จะมาถูก
คนอื่นทําลายลงได้อย่างไร
ขณะที่พูดคุยกันอยู่ ได้มีเสียงรอยเท้าตึงตังเดินขึ้นมายังชั้นบน
ชาวยุทธจักรกลิ่นอายเหี้ยมหาญสิบกว่าคน สวมเสื้อสีฟ้า
เหมือนกัน ก้าวเท้ายาวขึ้นมายังชั้นสอง กวาดตาดูรอบด้าน จากนั้น
มายังโต๊ะข้างๆ ของหลี่มู่ ไล่พ่อค้าที่กําลังกินข้าวอยู่สองคนออกไป
อาวุธในมือฟาดลงกับโต๊ะ ตะโกนสั่งขึ้นเสียงดังให้ทางร้านรีบยกสุรากับ
อาหารออกมา ทําตัวเหมือนรอบข้างไม่มีคนอยู่
“คนจากเมืองธารเหมันต์แห่งพันธมิตรสี่เมือง” ติงอี้พูดเสียงต�า
หลี่มู่เหมือนคิดอะไรอยู่
เมื่อเป็นเช่นนี้ จอมยุทธน้อยเสื้อฟ้าที่เจอที่รอบนอกเขามังกรแห่ง
บาปคนนั้น ก็มาจากเมืองธารเหมันต์นี่เอง ดูจากธาตุแท้ของคนเมืองธารเหมันต์ทั้งสองกลุ่มนี่แล้ว ที่เรียกว่าพันธมิตรสี่เมืองแห่งความ
ถูกต้อง ดูท่าจะไม่ใช่เสียแล้ว
“ฮ่าๆ แค่บุกโจมตีก็ตีแตกสํานักชําระดาบหนึ่งในสี่ขั้วลัทธิมารจน
กระเจิงได้แล้ว พันธมิตรสี่เมืองของพวกเราครั้งนี้ ชื่อเสียงลืนลั่นทั่ว
ยุทธจักรแล้วจริงๆ” ศิษย์คนหนึ่งจากเมืองธารเหมันต์ดื่มสุราอย่าง
เพลิดเพลิน กระแทกแก้วสุราลงบนโต๊ะหนักๆ ทีหนึ่ง หัวเราะร่าเอ่ยขึ้น
ว่า “ฮ่าๆ มีความสุขจริงๆ เมืองธารเหมันต์ของพวกเราครั้งนี้ก็ได้ยืด
หน้ายืดตาเสียที ส่วนเทพธิดาเยี่ยอู๋เหินจากสํานักชําระดาบคนนั้น ไม่ใช่
ว่ากําเริบเสิบสานนักหรือ? เหอๆ ไม่ใช่ว่าถูกไล่ตามจนต้องหนีหัวซุกหัว
ซุนไปทั่วเหมือนสุนัขไร้บ้านหรือไรกัน แล้วก็ไม่เห็นเจ้าหนุ่มรูปงามพวก
นั้นมาช่วยนางเลย”
ศิษย์เมืองธารเหมันต์อีกคนหัวเราะเอ่ยขึ้น “ครั้งนี้ เป็นการลงมือ
ของพวกเราเมืองธารเหมันต์ เหอๆ คนที่พันธมิตรสี่เมืองจะสังหาร ใต้
หล้านี้ใครกันจะกล้ามาปกป้อง”
“ฮ่าๆ มีความสุขเสียจริง ครั้งนี้จะต้องสังหารไปจนถึงเมืองไป๋ตี้บน
ภูเขาสู่ หว่านแหรวบเจ้าพวกลัทธิมารให้เรียบ”
“แล้วจะต้องแย่งชิงทรัพย์สมบัติของลัทธิเทพ สาวงามเงินทอง
กลับไปยังเมืองธารเหมันต์ด้วยหรือไม่?” เสียงแปลกหน้าเสียงหนึ่งดึง
แทรกขึ้นมาศิษย์เมืองธารเหมันต์ที่อ้าปากพูดคนแรก หัวเราะร่าตอบกลับ
อย่างไม่ต้องคิด “ฮ่าๆ แน่นอนแน่นอน เมืองธารเหมันต์ของข้า…”
พูดได้ครึ่งเดียว เขาก็คิดขึ้นมาได้ว่าไม่ถูกต้อง ลุกขึ้นยืนพรวด
พราด มองไปยังทิศทางที่เสียงลอยมาก “เจ้าบ้าที่ไหนมาพูดเรื่อยเปื่ อย
เมืองธารเหมันต์ของข้าเป็นฝ่ายธรรมมะ สังหารลัทธิมารก็เพื่อปกป้อง
วิถีแห่งความถูกต้อง จะละโมภมักมายด้วยทรัพย์สินและสาวงามได้
อย่างไร?”
ศิษย์เมืองธารเหมันต์ต่างลุกขึ้นยืน ดาบกระบี่อยู่ในมือ สายตา
เดือดดาล
เสียงนั้นดังขึ้นมาจากข้างหลังฉากกันด้านซ้ายมือของหลี่มู่
ฉากกันไม้สีแดงสร้างขึ้นอย่างประณีต ฉลุแกะลายรูปร้อยนกกับ
พญาหงส์ แบ่งโถงใหญ่ชั้นสองกับห้องเล็กแยกจากกัน
ห้องส่วนตัวด้านหลังฉากกั้นไม้สีแดง คุณชายในชุดปราชญ์สีขาว
คนหนึ่ง ผ้าคาดผมสีทอง หน้าผากห้อยหยก เอวคาดเข็มขัดหยก มือถือ
พัดพับกระดูกหยกด้ามหนึ่ง ดูจากเบื้องหลังแล้ว ให้ความรู้สึกรักอิสระ
และองอาจ
ด้านข้างคุณชายชุดขาวคนนี้ มีสาวใช้วัยแรกแย้มยืนขนาบข้าง
ซ้ายขวาด้านละหนึ่งคน อายุราวสิบห้าสิบหกปี หน้าตาสะสวยน่ารักไร้เดียงสา อยู่ในชุด ‘กระโปรงจันทราทรงกลด’ สีขาวอ่อน ตัดเย็บรัดรูป
คนหนึ่งมือถือพิณ อีกคนหนึ่งสองมือรองกระบี่ บนตัวสาวใช้ทั้งสองพก
หยกประดับเงินด้วยเช่นกัน ดูค่อนข้างมีฐานะ ต่อให้เป็นลูกสาวของ
ครอบครัวตระกูลใหญ่ จับมาแต่งตัวก็ไม่แน่ว่าจะเทียบกับสาวใช้สะสวย
สองคนนี้ได้
คุณชายชุดขาวคนนั้น ผมดําดุจน�าตกไหลประถึงเอว ไม่แม้แต่จะ
หันหน้า เอ่ยขึ้นเสียงเย็นชาว่ “พอไม่ระวัง ก็เอาความคิดอันโสมมพูด
ออกมาจนหมดสินะ? เหอๆ ไม่ต้องปิดบังหรอก พวกพันธมิตรสี่เมือง
ล้วนเป็นพวกหน้าเนื้อใจเสือ สุภาพบุรุษสวมมงกุฎจอมปลอมทั้งนั้น บน
ยุทธจักรนี้ใครบ้างที่ไม่รู้”
บรรยากาศบนชั้นสองตึงเครียดขึ้นในพริบตา
ศิษย์คนหนึ่งของเมืองธารเหมันต์เดือดดาล “บังอาจ เจ้าเป็นใคร
กัน กล้ามาลบหลู่พันธมิตรสี่เมืองของพวกเรา? รนหาที่ตาย”
ชิ้งๆ
เสียงกระบี่ถูกชักออกจากฝัก
“จัดการเขาเสีย”
“ไม่รู้จักตายเสียแล้ว กล้ามาลบหลู่พันธมิตรสี่เมืองของพวกเรา”“จะต้องเป็นพวกเดียวกับลัทธิมารแน่ๆ สังหารพวกเขาเสีย”
เหล่าศิษย์เสื้อฟ้าจากเมืองธารเหมันต์กุมดาบกํากระบี่ พุ่งตรงเข้า
ไปยังฉากกั้น
แขกที่กินกันอยู่บนชั้นสอง เมืองเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้ว่าจะเกิด
อะไรขึ้น ทยอยๆ กันลุกขึ้นถอยฉาก
“เหอๆ แค่พวกปลาเหม็นกุ้งเน่าไม่กี่คน คิดจะเป็นศัตรูกับลัทธิเทพ
ของข้าหรือ?”
คุณชายเสื้อขาวไม่แม้แต่จะหันหน้า ยกมือดึงเอากระบี่ยาวที่สาว
ใช้ด้านซ้ายยื่นให้ พลิกมือแทงออกไป จากนั้นแสงกระบี่เก็บเข้าฝักทันที
คนทั้งหมดรู้สึกเหมือนพร่าลาย
ศิษย์เสื้อฟ้าเมืองธารเหมันต์ทั้งเจ็ดแปดคนที่กําลังพุ่งเข้ามายังฉาก
กั้นนั้น ร่างค้างนิ่งแข็งอยู่กับที่อยู่ในท่าโบกกระบี่โถมโจมตีเข้ามา แต่
กลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
พรึบ
ฉากกั้นร้อยนกพญาหงส์ขาดออกจากกันแยกเป็นแปดชิ้นอย่างพอ
ดิบพอดี ร่วงลงมาบนพื้นอย่างเป็นระเบียบเสียยิ่งกว่าเอาคนมาจัดเรียง
เสียอีกพริบตาเมื่อสักครู่ มีเพียงแสงกระบี่สายหนึ่ง แต่คุณชายชุดขาวได้
โบกกระบี่ไปถึงแปดครั้ง ไม่มีปราณแท้ไหลเวียน ใช้เพียงเพลงกระบี่
อย่างเดียว ความยอดเยี่ยมและประณีตของเพลงกระบี่นี้ทําเอาคน
ชมเชยว่าดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลยทีเดียว
หลี่มู่ที่อยู่อีกด้าน ก็อดพูดว่าเยี่ยมในใจไม่ได้
เพลงกระบี่นี้อยู่ในระดับสูงส่ง มีท่วงทํานองแห่งเต๋าอยู่
สามารถมองภาพทั้งหมดออกจากการสังเกตบางส่วน คุณชายชุด
ขาวคนนี้เป็นยอดฝีมือวิชากระบี่คนหนึ่ง ระดับความลึกซึ้งและการ
ฝึกฝนวรยุทธ์ของเขาไม่ได้ด้อยกว่าเยี่ยอู๋เหินเลย
โถงใหญ่ชั้นสองของโรงเตี๊ยม เงียบจนได้ยินเสียงหายใจ
คุณชายชุดขาวคนนั้นยืนขึ้น หมุนตัวกลับ ใบหน้าหล่อเหลาไร้
เทียมทาน
โครงหน้าละเอียดงดงามจนค่อนข้างเกินเลย ดวงตาพญาหงส์สี
แดง ผิวกายขาวละเอียดยิ่งกว่าหญิงสาว พัดในมือส่งเสียบป้าปกางออก
บนตัวพัดเขียนอักษรสีแดงขนาดใหญ่สี่ตัวไว้ว่า ‘กระบี่กลืนกินฟ้าดิน’
สี่ตัวนี้ แต่ละเส้นของแต่ละตัวอักษร ล้วนเหมือนกรีดขึ้นมาด้วย
กระบี่ยาว ดุดันมีพลัง จิตกระบี่วูบหนึ่งถาโถมออกมาเขาเดินออกจากห้องพิเศษ ตรงไปยังบันไดอย่างไม่รีบไม่ร้อน
สาวใช้สะสวยทั้งสองคน ถือพิณและกระบี่เดินตามไปด้านหลัง
ขณะที่เดินผ่านตะของหลี่มู่ คุณชายชุดขาวคนนี้ได้หยุดฝีเท้าลง
ก้มหน้ามองหลี่มู่ราวกับคิดอะไรอยู่ จากนั้นได้เอ่ยสั่งสอนขึ้นว่า “เป็น
ปัญญาชนก็อ่านตํารับตําราให้ดี จะมาชื่นชอบยุทธจักรเพื่ออะไร?
ความอันตรายแสนประหลาดบนยุทธจักร ความโหดร้ายอันดํามืด ไม่ได้
สวยงามเหมือนกับสิ่งที่เล่าออกจากปากปัญญาชนหรอกนะ คนอย่าง
เจ้าเมื่อเข้าสู่ยุทธจักร คงมีชีวิตได้ไม่ถึงครึ่งวัน”
เห็นได้ชัดว่าได้ยินคําพูดของหลี่มู่เมื่อครู่
พูดจบ ก็พาสาวใช้ทั้งสองเดินลงไป
จนกระทั่งเขาเดินออกไปได้ระยะหนึ่ง อากาศบนชั้นสองถึงเพิ่งจะ
กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
“นี่คือ ‘คุณชายกระบี่พิณ’ จากสํานักเงาจันทร์ ผู้สืบทอดสํานักเงา
จันทร์หนึ่งในสี่ลัทธิมาร…” ติงอี้เหงื่อเต็มใบหน้า ราวกับเพิ่งตื่นขึ้นมา
จากฝันร้าย สูดลมหายใจเฮือกใหญ่อยู่ในท่าทีหวาดผวา
ตึงๆๆศิษย์เสื้อฟ้าเมืองธารเหมันต์ที่ค้างแข็ง จู่ๆ ล้วนล้มลง ที่คอหอยมี
รอยสีแดงสวยสด ชีวิตขาดสะบั้นไปนานแล้ว
ชั้นสองมีเสียงกรีดร้องดังขึ้น
เกิดเสียงฝีเท้าสับสนอลหม่านตามมาทันที
ในเมืองนี้ เป็นพื้นที่ของเมืองธารเหมันต์แห่งพันธมิตรสี่เมือง
ตอนนี้ศิษย์ของเมืองธารเหมันต์ถูกสังหารลงถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เถ้าแก่
ของโรงเตี๊ยมก็อยู่ในท่าทีหวาดผวา รีบร้อนสั่งคนให้ไปรายงาน
ติงอี้ดึงหลี่มู่เบาๆ เอ่ยว่า “รีบไปเถอะ รอจนพวกเมืองธารเหมันต์
มา เจ้าจะลําบากเอา”
หลี่มู่จงใจเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ “ทําไมกันล่ะ? ข้าไม่ใช่…”
“เจ้าเด็กน้อย เจ้านี่โง่จริงๆ” ติงอี้เอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด “พี่อย่างข้า
เตือนเจ้าด้วยความหวังดี คนของเมืองธารเหมันต์ไม่รู้จักคําว่าเหตุผล
หรอก เพียงแค่ไม่กี่ประโยคที่ ‘คุณชายกระบี่พิณ’ แห่งสํานักเงาจันทร์
พูดกับเจ้า จะต้องถูกเข้าใจว่าเป็นพวกเดียวกับลัทธิมารแล้วถูกสังหาร
เป็นแน่ หากคิดจะรอดก็รีบหนี”
คนๆ นี้ถือเป็นคนที่มีน�าใจคนหนึ่งเลย พยายามดึงหลี่มู่ให้ออกจาก
โรงเตี๊ยมหลี่มู่หันกลับไปมองไกลๆ ก็เห็นว่าบนฟากฟ้าลําแสงมากมายพุ่ง
ตรงเข้ามา พริบตาก็ล้อมโรงเตี๊ยมเอาไว้จนหมด
จากนั้นจึงได้ยินเสียงอันโฉดชั่วดังขึ้น “คนในโรงเตี๊ยมทั้งหมด ห้าม
ปล่อยออกไปแม้แต่คนเดียว จะต้องเป็นพวกเดียวกับลัทธิมารทั้งหมด
แน่ จับกลับไปแล้วสอบสวนทีละคน…”
จากนั้นด้านในโรงเตี๊ยมได้มีเสียงร้องไห้อ้อนวอนดังขึ้น
คนที่ใจกล้ารออยู่ดูมหรสพ ล้วนร้องไห้หาบุพการีกันหมด
หลี่มู่สั่นศีรษะ คนจากเมืองธารเหมันต์นี้ใช้อํานาจบาตรใหญ่เสีย
จริง ไม่ทันจะได้แยกแยกก็จับคนเสียแล้ว มีท่าทีของฝ่ายธรรมมะเสียที่
ไหนกัน
ติงอี้ดึงหลี่มู่ออกจากเมือง ถึงได้ถอนใจออกมา
“ข้าว่าเจ้าเป็นเหมือนกับพวกปัญญาอ่อนบนยุทจักรเลย แค่
กฎเกณฑ์ของยุทจักรก็ไม่ได้รู้เรื่องเลยสักนิด น้องชาย เห็นแก่เจ้าเลี้ยง
ข้าวข้ามื้อหนึ่งนะ พี่ชายจะขอเตือนเจ้าสักประโยค เจ้ามาจากที่ไหน ก็
กลับไปที่นั่นเสียเถอะ เรื่องราวบนยุทธจักร ไม่ได้สวยงามอย่างที่
จินตนาการไว้หรอก” ติงอี้เตือนขึ้นมาหลี่มู่หัวเราะตอบกลับว่า “ขอบคุณมากพี่ชาย จิรงด้วย ต่อจากนี้
พี่ชายจะไปที่ไหนกันล่ะ?”
ติงอี้นวดขมับตนเอง เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าใฝ่หา “ข้าจะไปที่ภูเขาสู่
เพื่อไปเมืองไป๋ตี้ ยุทธจักรที่กว้างใหญ่ขนาดนี้ ในฐานะจอมยุทธชื่อก้อง
ยุทธจักร ข้าจะพลาดไม่ได้ จะออกไปดูความคึกคัก พร้อมถือโอกาส
รักษาวิถีแห่งความยุติธรรมไปด้วย”
หลี่มู่ตอบ “อ๋า เช่นนั้นก็ดีเลย พี่ชายพาข้าไปด้วยได้ไหม ข้าอยาก
ไปดูความคึกคักบ้าง”
ติงอี้เอ่ยตอบ “เจ้า? เลิกคิดเถอะ อันตรายเกินไป พลังของเจ้ามัน
แย่มาก กระทั่งกําลังภายในก็ยังฝึกออกมาไม่ได้ เจ้าไม่มีพลังในการ
ป้องกันตัวเองเลย”
หลี่มู่เอ่ยต่อ “ไม่ใช่ว่าพี่ติงช่วยปกป้องข้าอยู่หรือ? ท่านเป็นจอม
ยุทธ์ชื่อก้องยุทธจักร ข้าอยู่ข้างกายท่านใครจะกล้ามาทําอันตรายกัน?”
“เอ้อ ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่ว่า…” ติงอี้อึกอัก
หลี่มู่จงใจยั่วเขา “หรือว่าพี่ติงเป็นคนขี้โม้ เมื่อครู่ข้าเห็นว่าท่าน
โดนคุณชายกระบี่พิณอะไรนั่นเล่นเอาเสียตกใจจนไม่กล้าหายใจ หรือ
ว่า…”“ตลกแล้ว ข้าหรือจะกลัวเขา?” ติงอี้เดือดดาล
เขามองหลี่มู่ เอ่ยตอบมาว่า “คุณชายกระบี่พิณอะไรนั่น ก็แค่ผู้สืบ
ทอดวัยหนุ่มของสํานักเงาจันทร์เท่านั้น เป็นเพียงแค่รุ่นหลังของยุทธ
จักร จอมยุทธชื่อก้องยุทธจักรอย่างข้าทําไมต้องกลัวเขากัน? เอาล่ะ ใน
เมื่อเจ้าไม่กลัวตาย เช่นนั้นก็ไปด้วยกันกับข้าเลย แต่ว่าบนการเดินทาง
นี้เจ้าต้องเชื่อฟังข้านะ เส้นทางยุทธจักรไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิด
เอาไว้หรอก”
“ฮ่ะๆ ขอบคุณมากท่านพี่ติง” หลี่มู่รีบร้อนขอบคุณ
เขาไม่รู้ทางไปยังภูเขาสู่ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ปราณแท้ก็ยังไม่
เพียงพอ ไม่สามารถบินได้ จําเป็นต้องหาคนนําทางเสียหน่อย ติงอี้คนนี้
ถึงแม้พลังจะยังไม่เข้าขั้น แต่รู้ข่าวสารเยอะ นิสัยใจคอไม่ได้แย่ ถือว่า
เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียว
ทั้งสองกลับมาภายในเมือง หลี่มู่ไปยังตลาดม้าซื้อม้าเร็วมาสองตัว
แบกสัมภาระบางส่วนและออกจากเมืองไปยังถนนหลวง ควบตะบึงม้า
เร็วตรงไปยังภูเขาสู่
“ฮ่ะๆ น้องชาย น้องนี่รวยจริง ซื้อมาไหวด้วย แต่การเดินทางบน
ยุทธจักรต้องระมัดระวังนะ ห้ามอวดร�าอวดรวยเพื่อหลีกเลี่ยงคนจะ
วางแผนร้ายใส่” ติงอี้ผู้ยากจน เคยมีเงินขนาดนี้เสียที่ไหน จู่ๆ ก็รู้สึกว่าการพาหลี่มู่มาด้วย เป็นการเอาเปรียบเขาครั้งใหญ่เลย ทว่าก็ยังคงทํา
ท่าทีเป็นจอมยุทธเก่าแก่ คอยชี้แนะหลี่มู่ด้วยท่าทีอวดภูมิความอาวุโส
หลี่มู่พยักหน้าตอบว่าได้
สามวันต่อมา
พวกเขาทั้งสองได้มาถึงเชิงเขาของภูเขาสู่
………………………………