จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 532 ประลองอย่างยุติธรรม?
“เจอศพไม่น้อยเลย ที่นี่เหมือนจะมีศึกใหญ่เกิดขึ้น”
เซียวตง ลู่ซวิ่น ลั่วเสวียนซินและชิวสุ่ยหมิงสี่คนหลังจากเข้ามาใน
หมอกมิติก็โชคดีไม่น้อย ต่างถูกส่งมายังที่เดียวกัน ไม่นานก็รวมตัวกัน
ส่วนคนอื่นถูกหมอกมิติส่งไปที่ไหนก็ไม่รู้ได้
สภาพแวดล้อมในแดนเซียนเขาสู่ไม่แตกต่างจากที่พวกเขาคิดไว้
เท่าไหร่ ยอดเขาเดี่ยวๆ ประดุจกระบี่แต่ละลูกๆ ตระหง่านอยู่บนพื้นดิน
ระหว่างยอดเขาไม่เชื่อมต่อกัน ลําธารกลางหุบเขาลึก หุบเขาหลง
คลุมเครือ มีอยู่ไปทั่วหุบเขา พวกเขาทําได้แค่เดินไปกลางระหว่างหุบ
เขาของยอดเขา เงยหน้ามองฟ้าเห็นเป็นเพียงเส้นลากยาว
สิ่งที่ต่างไปคือ ความสูงของหุบเขานี้สูงถึงหลายหมื่นเมตร สูงกว่า
ยอดเขาใดๆ ในโลก หน้าผาสูงชันเก้าสิบองศา เกิดเป็นยอดเขาหินเป็น
มุมเหลี่ยมกับพื้นดิน ลาดชันยิ่งนัก ด้วยพลังของพวกเขาก็ยังไม่อาจปีน
ขึ้นไปข้างบน
และไม่นานพวกเขาก็ได้พบปรากฏการณ์ที่มีความหมายสําคัญ
เป็นอย่างมากแดนเซียนเขาสู่มีสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีบนโลก
เพราะระหว่างหุบเขา พวกเขาเห็นศพมนุษย์ที่รบตาย
เศษชิ้นส่วน ซากศพที่สวมเสื้อผ้าชุดเกราะสมัยโบราณ เห็นได้ตาม
ลําธารกลางหุบเขา ทั้งยังมีศพครึ่งมนุษย์ ครึ่งสัตว์แปลกประหลาดบาง
ร่าง เหมือนว่าจะตกลงมาจากท้องฟ้าไม่ก็ยอดเขา ร่างแหลกเละไม่ครบ
สมบูรณ์ เลือดไหลย้อมสายธาร
นี่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตบนโลกอย่างแน่นอน
แดนเซียนเขาสู่เป็นแดนเซียนของโลกที่มีสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาแห่ง
แรก
อีกทั้ง พิจารณาจากเศษซากแขนขานี่ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้วิวัฒนาการ
ได้มีอารยธรรมนัก
“พลังของพวกเขาสูงกว่าพวกเรามาก ต้องระวังแล้ว”
ลู่ซวิ่นชี้ไปยังศพที่เจออีก ก่อนเอ่ย “พวกนายดูสิ ศพพวกนี้ตายไป
นานแล้วแน่นอน แต่เลือดเนื้อของพวกเขากลับเหมือนคนปกติ นี่ตรง
กับลักษณะของผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานที่เมื่อตายไปแล้วเลือดเนื้อจะ
ไม่เน่าตามที่อาจารย์บอกไว้ น่ากลัวว่าคนที่ตายไปเหล่านี้จะเป็นขั้นฟ้า
ประทานทั้งนั้น”ลั่วเสวียนซินพยักหน้า นางเป็นกายผีดูดเลือด ไวต่อเลือดเป็นที่สุด
“ฉันได้กลิ่น ในเลือดมีพลังงานแข็งแกร่งมาก บนโลกมีน้อยนัก…ผู้ตาย
เหล่านี้ตอนมีชีวิตอยู่แข็งแกร่งมากๆ เลย”
“มีใครฆ่าพวกเขาได้?” สีหน้าของชิวสุ่ยหมิงเห็นได้ชัดว่า
เคร่งเครียดมาก “ตลอดทางที่ผ่านมาพวกเราเจอศพไม่ใช่แค่หลายร้อย
ร่างเท่านั้นแล้ว ผู้แข็งแกร่งฟ้าประทานมากมายขนาดนี้ สิ่งที่สังหาร
พวกเขาได้จะต้องเป็นคนที่น่ากลัวมากแน่นอน หากพวกเราเจอเข้าล่ะก็
เคราะห์ร้ายมากกว่าดีแน่”
“จะเป็นโลกที่อาจารย์เคยบรรยายไว้ไหม?” เซียวตงเอ่ยคล้าย
ครุ่นคิด
เพราะได้รับการสั่งสอนด้วยตัวเองจากหลี่มู่ ดังนั้นหยกทั้งสี่แห่ง
ยุทธจักรจีนจึงเรียกหลี่มู่ว่าอาจารย์
กําลังพูดอยู่ ข้างหลังผาสูงที่อยู่ด้านหน้าก็พลันมีเสียงครางต�าทุ้ม
ดังลอยมา เหมือนเป็นเสียงของผู้บาดเจ็บหนักส่งเสียงร้องออกมาโดย
ไม่ได้ตั้งใจ
ทั้งสี่ใจเย็นวาบ
มีคนมีชีวิต?จ้องตาซึ่งกันและกันแวบหนึ่ง พลังยุทธ์โคจรจนถึงขีดสูงสุด ทั้งสี่
อ้อมผาสูงไปอย่างระแวดระวัง มองเห็นด้านหลังหินผาก้อนมหึมามี
ซากศพระเนระนาดมีเด็กสาวอายุสิบเจ็ดสิบแปดสวมชุดกระโปรงยาวสี
เขียวคนหนึ่ง ที่ไหล่ซ้ายและขาทั้งสองล้วนบาดเจ็บสาหัส สลบไสลไม่ได้
สติ ปากส่งเสียงร้องครวญครางอย่างไม่ได้ตั้งใจ เลือดไหลย้อมกระโปรง
เขียวแดงฉานไปครึ่งหนึ่ง
สวยจริงๆ
สามคํานี้แทบจะเป็นปฏิกิริยาแรกที่ผุดขึ้นเมื่อทั้งสี่ได้เห็นเด็กสาว
คนนี้
ราวกับเทพธิดาในภาพวาดอย่างไรอย่างนั้น
ในบรรดาคนทั้งที่ ลั่วเสวียนซินก็นับว่าเป็นหนึ่งในสาวงามของโลก
แต่เมื่อเทียบกับหญิงสาวคนนี้ก็ยังสู้ไม่ได้
เหมือนจะสัมผัสได้ว่ามีคนเข้าใกล้ เด็กสาวที่สลบไสลก็พลันลืมตา
ขึ้น
……
“ได้ยินแล้วหรือยัง? สมาพันธ์ความร่วมมือฝ่ายธรรมะตัดสินใจจะ
ประลองกับลัทธิมารอย่างยุติธรรมแล้ว”ติงอี้เป็นคนที่ข่าวสารข้อมูลรวดเร็วแม่นยําที่สุด
“การประลองอย่างยุติธรรม?” หลี่มู่มองมาทางเขา “หรือก็คือ
สมาพันธ์ความร่วมมือฝ่ายธรรมะคิดว่าการประลองก่อนหน้านี้ไม่
ยุติธรรม?”
“พรวด…” น�าชาที่ติงอี้เพิ่งดื่มเข้าไปพุ่งออกมา จากนั้นก็ทําท่าทาง
ระมัดระวัง กลัวเรื่องกลัวราว “เจ้านี่นิ่ อย่าเที่ยวพูดเพ้อเจ้อ หากคนอื่น
ได้ยินเข้าล่ะก็ เจ้าคงโดนแปะว่าเป็นพรรคพวกลัทธิมาร”
หลี่มู่ทําท่าหวาดกลัว
เมื่อสามวันก่อน จากการมาเยือนของ ‘กระบี่ทะเลประจิม’ ถาน
หรูซวง เจ้าสํานักคนปัจจุบันของสํานักกระบี่ทะเลประจิมมา
รักษาการณ์ที่ยอดเขาจัวเฟิง เงาร่างสีเงินนั้นก็ไม่ปรากฏขึ้นอีกเลย
คุกถ�าหินก็ไม่เกิดเหตุการณ์นักโทษแหกคุกอีก
เห็นได้ชัดว่า ‘กระบี่ทะเลประจิม’ หนึ่งในเจ็ดผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคสยบ
ยอดฝีมือลัทธิมารในเงามืดจนไม่กล้าปรากฏตัวขึ้นอีก เจ็ดผู้ยิ่งใหญ่ฝ่าย
ธรรมะแห่งยุคล้วนมีพลังฝึกตนขั้นทะลวงสวรรค์ เซียนไม่ปรากฏตัว
ใครจะสู้กับพวกเขา?แต่ปัญหาอยู่ที่ลัทธิมารหดหัวอยู่ในเมืองไป๋ตี้ ฝ่ายธรรมะร่วมมือ
กันโจมตีอยู่หลายเดือนก็ไม่สามารถทะลวงเข้าไปได้ ‘หนึ่งคือพลัง สอง
เสื่อมโทรม สามสิ้นสุด’ ขวัญกําลังใจทหารมีแนวโน้มลดต�าลง ดังนั้น
หัวหน้าใหญ่ฝ่ายธรรมะต่างๆ จึงตัดสินใจที่จะท้าประลองลัทธิมารซึ่ง
หน้า ทั้งสองฝ่ายต่างส่งผู้แข็งแกร่งออกมาสิบคน ประลองกันอย่าง
ยุติธรรม หากฝ่ายธรรมะชนะ เช่นนั้นฝ่ายลัทธิมารก็ต้องถอยออกไป
จากเมืองไป๋ตี้ ภายในสิบปีฝ่ายธรรมะและมารพักการต่อสู้ หากฝ่าย
ลัทธิมารชนะ ฝ่ายธรรมะจะปล่อยผู้แข็งแกร่งลัทธิมารที่จับมา ถอยทัพ
อีกทั้งยังจะจ่ายค่าชดเชยให้กับลัทธิมารอีกด้วย
“นี่ คนลัทธิมารนอกจากสมองจะมีปัญหาเท่านั้น มิฉะนั้นแล้วไม่มี
ทางตกลงเด็ดขาดกระมัง”
หลี่มู่ได้ฟังติงอี้บรรยายน�าลายแตกฟอง ก็เอ่ยอย่างตกใจ
ลัทธิมารครอบครองเมืองไป๋ตี้ ฝ่ายธรรมะยังทะลวงเข้าไปไม่ได้
เช่นนั้นก็อยู่ในสภาวะปลอดภัย ทําไมจึงจะเข้าร่วม ‘การประลองอย่าง
ยุติธรรม’ ด้วย?
อีกทั้งหากแพ้ ก็จะต้องมอบเมืองไป๋ตี้ออกไป นี่ไม่ใช่ล้อกันเล่นหรือ
ไงหลายปีมานี้ เหตุที่ลัทธิมารมีตัวตนอยู่บนโลกนี้ได้ก็เพราะมีฐานที่
มั่นสุดท้ายอย่างเมืองไป๋ตี้ หากมอบเมืองไป๋ตี้ออกไป ต่อให้ธรรมะและ
มารไม่สู้กันสิบปี เช่นนั้นหลังจากสิบปีเล่า? หลังจากสิบปี สูญเสียเมือง
ไป๋ตี้ป้อมปราการฐานที่มั่น มิเป็นปลาบนเขียงแล้วแต่จะต้มจะแกง
หรือ?
“ฮ่าๆ กลับกันเลย ลัทธิมารตกลงแล้ว” ติงอี้หัวเราะ
หลี่มู่ครั้งนี้ตกใจจริง เอ่ยถามขึ้น “เพราะอะไร?”
ติงอี้หัวเราะพลางเอ่ย “ฮ่าๆ ยังต้องอาศัยข้าที่จอมยุทธ์ใหญ่ที่ชื่อ
เลื่องลือไปทั่วในยุทธจักรไขข้อข้องใจให้กับเจ้าสินะ…เพราะมีข่าวลือ
ออกมาว่า หากเมืองไป๋ตี้ทะลวงเข้าไปไม่ได้ล่ะก็ เซียนบนฟ้าก็จะลงมา
เยือน หากเซียนมาเยือน เมืองไป๋ตี้จะต้องรักษาเอาไว้ไม่ได้แน่นอน
ลัทธิมารไม่ตกลงก็ต้องตกลง”
อ้อ ลืมเรื่องนี้ไปเลย
หลี่มู่ตบหน้าผาก
ติงอี้เอ่ยต่อไปอย่างโอ้อวด “ว่ากันว่าใต้เมืองไป๋ตี้มีสมบัติที่แม้แต่
เซียนยังต้องตาลุกวาว ดังนั้น ขอแค่ลัทธิมารออกไปจากเมืองไป๋ตี้ เซียน
ก็ไม่มีทางสังหารสิ้นซาก ทั้งยังได้เวลาพักฟื้ นสิบปี เรื่องสิบปีหลังจากนี้
ใครจะคาดเดาได้ ดีกว่าถูกเซียนบดขยี้ตอนนี้ใช่หรือไม่”หลี่มู่หัวเราะหึๆ ในใจ “หากเป็นเช่นนี้จริงๆ เช่นนั้นหากฝ่าย
ธรรมะแพ้ก็จะต้องถอนทัพใช่ไหม? เซียนไม่ได้สมบัติที่ตัวเองอยากได้ ก็
คงลงมาเยือนฆ่าฟันกระมัง?”
ติงอี้ลมหายใจติดขัด “เอ่อ…เซียนน่าจะพูดจารักษาคําพูดนะ”
หลี่มู่หัวเราะหึๆ ต่อไป
เซียน?
ธาตุแท้ของผู้ฝึกฝนนอกพิภพพวกนั้นหลี่มู่เคยเห็นมาก่อน เพื่อ
ผลประโยชน์แล้วเรื่องอะไรก็ทําออกมาได้ทั้งนั้น
“อย่างไรเสียลัทธิมารก็ตอบตกลงแล้ว” ติงอี้เอ่ย “ท่าทางลัทธิมาร
คงไม่มีทางถอยอีก จึงทําได้แต่ตกลง อย่างไรเสียตัดสินใจประลองครั้งนี้
บางทีอาจจะคิดยืดเวลาออกไปหน่อยก็ได้…เฮ้ บัณฑิตอย่างเจ้าจะมา
กังวลทําไม ขนาดจอมยุทธ์ที่ชื่อเลื่องลือไปทั่วยุทธจักรอย่างข้ายังไม่
สนใจเรื่องไร้สาระพวกนี้เลย ดูสนุกก็พอแล้ว”
หลี่มู่เอ่ยเนิบนาบ “ศึกธรรมะและมาร การสังหารฆ่าฟันเกิดไปทั่ว
ทุกหัวระแหง จะมีคนตายอีกมากน้อยเท่าใด พี่ติง ท่านเป็นจอมยุทธ์ชื่อ
เลื่องลือไปทั่วทั้งยุทธจักร ไยจึงไม่หยุดยั้งศึกเช่นนี้เล่า ท่านทําได้ใช่
หรือไม่?”ติงอี้เอ่ยอย่างไม่ลังเล “เรื่องนี้แน่นอนว่าทําได้อยู่แล้ว เพียงแต่ข้า
เมินเฉยต่อชื่อเสียงผลประโยชน์ เบื่อหน่ายกับยุทธจักรเสียแล้ว ไม่
อยากจะสนใจเรื่องไร้สาระนี่…”
หลี่มู่เอ่ย “งั้นท่านยังจะมาดูเรื่องสนุก?”
ติงอี้ “…”
ผัวะ
เขาตบกะโหลกหลี่มู่ไปหนึ่งที “วันนี้เจ้าทําไมพูดมากขนาดนี้?”
ระหว่างพูด ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังลอยมา
บ่าวรับใช้นอกสํานักรวมทั้งหลี่มู่และติงอี้ต่างถูกต้อนมารวมกัน
“ท่านนี้คือยอดปรมาจารย์จูหง ผู้นํายอดปรมาจารย์ค่ายกลตระกูล
เก่าแก่ล�าลึก รับผิดชอบการสร้างเวทีประลองธรรมะและมารครั้งนี้”
คนสํานักกระบี่ทะเลประจิมคนหนึ่งเอ่ยแนะนําชายวัยกลางคนผมสีเทา
ขาวให้กับบ่าวรับใช้และลูกศิษย์สํานักตน “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทุก
คนฟังคําสั่งของยอดปรมาจารย์จูสร้างเวทีประลอง”
ห๊ะ?
สร้างเวทีประลองโดยเฉพาะด้วย?เอาจริงดิ?
หรือว่าจะลอบวางอุบาย?
……
“ขอบใจพวกเจ้ามาก”
เด็กสาวชุดเขียวฉิงเอ๋อร์เอ่ยกับพวกลั่วเสวียนซินทั้งสี่คนด้วยความ
ซาบซึ้ง
ภายใต้การดูแลจากลู่ซวิ่น เซียวตง ลั่วเสวียนซินและชิวสุ่ยหมิง
อาการบาดเจ็บของนางฟื้ นฟูขึ้นมาก ในที่สุดก็พอจะโคจรพลังรักษา
อาการบาดเจ็บได้ พลังแปลกประหลาดในร่างและอาการบาดเจ็บ
ภายในก็ทรงตัว
“น้องฉิงเอ๋อร์ไม่ต้องเกรงใจไป ตกลงแล้วเจ้าบาดเจ็บได้อย่างไร?”
ลั่วเสวียนซินยิ้มถาม
จากการสัมผัสหลายวันที่ผ่านมานี้ ทั้งสี่พบว่า เด็กสาวที่ชื่อว่าฉิง
เอ๋อร์คนนี้เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์แท้ๆ อีกทั้งนิสัยยังร่าเริง ใสบริสุทธิ์ น่าคบ
หา
เหตุที่สามารถสื่อสารพูดคุยกับฉิงเอ๋อร์ได้ก็เพราะตอนที่อยู่บนโลก
อาจารย์หลี่มู่เคยสอนภาษาแผ่นดินใหญ่เสินโจวให้กับพวกเขาบ้างภาษานี้ไม่แตกต่างกับภาษาทางการที่เป็นที่นิยมในเขตดาราเทพวีรชน
สักเท่าไหร่…ศึกษา ‘ภาษาต่างประเทศ’ นั้นสําคัญมาก หลี่มู่ตอนนั้นคิด
พิจารณาค่อนข้างไกล คิดจะพาบุคคลชั้นยอดของโลกเหล่านี้เข้าไปใน
ห้วงดาราสมุทร ผลสุดท้าย วันนี้ได้ใช้ก่อนล่วงหน้าแล้ว
“สํานักมีศึกใหญ่ พวกเราถูกลอบวางแผนโจมตี ข้าพลัดหลงกับ
พวกคุณหนู ถูกคนไล่สังหารตกลงมาจากยอดเขา…” ฉิงเอ๋อร์พูดถึงตรง
นี้ก็ร้อนรนขึ้นมา “ไม่ได้แล้ว ข้าต้องรียกลับไปรักษาเมือง ช้าไปจะไม่
ทันการณ์”
“รักษาเมือง? เมืองอะไร?” ลู่ซวิ่นถามอย่างอดไม่ได้
ฉิงเอ๋อร์เอ่ยอย่างตกใจ “พวกเจ้าไม่รู้? เช่นนั้นพวกเจ้ามาที่นี่
ทําไม? พวกเจ้าแต่งกายประหลาดเช่นนี้ไม่ใช่ลูกศิษย์ของลัทธิเทพที่มา
ช่วยเหลือหรอกหรือ?”
ชิวสุ่ยหมิงกุมหน้าผาก “อันที่จริงพวกเราหลงทาง จับพลัดจับผลู
มาถึงที่นี่…ดังนั้นเลยยังไม่เข้าใจสถานการณ์”
ฉิงเอ๋อร์เอ่ย “เป็นเช่นนี้เอง ก็ถูก พลังของพวกเจ้าต�าเกินไป น่าจะ
เข้าไปในเขาสู่ไม่ได้…แต่พวกเจ้าแต่งกายและท่าทางประหลาดเช่นนี้
หากพวกสี่เมืองหรือคนสํานักกระบี่ทั้งสามเจอเข้าจะต้องคิดว่าเป็นคนของลัทธิเทพอย่างแน่นอน ยากจะรอด…พวกเจ้ามิสู้ไปเมืองไป๋ตี้กับข้า
ลัทธิเทพปกป้องพวกเจ้าแน่”
“เมืองไป๋ตี้?” ลู่ซวิ่นทั้งสี่เอ่ยอย่างประหลาดใจพร้อมกัน
ชื่อนี้คุ้นเหลือเกิน
บนโลกก็มีเมืองไป๋ตี้เหมือนกัน
เขาสู่ เมืองไป๋ตี้ ล้วนเป็นชื่อที่มีบนโลก
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ทั้งสี่หารือกัน สุดท้ายก็รับข้อเสนอของฉิงเอ๋อร์
“ข้ารู้ทางลับเข้าใกล้เมืองไป๋ตี้เส้นหนึ่ง” ฉิงเอ๋อร์เอ่ย “เป็นคุณหนู
ที่บอกข้า คนอื่นๆ ไม่รู้ ข้าจะพาพวกเจ้าไป”
……………………………………………