จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 533 เหตุการณ์ที่เกินคาด
“เอ๋? นี่มัน…”
ใต้ยอดเขาโต๊ะ หลี่มู่ที่กําลังแอบซุ่มบําเพ็ญวิชาอยู่ด้านในถ�า
ธรรมชาติแห่งหนึ่ง จู่ๆ เลือดในกายสูบฉีด หยุดการฝึกลง เขาสัมผัสได้
ถึงคลื่นพลังที่คุ้นเคยเป็นอย่างมากมาจากทางด้านทิศตะวันออก
“เป็นไปไม่ได้น่า”
สีหน้าของหลี่มู่รู้สึกตกใจอย่างมาก
คลื่นพลังนี้ เป็นตราหยกรักษาชีวิตที่หลี่มู่มอบให้กับคนสําคัญของ
พันธมิตรยุทธ์ชาวจีนที่ดาวโลกในตอนนั้น เมื่อพบเข้ากับอันตราย เพียง
กระตุ้นตราหยกก็จะสามารถกลายเป็นเกราะคุ้มกันขึ้นมารับมือได้ระยะ
หนึ่ง และสามารถแจ้งบอกเขาอย่างรวดเร็วอีกด้วย
“มีคนกําลังกระตุ้นตราหยก ยิ่งไปกว่านั้นยังอยู่ใกล้เอามากๆ
เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
พลานุภาพของตราหยกขณะอยู่ที่โลกถือว่าแข็งแกร่งอย่างมาก ไม่
ว่าจะเป็นมุมไหนของดาวโลก เพียงแค่กระตุ้น หลี่มู่ก็จะสัมผัสได้ทันที
ทว่าดาวทุรกันดารตอนนี้อยู่ห่างจากดาวโลกอย่างน้อยก็ต้องหนึ่งพันสามร้อยล้านปีแสงเชียวนะ จากหลักการแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะ
สัมผัสถึง
แปลก
แปลกประหลาดจริงๆ
หลี่มู่ก็ยังรู้สึกไม่เข้าใจ
“ไปดูเสียหน่อยดีกว่า”
หลี่มู่หยุดการบําเพ็ญ ร่างพุ่งเป็นลําแสงออกจากถ�า ใช้วิชากระบี่
เหินหาวพุ่งตรงไปยังทิศทางของคลื่นตราหยกด้วยความเร็วสูง
…
…
“ถอย รีบถอย”
เจ้าสํานักคีรีบรรพกาลหนึ่งในเจ็ดสํานักศักดิ์สิทธิ์กู่ลั่ง ดวงตาเบิก
โพลงตะโกนคํารามขึ้น สําลักลิ่มเลือดออกมา
ด้านหลังของเขา ยอดฝีมือสิบกว่าคนจากพันธมิตรยุทธ์ชาวจีน
และยังผู้แข็งแกร่งฝ่ายทหาร แต่ละคนบาดเจ็บ มีสู้จนตัวตายไปบ้าง
บางส่วนปังๆๆ
อาวุธร้อนในมือของผู้แข็งแกร่งฝ่ายทหาร สาดพ่นออกมาอย่างบ้า
คลั่ง
อาวุธร้อนที่สั่งทําขึ้นพิเศษ พลานุภาพมหาศาล พ่นยิงออกมาจน
กลายเป็นตาข่าวพลังไฟ เผชิญหน้ากับร่างเงามากมายที่โถมเข้ามา
เสียงปักดังขึ้น เลือดเนื้อบนร่างสาดกระจายลอยปลิวออกไป กลุ่มคนที่
เพิ่งจะสั่งให้บุกเข้ามาเริ่มมีความหวั่นวิตกขลาดกลัว
“ระวัง อาวุธของพวกลัทธิมารแปลกประหลาด”
“ล้อมพวกเขาเอาไว้”
“โล่ ต้องการโล่…”
กลุ่มคนที่ล้อมโจมตี เป็นผู้แข็งแกร่งจากสํานักกระบี่ทะเลประจิม
หนึ่งในสามสํานักกระบี่ยิ่งใหญ่บนดาวทุรกันดาร
ชั่วสิบอึดใจก่อนหน้า หลังจากที่มาพบกับกลุ่มคนที่มาจากดาวโลก
โดยบังเอิญ คนของสํานักกระบี่ทะเลประจิมก็รีบตัดสินทันที เข้าใจว่า
คนเหล่านี้คือพวกลัทธิมาร พอพบหน้าก็เปิดฉากโจมตี ส่วนกลุ่มชาวจีน
จากดาวโลกที่ไม่ทันระวังตัว จึงได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงเมื่อเผชิญหน้ากับอาวุธร้อนที่ไม่คุ้นเคย ประกอบกับการที่ศิษย์ขั้น
ยอดปรมาจารย์ของสํานักหลายคนล้มตายติดๆ กัน ร่างจึงไหววูบ
กระโดดไปมาเหมือนกระต่ายหนีเหยี่ยว คอยเปลี่ยนตําแหน่งอยู่ตลอด
ด้วยความเร็วราวสายฟ้า จนอาวุธร้อนฝ่ายทหารไม่สามารถเล็งได้อย่าง
แม่นยํา
แต่ว่า การปะทุขึ้นของอาวุธร้อนก็ยังพอสามารถต้านทานการบุก
สังหารของสํานักกระบี่ทะเลประจิมได้
ผู้แข็งแกร่งพันธมิตรยุทธ์สองคน รับตัวเจ้าสํานักคีรีบรรพกาลกู
ล่างที่ได้รับบาดเจ็บจากการรับการโจมตีของอีกฝ่ายเพื่อปกป้องคน
ก่อนหน้ากลับมา
“พวกเจ้าเป็นใครกัน?” กู่ลั่งตะโกนขึ้นอย่างเดือดดาล “ทําไมต้อง
โจมตีพวกเราด้วย?”
พวกเขาที่มาพบกับการจู่โจมอย่างกะทันหัน ยังไม่ทันได้ตั้งตัวดี จึง
รู้สึกไม่เข้าใจต่อความเป็นศัตรูและการไล่สังหารเช่นนี้ได้
เสียงตะโกนกู่ก้อง ดังขึ้นมาจากฝั่ งตรงข้ามราวกับตอบรับ
แต่ทว่าอีกฝ่ายตะโกนอะไรมา กู่ลั่งฟังไม่เข้าใจ
อุปสรรคด้านภาษาทว่าดูจากท่าทีแล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะมีการประนีประนอมเลย ยังคง
เป็นท่าทีไล่สังหารบี้เข้ามา
ไม่นาน เหล่าพันธมิตรยุทธ์และฝ่ายทหารชาวจีนได้เสียหายไปกว่า
ครึ่ง เหลืออยู่เพียงยี่สิบกว่าคน ถูกล้อมเอาไว้ใต้ผาที่สูงชัน อาศัยเพียง
การป้องกันจากอาวุธร้อน สกัดไม่ให้อีกฝ่ายบุกเข้ามาได้ แต่ทว่าพวก
เขาก็บุกออกไปไม่ได้เช่นกัน
ฉึก!
อาวุธลับเล่มหนึ่งพุ่งเป็นลําแสงยิงเข้ามา
ทหารหนุ่มที่กําลังตั้งท่าเล็งคนหนึ่ง เสียงอึกดังขึ้น หน้าผากถูก
กระบี่เล่มหนึ่งเสียบเข้ามา ล้มลงนอนกับพื้น
“ทําอย่างไรดี?”
กู่ลั่งจิตใจร้อนรนเหมือนโดนเผา
การเผชิญหน้าในการสํารวจแดนเซียนครั้งนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ได้คาดคิด
เอาไว้ก่อนหน้า ได้มาเจอกับผู้แข็งแกร่งชาวพื้นเมือง ยิ่งไปกว่านั้นยัง
แข็งแกร่งจนน่ากลัวขนาดนี้ พลังเฉลี่ยแข็งแกร่งกว่าอย่างมาก
จะว่าไปแล้ว การร่วมมือกันของพันธมิตรยุทธ์ชาวจีนกับฝ่ายทหาร
บนดาวโลกนั้นถือว่าเป็นกลุ่มขั้วอํานาจอันดับหนึ่งเลยทีเดียว ไม่มีใครสามารถต่อต้านได้ และไม่มีขั้วอํานาจประเทศใดๆ ที่สามารถแย่งชิง
ความเป็นผู้นําไปได้
แต่ว่า เมื่อมาพบกับอีกฝ่ายโดยบังเอิญกลับราบคาบแทบจะ
ในทันที
ผู้แข็งแกร่งขาวพื้นเมืองเหล่านี้ดูแล้วบ้าคลั่งเป็นอย่างมาก เต็มไป
ด้วยความปรารถนาในการสู้รบและเข่นฆ่า กะลังตะโกนอะไรกันอยู่ น่า
เสียดายที่ฟังไม่ออก
“เป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเราคงพินาศกันหมดแน่”
กูล่างเป็นเจ้าสํานักของหนึ่งในเจ็ดสํานักศักดิ์สิทธิ์บนดาวโลก และ
เป็นผู้รับผิดชอบกลุ่มการสํารวจแดนเซียนภูเขาสู่ของประเทศจีนในครั้ง
นี้ด้วย เมื่อเห็นเหล่านักรบหนุ่ม ชาวพันธมิตรยุทธ์ตรงหน้าล้มลงทีละ
คน ในใจของเขาก็รู้สึกละอาย จนดวงตาแทบปริแตกออกมา
คนเหล่านี้ ล้วนเป็นต้นกล้าอันล�าค่าของประเทศชาติ ล้วนเป็น
อัจฉริยะวิถียุทธ์ที่เพาะบ่มขึ้นมาอย่างยากลําบาก แต่กลับต้องมาถูก
สังหารเหมือนต้นหญ้าที่ถูกฟันทิ้งเช่นนี้ ใจของเขากําลังร้องไห้เป็น
สายเลือด
ถ้าหากสามารถสู้ได้สุดชีวิต เขาคงจะบุกสังหารออกไปนานแล้วฟิ้ วๆ
อาวุธลับลอยเข้ามาอย่างไม่หยุด
กู่ลั่งยืนขึ้นที่ด้านหน้าของทุกคนอย่างไม่รักตัวกลัวตาย โบกกระบี่
ในมือปัดป้องอาวุธลับ แต่บนร่างก็ถูกอาวุธลับเหล่านั้นเสียบเข้าไปอีก
หลายแผล
เขาก็ไม่รู้ว่าเอาพลังจากที่ไหน ที่ทําให้ตนเองยังยืนหยัดต้านทาน
กับความตายได้เช่นนี้ แต่ต่อให้เลือดจะไหลเหมือนเททิ้งลงพื้นเขาก็จะ
ถอยไม่ได้
“อาจารย์ อาจารย์….” ศิษย์ติงเค่อคิดที่จะดึงเขากลับเข้ามาอย่าง
สุดชีวิต
การสู้รบเป็นไปอย่างดุเดือด
“ไม่ต้องสังหารแล้ว จับเป็น”
ห่างออกไป เสียงคํารามของหลินเจิ้นผู้อาวุโสภายนอกของสํานัก
กระบี่ทะเลประจิมดังขึ้น
เขารู้สึกลิงโลดอย่างมาก จับคนแปลกประหลาดของลัทธิมารแล้ว
พากลับไปยังยอดเขาโต๊ะ รับรองว่าได้ตบรางวัลอย่างงามเป็นแน่ นี่มัน
ก้อนเนื้อชิ้นใหญ่เลย“เหล่าทหารคุ้มครอง เหล่าพันธมิตรยุทธ์ เราตีฝ่าวงล้อมออกไป
เถิด หนีไปได้เท่าไรก็คือเท่านั้น” ผู้บังคับบัญชาฝ่ายทหารตะโกน
ออกมา
การตัดสินใจนี้หมายถึงคนของฝ่ายทหาร อาจจะต้องถูกฝังอยู่ที่นี่
ทั้งหมดแล้ว แต่พวกเขาคือทหารกล้า วินาทีที่คับขันที่สุดจะต้องลุกยืน
ขึ้นมา นี่คือภารกิจของทหาร
“ถ้าหากเทพสังหารหลี่อยู่ที่นี่ก็คงจะดี”
ชายหนุ่มพันธมิตรยุทธ์คนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงดัง
จริงด้วย
ทุกคนล้วนคิดเช่นนี้
น่าเสียดาย ใครจะรู้ว่าเทพสังหารหลี่ครั้งนี้ไม่ได้เข้ามาในแดน
เซียนภูเขาสู่
แต่ทว่าคนของพันธมิตรยุทธ์และฝ่ายทหาร รวมกลุ่มกันบุกฝ่าวง
ล้อมหลายครั้งก็ล้วนพบกับความล้มเหลว ยิ่งไปกว่านั้น จากเวลาที่ผ่าน
ไป กระสุนของอาวุธร้อนฝ่ายทหารได้ใช้ไปจนหมดแล้ว ไม่เหลือพลานุ
ภาพที่จะต่อกรกับศัตรูฝ่ายตรงข้ามอีกต่อไปศิษย์ของสํานักกระบี่ทะเลประจิมห้าสิบกว่าคน ล้อมพวกของกู่ลั่ง
เอาไว้ทุกทิศ
“คุกเข่า ยอมแพ้เสีย มิเช่นนั้นจะเอาศีรษะของพวกเจ้ากลับไปรับ
รางวัล”
หลินเจิ้นจ้องมองกลุ่มชาวโลกจากบนฟ้า คุมอํานาจความเป็นตาย
เอาไว้เต็มที่
แม้ว่าพวกของกู่ลั่งจะไม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย แต่ดูจาก
สายตาและน�าเสียงแล้วก็สัมผัสได้ถึงความหยอกเย้าและดูถูก และยัง
รู้สึกเหมือนมองพวกเขาอย่างเหยียดหยามเป็นสัตว์เลี้ยงอีกด้วย
“พวกเจ้าเป็นใครกันแน่?” กู่ลั่งยันกระบี่ยืนขึ้น ตะโกนย้อนถาม
กลับไปอย่างเดือดดาลที่สุด
“สังหารเขาเสีย” หลินเจิ้นเลิกคิ้วเล็กน้อย
เขามองออก ว่าชายชราคนนี้เป็นหัวหน้าของพวก ‘กากเดนลัทธิ
มาร’ ปณิธานค่อนข้างแรงกล้า คนเช่นนี้ไว้ชีวิตไปก็ไม่มีอะไรดี ใช้ศีรษะ
ไปรับรางวัลเสียเลยดีกว่า
ศิษย์สํานักกระบี่ทะเลประจิมขั้นฟ้าประทานคนหนึ่ง ลงมือฟาด
กระบี่ประดุจลําแสงมายังกู่ลั่งทันทีจอมยุทธ์และทหารคนอื่นๆ จากดาวโลก คิดจะช่วยแต่ก็ไม่ทันเสีย
แล้ว
ในชั่วขณะหนึ่งส่วนพันวินาทีดับจิต เห็นแสงดาบพุ่งออกมาจะฟัน
ศีรษะขาดกระเด็นตรงหน้าแล้วนั้น จู่ๆ แสงดาบสายหนึ่งพุ่งเข้ามาถึง
ก่อน แสงกระบี่ถูกทําลายจนระเบิดออก ศิษย์กระบี่ทะเลประจิมที่ลงมือ
คนนั้นร้องอึกขึ้น จากนั้นร่างสลายกลายเป็นหมอกเลือดไป
เลือดกระเด็นไปแปะบนหน้าพวกของหลินเจิ้น
“ใครกัน?”
หลินเจิ้นตะโกนขึ้น หันหลังกลับไปตามสัญชาติญาณ
ขณะที่หันหน้ากลับไปก็พบว่า ร่างสูงใหญ่ใส่ชุดใช้แรงงานร่างหนึ่ง
ยืนอยู่ตรงหน้าของพวกกู่ลั่ง แต่เนื่องจากหันหลังให้กับพวกเขาอยู่ หลิน
เจิ้นจึงมองไม่เห็นว่าคนตรงหน้าหน้าตาเป็นอย่างไร แต่รู้สึกได้ว่า
ค่อนข้างอายุน้อย
หลี่มู่นั่นเอง
พวกของกู่ลั่ง แวบแรกที่เห็นหลี่มู่รู้สึกยากจะเชื่อสิ่งที่ตาเห็น แต่
ทว่าทุกคนก็ถูกความดีใจอย่างบ้าคลั่งกลบจนมิด
เทพสังหารตะวันออก!การคงอยู่ของผู้ที่ทําได้ทุกอย่าง
“ผู้อาวุโสกู่ พวกท่าน….ทําไมจึงมาปรากฏตัวที่โลกนี้กัน?” ขณะที่
มองเห็นพวกของกู่ลั่ง หลี่มู่ยังคงรู้สึกยากที่จะเชื่อ
นี่มันเขตดาราเทพวีรชน ห่างจากดาวโลกมากกว่าพันสามร้อยล้าน
ปีแสงเลยนะ
ทําไมเพียงพริบตา คนจากดาวโลกนับสิบคนจึงมาปรากฏอยู่
ตรงหน้านี้ได้ นี่มันเหมือนกับฝันไปเลย หรือว่าพวกเขาจะเข้ามาทาง
กระแสวนมิติเขามังกรแห่งบาปกัน?
เป็นไปไม่ได้น่า
จะบอกว่าพวกเขาไม่ต้องผ่านทัณฑ์สวรรค์เข้ามาหรือ?
ยิ่งไปกว่านั้นตนเองก็เคยกําชับไปแล้ว ให้คนบนโลกอย่าเข้าไปที่
กระแสวนมิติในแดนเซียนฉินหลิ่ง ก่อนที่จะจากมา เขาก็ได้วางค่ายกล
ปิดผนึกไว้อีกรอบแล้ว คนอื่นๆ ไม่มีทางเข้าไปได้แน่
“เจ้าเป็นใครกัน กล้ามาปกป้องพวกกากเดนลัทธิมารเช่นนี้?”
หลินเจิ้นได้สติกลับมา ตะโกนย้อนถามกลับไป
เวลาเดียวกัน เขาส่งสัญญาณให้ศิษย์สํานักกระบี่ทะเลประจิมล้อม
เอาไว้หลินเจิ้นสัมผัสได้ว่าคลื่นพลังของหลี่มู่ไม่ได้แข็งแกร่ง ดังนั้นจึงไม่
หวาดกลัวแม้แต่น้อย ยังคิดว่าเป็นยอดฝีมือลัทธิมารที่อยู่ใกล้ๆ ได้ข่าว
แล้วเข้ามาช่วยเหลือเสียอีก ก็ดี จัดการไปพร้อมๆ กันแล้วไปรับรางวัล
เสียเลย
ฟิ้ ว!
แสงดาบสว่างวาบ
ศิษย์สํานักกระบี่ทะเลประจิมยังไม่ทันได้สติกลับมา ก็เห็นหลินจื้
อที่อยู่กลางอากาศ ศีรษะขาดกระเด็นลอยออกไป จากนั้นร่วงลงมา
เหมือนกับไม้แห้งสองท่อนอย่างไรอย่างนั้น ยังไม่ทันแม้แต่จะพูดอะไร
“แย่แล้ว….”
ศิษย์สํานักกระบี่ทะเลประจิมเมื่อเห็นฉากนี้ ต่างตกใจหน้าซีด
ผู้อาวุโสถูกสังหารในพริบตา พวกเขาตระหนักได้ทันทีว่าเจอกับสุด
ยอดผู้แข็งแกร่งเข้าให้แล้ว ปณิธานการสู้รบสลายไปในพริบตา หันหลัง
หนีทันที
“รีบหนี”
“นี่เป็นคนระดับเจ้าสํานักลัทธิมาร”“กลับไปรายงานเร็ว!”
ศิษย์สํานักกระบี่ทะเลประจิมหนีตายอลหม่าน
หลี่มู่ไม่แม้แต่จะหันกลับ
จิตดาบไหลเวียน แสงดาบสว่างวูบวาบ
ในหนึ่งอึดใจ ศิษย์สํานักกระบี่ทะเลประจิมห้าสิบกว่าคน กลายเป็น
วิญญาณติดคมดาบจนหมดสิ้น ไม่หลุดรอดออกไปแม้แต่คนเดียว
ไฟจักรพรรดิเผาผลาญ เผาร่างพวกเขาจนกลายเป็นฝุ่น ไม่เหลือ
ร่องรอยใดๆ เอาไว้
“เทพสังหารหลี่ พวกเรา….ท่านในที่สุด….” กู่ลั่งในที่สุดก็ถอนใจ
ออกมา พูดไปแค่ไม่กี่คํา จู่ๆ ฉากหน้าได้ดับวูบ ฝืนทนต่อไม่ไหว
ร่างกายยวบยาบร่วงลงกับพื้น
หลี่มู่ประคองตัวกู่ลั่งเอาไว้ พอกําลังจะพูดอะไรสีหน้าก็ได้เปลี่ยน
ทันควัน สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เอ่ยขึ้นว่า “มีคนมาแล้ว ตามข้ามา
หนีออกจากที่นี่กันก่อน”
เขาพาคนออกจากที่นี่ทันที
ครู่ต่อมาลําแสงหลายสายสว่างขึ้น
ผู้แข็งแกร่งระดับผู้อาวุโสในชุดผ้าไหมของสํานักกระบี่ทะเล
ประจิมได้มาถึงสถานที่เกิดเหตุ จากนั้นแสงสว่างอีกมากมาย ศิษย์ขั้น
ฟ้าประทานขึ้นไปของสํานักกระบี่ทะเลประจิม ได้เข้ามาล้อมรอบพื้นที่
นี้เอาไว้จากทั่วสารทิศ
“เอ๋? หนีไปเร็วขนาดนี้เชียว?”
“กลิ่นอายพลังชีวิตของหลินเจิ้น สลายหายไปจากจุดนี้”
“หลินเจิ้นถึงแม้จะเป็นผู้อาวุโสนอกสํานัก แต่ก็มีพลังบําเพ็ญครึ่ง
ขั้นเทวะ ทว่าสัญญาณเตือนก็ยังไม่ทันได้ส่งก็มาถูกสังหาร พลังของ
ศัตรูแข็งแกร่งมาก อย่างน้อยต้องเป็นระดับผู้อาวุโสของพวกลัทธิมาร”
“ไล่ตามไป พวกเขาคงหนีไปได้ไม่ไกลนัก” ผู้อาวุโสสํานักกระบี่
ทะเลประจิมในชุดผ้าไหมคนหนึ่งเอ่ยเสียงเย็น “คนของลัทธิมาร ยัง
กล้าออกจากเมืองไป๋ตี้อีก ภูเขาสู่ตอนนี้เป็นตาข่ายขนาดใหญ่ไปแล้ว
ต่อให้ทะลวงออกไปก็หนีไม่รอดหรอก เหอๆ เจ้ากากเดนลัทธิมารคนนี้
ไม่รู้จักคําว่าตายเสียจริง”
……………………………………….