จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 535 อาวุธวิเศษบัวมรกต
เรื่องจริงพิสูจน์แล้วว่า คนของสํานักกระบี่ทะเลประจิมตึงเครียด
นั้นมีเหตุผล
เพราะวันที่สอง ยอดเขาจัวเฟิงก็สั่นไหวอีกครั้งและงอกสูงขึ้นอีก
สามสิบจั้ง
ตอนนั้นหลี่มู่ก็อยู่ที่ยอดเขาจัวเฟิงเช่นกัน เขาสัมผัสถึงพลังงานล�า
ลึกลึกลับเป็นอย่างยิ่งกลุ่มหนึ่งแผ่กระจายออกมาจากเขาจัวเฟิงได้
อย่างชัดเจน ทั้งยอดเขาเหมือนมีชีวิต เติบโตเหมือนต้นไม้ ชั่วเวลาสั้นๆ
แค่หนึ่งถ้วยชา หรือก็แค่ประมาณสิบห้านาที การเจริญเติบโตนี้ก็เสร็จ
สิ้น จากนั้นพลังลึกลับก็สลายไป
เรื่องน่าแปลก
หลี่มู่เองก็ได้เปิดโลกเช่นกัน
สํานักกระบี่ทะเลประจิมแตกตื่นอีกครั้ง ใช้วิธีต่างๆ นานาสืบหา
เหตุผล แต่ก็ไร้ประโยชน์
กระทั่งว่าเชิญยอดฝีมือค่ายกลของสี่เมือง สามสํานัก สองตระกูล
มาสืบหา แต่ก็ไม่เจอร่องรอยอะไรมีคนแนะนําให้สํานักกระบี่ทะเลประจิมถอนกําลัง เปลี่ยนฐานที่มั่น
เพราะพลังลึกลับเช่นนี้มีภัยคุกคาม
ยอดเขาจัวเฟิงเป็นสํานักของพวก ‘ฝืนชะตา’ ในตอนนั้น ในสาย
ลัทธิมารทั้งเจ็ด พวก ‘ฝืนชะตา’ แปลกประหลาดนอกรีตนอกรอยที่สุด
เรื่องเหลือเชื่อมากมายเกิดกับลัทธิ เป็นไปได้อย่างมากว่ายอด
เขาจัวเฟิงจะแฝงด้วยอันตรายมหันต์
“หึ หากแม้นมีภัยร้ายก็ใช้กระบี่สยบมัน”
‘กระบี่ทะเลประจิม’ ถานหรูซวงองอาจมาก ยืนยันคําตอบ
ตัดสินใจปฏิเสธที่จะย้าย
เหตุผลนั้นง่ายมาก
จะกลัวตั้งแต่ยังไม่ทันรบไม่ได้
หลายวันมานี้หลี่มู่ก็ไปตามเวลาและสถานที่ที่กําหนดนั่งเรือเหาะ
มุ่งหน้าไปยังท้องฟ้าสูง ห่างจากเมืองไป๋ตี้ยี่สิบลี้ขนย้ายก้อนหิน วัสดุ
ต่างๆ สร้างเวทีประลองกลางฟ้าและค่ายกลต่างๆ…แน่นอน ในสายตา
ของทุกคนเขาเป็นแค่พวกไร้ประโยชน์ขั้นครึ่งรวมปราณที่แรงเยอะ
หน่อยก็เท่านั้น งานที่ทําล้วนเป็นงานระดับต�า นอกจากติงอี้แล้วไม่มี
ใครสนใจเขาเขาจัดการให้พวกกู่ลั่งอยู่ในถ�าเขาเจี้ยนเฟิงที่มิดชิดแห่งหนึ่ง
ชั่วคราว อีกทั้งยังใช้ค่ายกลปิดครอบสกัดกั้นกลิ่นอาย
แต่ ‘วิชากระบี่ค้นหา’ ของสํานักกระบี่ทะเลประจิมน่ากลัวเป็น
อย่างมาก หลายครั้งล้วนสัมผัสอะไรได้ บีบจนหลี่มู่ต้องเคลื่อนย้ายคน
ทั้งหมดก่อนเวลา
“เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ต้องคิดหาวิธีจัดการปัญหาในครั้งเดียว”
หลี่มู่ขนก้อนหินไปพลางขบคิดไป
‘พลังฝึกฝน’ ที่เขาฝึกฝนกลายเป็นสัญชาตญาณของร่างกายอย่าง
หนึ่ง ระหว่างเดิน เคลื่อนไหวก็ฝึกฝนไปด้วย ดังนั้นจึงไม่เป็นการ
เสียเวลาฟื้ นฟูพลัง
เพื่อเป็นการเร่งการก่อสร้าง ดังนั้นการสร้างเวทีประลองกลาง
อากาศจึงลงแรงและกําลังทรัพย์มหาศาล อีกทั้งไม่ได้สร้างให้สําเร็จโดย
เพียงฝ่ายสี่เมือง สามสํานัก สองตระกูลเท่านั้น ลัทธิมารก็ส่งยอดฝีมือ
ค่ายกลจากเขาราชันมังกรและศาลาเหนือฟ้ามา รับผิดชอบงานสร้าง
เวทีประลองอีกครึ่งหนึ่ง…ทั้งสองฝ่ายต่างกังวลว่าอีกฝ่ายจะเล่นตุกติก
วางกับดักแผนรับมือไว้ที่เวทีประลอง ดังนั้นจึงไม่กล้าปล่อยปละละเลย
ในเขตเวทีประลอง ทั้งสองฝ่ายกําหนดกันไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น
จึงไม่เกิดศึกใหญ่หลี่มู่กําลังขบคิดว่าจะจัดการพวกกู่ลั่งอย่างไร ก็มีเรือบินมาจากที่
ไกลๆ สามสี่ลํา มีคนหนุ่มสาวลงมาจากบนนั้น ต่างสวมเสื้อไม่ธรรมดา
รัศมีอํานาจท่วมท้น แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นบุคคลชั้นยอดรุ่นหนุ่มสาว
ของขั้วอํานาจสายธรรมะทั้งเก้าจากสี่เมือง สามสํานัก สองตระกูล หลี่มู่
กวาดสายตาไปคร่าวๆ ก็มองออกว่า คนหนุ่มสาวพวกนี้ล้วนมีพลังฝึก
ตนขั้นเทวะขึ้นไป ดูแคลนไม่ได้เลย
หลายวันนี้ โดยพื้นฐานแล้วหลี่มู่ก็นับว่าเข้าใจที่มาที่ไปของผู้
แข็งแกร่งในขั้วอํานาจฝ่ายธรรมะทั้งเก้าแล้ว
สี่เมืองหมายถึงเมืองธารเหมันต์ เมืองตะวันลับฟ้า เมืองกลางนภา
และเมืองเป็นหนึ่ง เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดสี่เมืองทั้งดาวทุรกันดารดวงนี้
เทียบเท่ากับสามจักรวรรดิบนแผ่นดินใหญ่เสินโจว สามสํานักกระบี่คือ
สํานักกระบี่ทะเลประจิม สํานักกระบี่ค�าฟ้า และสํานักกระบี่คีรีบูรพา
ล้วนแต่เป็นสายฝึกกระบี่ทั้งสิ้น ในโลกดาวทุรกันดารนิยมฝึกกระบี่ ล้วน
แต่เกี่ยวกับสามสํานักใหญ่ ลูกศิษย์มีมากมาย ส่วนสองตระกูลใหญ่คือ
ตระกูลค่ายกลสกุลจูและตระกูลหุ่นกลไกสกุลกงซุน
พลังและพลังแฝงของขั้วอํานาจทั้งเก้าไม่ต่างกันเท่าไหร่ ต่างมี
จุดเด่น ร่วมกันปกครองดาวทุรกันดาร
แน่นอน ตามคําบรรยายลับหลังของติงอี้ ‘จอมยุทธ์ผู้ชื่อเลื่องลือไป
ทั่วยุทธจักร’ ขั้วอํานาจทั้งเก่าก็แค่ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นเท่านั้น ผู้ที่ควบคุมพลังของทั้งดาวทุรกันดารนี้จริงๆ คือเซียนนอกพิภพ ต่อหน้า
สํานักผู้ฝึกฝนนอกพิภพ ขั้วอํานาจทั้งเก้าก็แค่มดที่แข็งแกร่งขึ้นมานิด
หน่อยก็เท่านั้น หากไม่เชื่อฟัง บอกว่าจะขยี้ก็ขยี้ทิ้ง
หลี่มู่พบว่าติงอี้เหมือนจะไม่ได้รู้สึกดีกับขั้วอํานาจทั้งเก้าสักเท่าไหร่
นอกจากขั้วอํานาจทั้งเก้าแล้วยังมีสํานักอีกไม่น้อย ซึ่งก็คือสาขา
ย่อยของสี่เมืองสามสํานักสองตระกูล คอยทําตามคําสั่งของพวกเขา
อย่างเคร่งครัด
เทียบกันแล้วลัทธิมารเสียเปรียบกว่าเล็กน้อย
ครู่หนึ่ง เสียงสัญญาณจากเรือเหาะที่อยู่ไกลๆ ก็ดังมา
มีเรือเหาะขนาดใหญ่อีกหลายลําลอยแหวกทะเลเมฆมา
ผู้ที่มาคราวนี้คือเหล่าผู้กุมอํานาจขั้วอํานาจทั้งเก้า
ท่ามกลางฝูงชนรอบๆ เสียงแตกตื่นฮือฮาดังขึ้น
เหล่ายอดฝีมือและลูกศิษย์สํานักใหญ่ต่างๆ ที่กําลังสร้างเวทีลอย
ฟ้าต่างลิงโลดกันขึ้น ใบหน้าตื่นเต้นยินดี
จากเสียงวิพากย์วิจารณ์ หลี่มู่ก็เข้าใจถึงเหตุผล‘กระบี่ทะเลประจิม’ ถานหรูซวง ‘เจ้ากระบี่ค�าฟ้า’ หลี่มู่จื่อ ‘กระบี่
โบราณ’ ตงฟางชิง เจ้าเมืองธารเหมันต์ฉวีอี้ เจ้าเมืองเป็นหนึ่งต้วนเฟิง
เจ้าเมืองตะวันลับฟ้าหร่านกวงเย่า เจ้าเมืองกลางนภาลู่เทียนหวา ผู้นํา
ตระกูลจู จูน่ง และผู้นําตระกูลกงซุน กงซุนเปี๋ ยหลี…ผู้นําฝ่ายธรรมะทั้ง
เก้ามาปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ทั้งเก้าคนนี้ยากนักที่จะรวมตัวอยู่ด้วยกัน
“แสงกระบี่อาวุธวิเศษในเมืองไป๋ตี้ส่องประกายอีกครั้งแล้ว” ติงอี้
ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน มากระซิบเสียงต�าทุ้มอยู่ข้างหูหลี่มู่
ศึกธรรมะและอธรรมครั้งนี้ก็เพราะในหน้าผาลึกยอดเขาไป๋ตี้
ข้างล่างเมืองไป๋ตี้มีแสงสีเขียวกลิ่นอายสมบัติหลายร้อยลี้พวยพุ่ง
ออกมา ว่ากันว่าก่อนหน้านี้ก็พวยพุ่งออกมาหลายครั้ง ภายหลังลัทธิเขา
สู่สะกดเอาไว้ แต่พลังฟ้าดินยิ่งใหญ่เพียงใด จะไปสะกดได้อย่างไร ทุกๆ
สองสามวัน แสงกระบี่สีเขียวชนิดนี้ก็จะพวยพุ่งออกมาเหมือนกับน�าพุ
และในวันนี้ เป็นการพุ่งออกมาอีกครั้งในช่วงครึ่งเดือนนี้
“ท่านรู้ได้อย่างไร?” หลี่มู่มองไปยังติงอี้หลายวันมานี้ติงอี้ลึกลับนัก มักหาตัวไม่เจอ แต่จู่ๆ ก็โผล่ออกมา
จากไหนไม่รู้
“ไร้สาระ ในฐานะที่เป็นจอมยุทธ์ใหญ่ชื่อเลื่องลือไปทั่วยุทธจักร มี
เรื่องอะไรที่ข้าไม่รู้” ติงอี้เอ่ยอย่างได้ใจ
ช่างเถอะ
หลี่มู่ก็ไม่ถามอะไรอีก
อย่างไรเสียก็เป็นจอมยุทธ์ใหญ่ที่ชื่อเลื่องลือไปทั่วยุทธจักร
จากนั้นติงอี้ก็แนะนําผู้กุมอํานาจขั้วอํานาจทั้งเก้า เอ่ยแนะนํา
สมญานามกับตัวบุคคลจริงทีละคน “คนทั้งเก้าคนนี้พูดได้ว่าเป็นผู้
สูงสุดสุดยอดทั้งเก้าของขั้วอํานาจฝ่ายธรรมะแล้ว นอกจากผู้นําตระกูล
ทั้งสองตระกูลแล้ว เจ็ดคนอื่นๆ ล้วนมีพลังฝึกตนขั้นทะลวงสวรรค์
เพียงพิโรธสายธารมหาสมุทรเยือกแข็ง หากแค่ยินดีแล้วไซร้ใต้หล้า
ประหนึ่งวสันตฤดู นอกจากลัทธิมารเขาสู่แล้ว สํานักเล็กใหญ่อื่นๆ ไม่มี
ใครกล้าไม่ไว้หน้าคนทั้งเก้านี้”
หลี่มู่จับตรรกะเล็กๆ จากคําพูดได้ประโยคหนึ่ง “ผู้นําตระกูลของ
สองตระกูลใหญ่ไม่มีพลังฝึกตนทะลวงสวรรค์หรือ?”ติงอี้ท่าทางได้ใจ กดเสียงต�าทุ้มพลางเอ่ย “เรื่องนี้มีแต่ข้าที่รู้ โดย
ปกติแล้วข้าไม่บอกใครหรอกนะ ตระกูลจูมีชื่อเรื่องค่ายกล ตระกูลกง
ซุนมีชื่อเรื่องหุ่นกลไก ผู้นําตระกูลสองตระกูลนี้ต่างไม่ใช่พลังฝึกตนขั้น
ทะลวงสวรรค์ทั้งคู่ แต่ว่าภายใต้การเพิ่มพลังของค่ายกลและหุ่นกลไก
ของแต่ละฝ่ายกลับมีพลังรบขั้นทะลวงสวรรค์ ดังนั้นจึงสามารถตีเสมอ
ภาคกับสี่เมืองสามสํานักกระบี่ได้”
เป็นแบบนี้นี่เอง
หลี่มู่เพิ่งจะเคยได้ยินเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก
ครืน!
จู่ๆ พลันมีเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังมา
หมู่เมฆบนท้องฟ้าพลันพวยพุ่งขึ้นเหมือนน�าเดือด คลื่นไอน�าเป็น
ชั้นๆ ทอดตัวไม่ขาดสาย พวยพุ่งออกมาจากทางเมืองไป๋ตี้ที่อยู่ไกล
ออกไปสิบลี้ เป็นภาพที่ยิ่งใหญ่อลังการแปลกประหลาดยิ่ง ผู้แข็งแกร่ง
วิถียุทธ์ต่างสัมผัสได้เลาๆ ว่า ผืนดินข้างใต้กําลังสั่นไหว เหมือนมีพลัง
น่าหวาดกลัวที่หลับลึกใต้ดินจะตื่นขึ้นมา
“เริ่มแล้ว” ติงอี้มองไปทางเมืองไป๋ตี้ น�าเสียงค่อนข้างตื่นเต้น
ลิงโลดการปะทุของไอกระบี่แสงสมบัติจะเริ่มขึ้นแล้ว
สายตานับไม่ถ้วนมองไปทางเมืองไป๋ตี้
ไม่เว้นแม้แต่คนทั้งหลายที่ลัทธิมารส่งมาประจําการสร้างเวที
ประลองลอยฟ้า
ครืน!
แสงกระบี่สีเขียวทางหนึ่งพุ่งขึ้นท้องฟ้า ฉีกทึ้งหมู่เมฆ
หลี่มู่ตาวาววาบ
แสงกระบี่นี่…คมและทรงพลังเกินไป เหมือนเป็นกระบี่ที่ฟันขาดได้
แม้กระทั่งท้องฟ้า จะผ่าจักรวาลออกเป็นสองซีก
ประกายแสงสีเขียวเสมือนคลื่นวนยักษ์กลางทะเลทะลักพวยพุ่ง
ย้อมจนฟ้าจากทางทิศเมืองไป๋ตี้กลายเป็นสีเขียวมรกตที่พลังชีวิตทะลัก
ล้น เสมือนใบบัวสีเขียวแต่ละใบๆ กําลังแผ่ขยายไปอย่างช้าๆ ใบมหึมา
และก้านบัวยาวแผ่ขยายไปในท้องฟ้า เหมือนภาพมายาเหมือนของจริง
ในอากาศกระทั่งว่ามีกลิ่นหอมของดอกบัวจางๆ ลอยอวล
พลังฟ้าดินในท้องฟ้าเข้มข้นขึ้น‘วิชาก่อนกําเนิด’ โคจรเร็วขึ้นโดยไม่มีปี่ มีขลุ่ย เริ่มดูดซับกลิ่นหอม
ของดอกบัวมรกตชนิดนี้อย่างบ้าคลั่ง ก่อเป็นคลื่นอากาศหมุนวนที่
สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่ารอบกายหลี่มู่
“แย่แล้ว”
หลี่มู่ตกใจกําลังจะฝืนหยุดโคจรวิชา แต่หันกลับไปเห็นไม่ใช่แค่
เพียงตัวเเองเท่านั้น ทุกคนใต้ผืนฟ้าแห่งนี้ต่างเริ่มโคจรวิชาดูดซับ ผู้ที่
พลังยิ่งแข็งแกร่ง คลื่นวนสีเขียวข้างกายยิ่งเห็นชัด เฉกเช่นผู้สืบทอด
หนุ่มสาวขั้วอํานาจทั้งเก้าสิบกว่าคนพวกนั้นและเก้าผู้สูงส่ง คลื่นวนแสง
สีเขียวข้างกายใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลางหลายสิบจั้ง กระแสอากาศหมุน
วนน่าตกใจ
แม้แต่ติงอี้ที่อยู่ข้างกายก็โคจรพลังดูดซับกลิ่นอายสมบัติดอกบัว
มรกตชนิดนี้เช่นกัน
หลี่มู่วางใจ ควบคุมความเร็วในการโคจรของวิชาก่อนกําเนิด
หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการสนใจมากนัก เริ่มดูดซับกลิ่นอายสมบัติบัวมรกต
เช่นกัน
ครืน!
ผืนดินสั่นไหวหมู่เมฆลอยตลบ
แสงกระบี่สีเขียวอีกทางหนึ่งแหวกท้องฟ้า ยิงออกไปนอกฟ้า
ปรากฏการณ์ประหลาดใบบัวสีเขียวขนาดมหึมาแต่ละใบๆ ก่อขึ้น
กลางทะเลเมฆ รู้สึกเหมือนว่าแค่ใบบัวหนึ่งใบก็สามารถปิดบังท้องฟ้า
ได้
“กลิ่นอายสมบัติชนิดนี้ยิ่งช่วยการเพิ่ม ‘ปราณแท้บริสุทธิ์’ ได้
มากกว่าพลังฟ้าดินทั่วไป”
หลี่มู่รู้สึกว่าปราณแท้บริสุทธิ์ในกายของตนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
เพียงชั่วพริบตาก็ทะลวงขอบเขตเดิม ก้าวเข้าสู่ขั้นเทวะ
“คนนอกสํานักทั้งเก้าถอยออกไป”
เจ้าเมืองธารเหมันต์ชวีอี้จู่ๆ เอ่ยปากขึ้น เสียงสะท้อนไปทั่วทิศ มา
พร้อมด้วยความทรงอํานาจที่ไม่อนุญาตให้ขัดขืน
นี่คือไม่อนุญาตให้คนนอกสํานักทั้งเก้าดูดซับพลังสมบัติบัวมรกตนี่
นา
รอบๆ ฮือฮาไปทั่ว คนของสํานักอื่นๆ มากมาย อีกทั้งผู้ฝึกไร้สังกัด
ที่เดินทางมาสมทบช่วยเหลือทั้งหลายเมื่อได้ยินคําพูดนี้ก็ต่างหน้า
เปลี่ยนสีนี่มันจะวางอํานาจบาตรใหญ่เกินไปแล้ว
ล้วนแต่รับคําขานเรียกของเก้าสํานักใหญ่มาเพื่อสยบลัทธิมาร
หลายวันมานี้ก็ได้สร้างคุณูปการไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แล้วแต่เก้าสํานัก
ใหญ่จะบัญชา ตอนนี้เมื่อมีผลประโยชน์ กลับไม่อนุญาตให้คนนอก
สํานักทั้งเก้าได้ดื่มน�าแกงบ้าง นี่ไม่เกินไปหน่อยหรือไร?
หลี่มู่ที่กําลังดูดซับกลิ่นอายสมบัติดอกบัวมรกตอย่างหนําใจ ก็ถูก
ไล่ออกไปเหมือนกัน
…………………………………………………