จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 536 สถานการณ์ชัดเจน
บรรยากาศค่อนข้างวุ่นวาย
เหล่าผู้แข็งแกร่งและสํานักอื่นๆ ต่างมาเพื่อช่วยเหลือ หลายวันมา
นี้ทั้งออกแรงทั้งออกทรัพย์ สู้กับลัทธิมาร สร้างเวทีประลองลอยฟ้า ต่อ
ให้เป้าหมายในตอนแรกทําไปเพื่อประจบขั้วอํานาจทั้งเก้าก็ตาม แต่ใคร
บ้างไม่คิดจะหาประโยชน์จากการกระทํานั้น? ขั้วอํานาจทั้งเก้ากินเนื้อ
นั่นไม่มีปัญหาแน่นอน แต่จะไม่อนุญาตให้พวกเขาได้ดื่มน�าแกงบ้าง
เลย?
อีกทั้งกลิ่นอายสมบัติดอกบัวมรกตข้างหน้านี้ทะลักล้นมหาศาล
ประหนึ่งมหาสมุทรกว้างใหญ่ คนของสํานักทั้งเก้าดูดซับไม่หมดอยู่แล้ว
แต่กลับไม่อนุญาตให้พวกเขาดูดซับฝึกฝน นี่มันคือทําลายผลประโยชน์
ของคนอื่นนี่นา
ในใจของคนทั้งหลายจะไม่คับแค้น?
“นี่มันเกินไปแล้ว”
“พวกเราเป็นลูกเมียน้อยรึไง?”
ผู้แข็งแกร่งสํานักอื่นๆ อดเอ่ยปากบ่นอย่างไม่พอใจขึ้นมาไม่ได้ฟิ้ ว ฟิ้ ว!
แสงกระบี่ฉายประกาย
คนที่เอ่ยปากพูดถูกสังหารทันที เหมือนกับต้นไม้แห้งๆ ร่วงลงไป
จากท้องฟ้า
คนที่ลงมือก็คือเจ้าเมืองน้อยแห่งเมืองธารเหมันต์ชวีเสวี่ยหนิง
แสงกระบี่ดุจสายฟ้า สังหารทันที
สังหารเสร็จ สายตาของเขาก็กวาดมองจอมยุทธ์สํานักอื่นๆ ที่อยู่ที่
นั่นด้วยสายตาโหดเหี้ยม ก่อนแค่นเสียงเย็นเอ่ยขึ้น “คําพูดของเก้า
สํานักก็คือคําสั่ง ใช่สิ่งที่จะมาต่อรองได้ พวกเจ้าหากไม่รู้จักตายก็อย่า
โทษว่ากระบี่ข้าไม่ปราณี”
นี่คือบุคคลที่เหี้ยมโหดไร้เมตตาคนหนึ่ง
ภายใต้การบีบบังคับอันทรงอํานาจจากความตาย คนของสํานัก
อื่นๆ สุดท้ายก็แค่กล้าโกรธ ไม่กล้าพูด ทําได้แค่ถอยหลังออกไปจาก
ขอบเขตกลิ่นอายสมบัติดอกบัวมรกตทะลักล้นมหาศาล
หลี่มู่มองติงอี้ที่อยู่ข้างๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะถอยออกไปข้างนอกเช่นกันแน่นอนว่าเขาไม่มีทางยอมแพ้ที่จะดูดซับกลิ่นอายสมบัติดอกบัว
มรกตไปจริงๆ แต่อย่างน้อยๆ ก็ทําท่าไปอย่างนั้น ถอยออกไปก่อน
จากนั้นค่อยคิดหาวิธีปลอมตัวเป็นลูกศิษย์ขั้วอํานาจทั้งเก้า ปลอมตัว
เข้ามาใหม่
“เดี๋ยวก่อน” ชวีเสวี่ยหนิงจู่ๆ พลันเอ่ยปากขึ้น สายตาจ้องมายัง
ร่างของหลี่มู่ทั้งสองคน
หลี่มู่และติงอี้มองเขาอย่างไม่เข้าใจ
“เจ้า ชื่ออะไรน่ะ?” กระบี่ในมือของชวีเสวี่ยหนิงชี้มายังหลี่มู่ “เป็น
ศิษย์สํานักไหน?”
หลี่มู่ไม่เข้าใจความหมายของเจ้าเมืองน้อยแห่งเมืองธารเหมันต์ที่
จิตใจเหี้ยมโหดผู้นี้ หรือเขาจะพบอะไร? แต่ก็ยังเอ่ยกลบเกลื่อน
“ข้าน้อยต้วนสุ่ยหลิว ไร้สํานักไร้พรรค เป็นเพียงบัณฑิต ได้พบกับพี่ติง
โดยบังเอิญ มายังภูเขาสู่ภายใต้การดูแลจากเขา ก่อนหน้านี้เคยฝึกฝน
วิชาตื้นเขินมาบ้าง”
“ฝึกฝนวิชาตื้นเขินมาบ้างก็ดูดซับกลิ่นอายสมบัติบัวมรกตได้
มากมายขนาดนี้?” ชวีเสวี่ยหนิงประเมินหลี่มู่ตั้งแต่หัวจรดเท้า “เมื่อครู่
ข้าสังเกตเจ้า ความเร็วในการดูดซับกลิ่นอายสมบัติดอกบังมรกตเร็วกว่าคนอื่นมาก เจ้าปกปิดพลังใช่หรือไม่? ห๊ะ บอกมาเจ้าเป็นสายของ
ลัทธิมารใช่หรือไม่?”
คราวนี้ สายตาของทุกคนต่างจ้องมองมายังร่างของหลี่มู่
หลี่มู่ประเมินในใจว่าจะแตกหักตอนนี้เลยดีหรือไม่ แต่คิดๆ ดูแล้ว
ช่างดีกว่า อย่างไรเสียเหล่าบอสของขั้วอํานาจทั้งเก้าก็อยู่กันครบ หาก
แตกหักสู้กันขึ้นมาต่อให้หนีพ้น แต่ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนั้น พวกกู่ลั่งก็
ดูแลได้ยากแล้ว อีกทั้งยังจะทําให้ติงอี้พลอยลําบากไปด้วย
แต่ว่าหลี่มู่ยังไม่ทันพูดอะไรติงอี้ที่อยู่ข้างๆ กลับเอ่ยปากอธิบาย
อย่างรีบร้อน “นายน้อยโปรดฟังก่อน เสี่ยวต้วนเป็นคนที่ข้าพามาจาก
เมืองเสียงวิหคสวรรค์ เป็นบัณฑิตสํานักส่วนตัวแห่งหนึ่งในเมือง”
“หึ ความเร็วที่เจ้าดูซับกลิ่นอายสมบัติบัวมรกตก็ไม่ช้าเหมือนกัน
เจ้าเป็นใคร?” ชวีเสวี่ยหนิงจ้องติงอี้ สายตาไม่เป็นมิตร “พวกเจ้าสอง
คนมาด้วยกัน? ใครพาพวกเจ้าเข้ามาที่ภูเขาสู่?”
ติงอี้ตอบ “ข้าน้อยติงอี้ คนในยุทธจักรขนานนามว่าเทพซานหลาง
ที่เมืองเสียงวิหคสวรรค์…”
ยังพูดไม่ทันจบจู่ๆ ชวีหนิงเสวี่ยก็ลงมือ ฝ่ามือหนึ่งซัดออกมา พลังฝ่ามือแข็งแกร่ง
ไร้เทียมทานซัดหลี่มู่และติงอี้ทั้งสองคนกระเด็นไปหลายร้อยจั้ง เลือด
ไหลย้อยที่มุมปาก ท่าทางเหมือนบาดเจ็บสาหัสในทันที สีหน้าอ่อน
กําลัง
“หึ พวกอ่อนแอสองคน” เขาหัวเราะเสียงเย็น “อ่อนด้อยสิ้นดี คิด
ดูแล้วลัทธิมารคงไม่ส่งพวกเจ้าพวกโง่เง่าแบบนี้มาเป็นสายสืบแน่…ไส
หัวไปเสีย พวกเจ้าไม่คู่ควรที่จะให้ข้าได้รู้ชื่อของพวกเจ้า จําเอาไว้ อย่า
ให้ข้าเห็นพวกเจ้าอีก มิฉะนั้น ก็เป็นพวกเจ้าที่รนหาที่ตาย”
“ขอบคุณเจ้าเมืองน้อยที่ไว้ชีวิต” ติงอี้ยิ้มขื่น เช็ดเลือดที่มุมปาก
พยุงหลี่มู่ที่ดูแล้วยิ่งอ่อนล้ากว่า รีบนั่งเรือเหาะลําเล็กลําหนึ่งข้างๆ มุ่ง
หน้าไปยังยอดเขาจัวเฟิง ท่าทางเหมือนกลัวชวีเสวี่ยหนิงจะลงมืออีก
ครั้ง
เรือเหาะแหวกฝ่าทะเลเมฆ ห่างไปจากเวทีประลองลอยฟ้าไกล
ออกไปเรื่อยๆ
ไม่นาน ยอดเขาจัวเฟิงก็อยู่เบื้องหน้า
“รังแกกันเกินไปแล้ว”
“ใช่แล้ว นี่ไม่มองพวกเราเป็นคนชัดๆ”“ไปๆๆ ไม่ต้องอยู่ที่คอยรับอารมณ์แบบนี้แล้ว”
บนเรือยังมีคนที่ถูกไล่คนอื่นๆ ต่างบ่นไม่พอใจเช่นกัน
หลี่มู่และติงอี้สองคนลงจากเรือเหาะ ติงอี้ก็ส่งหลี่มู่ไปยังที่พัก อด
กําชับให้หลี่มู่ดูแลตัวเองดีๆ อีกรอบไม่ได้ จากนั้นถึงจะกลับห้องตัวเอง
ไปรักษาอาการบาดเจ็บ
รอจนติงอี้จากไปแล้ว หลี่มู่ก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
หลังจากเขาปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ เค้าโครงภายนอกเล็กน้อยแล้วก็
เปลี่ยนเสื้อผ้าของลูกศิษย์สํานักกระบี่ทะเลประจิมที่เตรียมเอาไว้นาน
แล้ว จากนั้นก็สําแดงท่าร่างวิชามายาไปจากห้อง บินไปทางเวที
ประลองลอยฟ้า
หลี่มู่บินเรี่ยพื้นดิน หลบหลีกขอบเขตการจับตามองของผู้
แข็งแกร่งขั้วอํานาจทั้งเก้า เข้าใกล้เมืองไป๋ตี้ไปเรื่อยๆ
ตลอดทางก็สัมผัสได้ถึงขอบเขตพลังจิตวิญาณของผู้แข็งแกร่งยอด
ฝีมือคนอื่นๆ ที่คอยสํารวจมาตลอด น่าจะเป็นยอดฝีมือของลัทธิมาร
ภูเขาสู่ หลี่มู่ก็หลบหลีกอย่างระมัดระวังเช่นกัน
ยิ่งเข้าใกล้เมืองไป๋ตี้ ความเข้มข้นของกลิ่นอายสมบัติดอกบัวมรกต
ยิ่งสูงขึ้นหลี่มู่หาที่ลับตาห่างจากเมืองป๋ตี้ประมาณหนึ่งลี้ได้ที่หนึ่ง วางค่าย
กลเก็บกลิ่นอาย จากนั้นก็เริ่มฝึกฝน
เวลาผ่านไป
กลิ่นอายสมบัติดอกบัวมรกตจํานวนมหาศาลหลอมเข้าไปในร่าง
ของหลี่มู่
ระหว่างหายใจ พลังฝึกฝนปราณแท้ของหลี่มู่ก็กําลังฟื้ นฟูอย่าง
รวดเร็ว
ก่อนที่เขาจะกลับโลกก็มีพลังฝึกตนขั้นมหาเทวะขั้นสูงสุด หลังจาก
นั้นเพราะฝึกฝนด่านเคราะห์ที่เขามังกรโฉด ปราณแท้ทั้งร่างใช้ไปจน
หมด เหลือเพียงพลังกายเนื้อ ตอนนี้ฝึกฝนใหม่อีกครั้งปราณแท้ฟ้า
ประทานทั่วไปแปรเปลี่ยนเป็นปราณแท้บริสุทธิ์ ขั้นเหนือมนุษย์ก็
สามารถต่อกรกับเทวะได้
หากก้าวสู่ขั้นมหาเทวะแล้วล่ะก็ ต่อกรกับผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวง
สวรรค์ก็ไม่เป็นปัญหาแน่นอน
กลิ่นอายสมบัติดอกบัวมรกตที่เมืองไป๋ตี้พวยพุ่งสามวันเต็มๆ
หลี่มู่ก็ฝึกฝนสามวันสามคืนเต็มๆ เช่นกัน
หลังจากนั้นสามวันหลี่มู่สูดหายใจเข้าลึก หยุดโคจรพลัง
เขารู้สึกเพียงแค่ปราณแท้ถาโถมทั่วร่าง กว้างใหญ่ประดุจ
มหาสมุทร ฟื้ นฟูจนถึงขั้นสุดยอดของขั้นมหาเทวะแล้ว ขาดอีกเพียง
ก้าวเดียวก็จะก้าวสู่ขั้นทะลวงสวรรค์แล้ว
น่าเสียดายที่ตอนนี้กลิ่นอายสมบัติดอกบัวมรกตหยุดไหลทะลัก
ทุกอย่างจบลงแล้ว
หลี่มู่ไม่รีบร้อนกลับไป แต่กลับทําความคุ้นเคยกับพลังนี้ในที่ลับตา
แห่งหนึ่ง สัมผัสการโคจรและพลังของปราณแท้บริสุทธิ์หลังจาก
ขอบเขตยกระดับ
ผ่านไปอีกสามวันเขาถึงจะจากไป
แต่หลี่มู่ก็ไม่ได้กลับไปยังยอดเขาจัวเฟิงทันที
เขาไปยังที่ซ่อนตัวของพวกกู่ลั่งก่อน หลังจากค้นหาใหม่ เปลี่ยนที่
ที่ปลอดภัยยิ่งกว่าเดิม และกําชับกําชาแล้ว หลี่มู่ก็จากมา เดินทาง
กลับไปยังยอดเขาจัวเฟิง
อันที่จริงก่อนหน้านี้หลี่มู่ก็เคยแอบตามหาร่องรอยของพวกลั่ว
เสวียนซิน เซียวตง แต่กลับไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวอะไร นี่ทําให้เขากังวลตอนนี้ผลสุดท้ายที่ดีที่สุดคือแดนเซียนภูเขาสู่บนโลกปิดตัวลง
หมอกมิติปรากฏขึ้น ส่งคนของโลกกลับไป เช่นนี้แล้วหลี่มู่ก็จะสามารถ
ลงมือต่อกรกับขั้วอํานาจต่างๆ บนดาวทุรกันดารนี่ได้เต็มที่
หลี่มู่เพิ่งกลับไปถึงยอดเขาจัวเฟิงก็เจอติงอี้
“เจ้าไปไหนมา? ข้ายังนึกว่าเจ้า…” ทันทีที่ได้เห็นหลี่มู่ ติงอี้ก็โล่งอก
เอ่ยสบถ “เจ้าเด็กบ้า หกวันหกคืนเต็มๆ ข้ายังนึกว่าเจ้าถูกแซ่ชวีคนนั้น
ฆ่าไปเสียแล้ว เจ้าทําให้พี่ชายตกใจแทบตาย”
หลี่มู่ซาบซึ้ง
ความห่วงใยของติงอี้ไม่ใช่สิ่งที่เสแสร้งแสดงออกมา
เห็นได้ชัดว่า ‘จอมยุทธ์ใหญ่ผู้ชื่อเลื่องลือไปทั้งยุทธจักร’ คนนี้มอง
เขาเป็นสหายจริงๆ
“ในใจอึดอัดก็เลยออกไปเที่ยวเดินเล่น สุดท้ายหลงทางเสียได้”
หลี่มู่หาข้ออ้างไปตามปาก
ติงอี้ชกที่อกหลี่มู่ “บาดแผลเป็นอย่างไรบ้าง? ข้ารู้ว่าความ
ภาคภูมิใจของเจ้าถูกทําลาย เป็นอย่างไร? ข้าเคยบอกแล้ว ยุทธจักร
ไม่ได้สวยงามอย่างที่เจ้าคิด อย่าได้ไปไหลหลงอะไร สํานักมีชื่อฝ่าย
ธรรมะ หึๆ…เอาล่ะ เจ้าโดดงานไปหลายวัน วันนี้ต้องทํางานต่อแล้ว”หลี่มู่พยักหน้า “ยุทธจักรนี่มันช่าง…ช่างเถอะ ไม่พูดแล้ว อาการ
ของพี่ติงเป็นอย่างไรบ้าง?”
ติงอี้หัวเราะฮี่ๆ “แน่นอนว่าข้าไม่เป็นอะไร จอมยุทธ์ชื่อเลื่องลือไป
ทั่วยุทธภพนี่นา รักษาอาการบาดเจ็บหายตั้งนานแล้ว”
ทั้งสองรับป้ายทํางาน นั่งเรือเหาะมุ่งไปยังเวทีประลองกลาง
อากาศทํางานใช้แรงงานต่อ
หกวันหกคืนผ่านไปเวทีประลองบนฟ้าก็ใกล้เสร็จสิ้นลง
หินผามหึมาที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าสูงยี่สิบลี้ สร้างเป็นเวทีประลอง
หกเหลี่ยมมหึมาเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณสองลี้ บนหินผาสลักไว้ด้วย
อักขระต่างๆ ในนั้นยิ่งมีการเพิ่มพลังจากวิชาหุ่นกลไกและค่ายกล ลัทธิ
มารภูเขาสู่และขั้วอํานาจฝ่ายธรรมะทั้งเก้าต่างสร้างในส่วนของตน
เสร็จ ผลึกความคิดค่ายกลของทั้งลัทธิมารศาลาเหนือฟ้าและค่ายกล
ของตระกูลจูฝ่ายธรรมะต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวงสวรรค์ก็
สามารถสู้กันบนสนามประลองลอยฟ้านี้ได้
ประมาณครึ่งวัน งานขั้นตอนสุดท้ายก็เสร็จสิ้น
ธรรมะและลัทธิมารทั้งสองฝ่ายต่างมีคนมาตรวจสอบโดยเฉพาะ
พวกหลี่มู่นั่งอยู่บนเรือเหาะ รอผลตรวจสอบทว่าเมื่อเรือเหาะฝ่ายลัทธิมารมาถึงบนเวทีประลอง คนหลายสิบ
คนเดินลงมาจากเรือเหาะ หลี่มู่เพียงกวาดเนตรเทพก็พลันตื่นตะลึง
เพราะเขามองเห็นเซียวตง ลั่วเสวียนซิน ลู่ซวิ่นและชิวสุ่ยหมิงทั้งสี่
คนอย่างไม่คาดคิด ทั้งสี่ไปอยู่ในกลุ่มตรวจสอบของลัทธิมาร เปลี่ยน
เสื้อผ้า เสื้อเกราะของคนบนโลกนี้ มีมาดเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งพลังของทั้ง
สี่ยังเพิ่มขึ้นพรวดอย่างไม่น่าเชื่อ จนถึงขั้นฟ้าประทานแล้ว
อีกทั้งสิ่งที่หลี่มู่ยิ่งตกใจก็คือตําแหน่งของพวกเซียวตงทั้งสี่คนไม่ต�า
เลย ลูกศิษย์พรรคมารปฏิบัติอย่างเกรงใจกับพวกเขาเป็นอย่างมาก
นี่อยู่เหนือความคาดหมายของหลี่มู่มาก
เขายังเป็นห่วงว่าเจ้าหนูทั้งสี่จะเจออันตราย คิดไม่ถึงว่าจะจับพลัด
จับผลูกลายเป็นผู้นําระดับสูงของลัทธิมาร พวกเขาทําได้อย่างไร? หลี่มู่
สงสัยนัก
และนอกจากเซียวตงทั้งสี่คน หลี่มู่ยังได้เห็น ‘คนคุ้นเคย’ อีกสอง
คน
คนหนึ่งคือธิดาเทพของสํานักชําระดาบเยี่ยอู๋เหิน
อีกคนหนึ่งคือผู้สืบทอดสํานักเงาจันทร์ ‘คุณชายกระบี่เพลงพิณ’
นี่ก็สมเหตุสมผลในฐานะที่เป็นหนึ่งในสี่ผู้สืบทอดสี่สายแยกที่ยังหลงเหลืออยู่ของ
ลัทธิมารเขาสู่ มาปรากฏอยู่ในกลุ่มตรวจสอบเวทีประลองลอยฟ้า นั่นก็
ถูกตามหลักแล้ว
หลี่มู่คิดๆ ดูแล้วก็เก็บกลิ่นอาย ก้มหัวลงไป
เยี่ยอู๋เหินและคุณชายกระบี่เพลงพิณเคยเห็นเขามาก่อน โดย
เฉพาะเยี่ยอู๋เหิน นั่นเคยอยู่ด้วยกันช่วงหนึ่งเชียวนะ หากแค่มองแล้วจํา
ได้ขึ้นมาเช่นนั้นก็จะค่อนข้างกระอักกระอ่วนแล้ว
ดีที่เรื่องที่หลี่มู่กังวลไม่เกิดขึ้น
ขั้นตอนการตรวจสอบเวทีประลองลอยฟ้าราบรื่นเป็นอย่างดี
ท้าประลองสิบยก การประลองจะดําเนินขั้นอีกห้าวันหลังจากนี้
คนทั้งโลกต่างจับตาดู
ส่วนหลี่มู่หลังจากที่การตรวจสอบเสร็จสิ้นก็แอบติดต่อพวกเซียว
ตง นัดเวลาและสถานที่เพื่อพบกัน เขาจะถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ขณะเดียวกัน ก็จะต้องวางแผนดีๆ ไม่ว่าสุดท้ายแล้วการประลองของ
ธรรมะและมารจะเป็นอย่างไรก็ตาม จะต้องปกป้องเชื้อไฟของโลกไว้ให้
ดี
………………………………………………