จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 537 ผู้สืบทอดฝืนชะตา
“อะไรนะ? พวกเจ้าตอนนี้กลายเป็นศิษย์ชั้นเยี่ยมของภูเขาสู่แล้ว
หรือ?”
นอกเมืองไป๋ตี้ในสถานที่ลับตา หลังจากหลี่มู่ฟังพวกเซี่ยวตง ลั่ว
เสวียนซินเล่าจนจบ รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
ทั้งสี่คนได้เข้าช่วยเหลือเทพธิดาเยี่ยอู๋เหินแห่งสํานักชําระดาบ จน
จับพลัดจับผลูเข้าไปอยู่ในเมืองไป๋ตี้ที่ขั้วอํานาจฝ่ายธรรมมะทั้งเก้าใช้
ร้อยแปดพันวิธีก็ยังเข้าไปไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากวันนั้นมีการปะทุ
ของปราณล�าค่าบัวเขียว ทั้งสี่คนดูดซับปราณล�าค่าได้อย่างรวดเร็ว
สร้างความตกตะลึงแก่ลัทธิมาร จากนั้นได้เข้ารับการทดสอบและถูก
พิสูจน์ว่ามีสายเลือดบริสุทธิ์ของลัทธิมาร ดังนั้นจึงกลายมาเป็นศิษย์ชั้น
เยี่ยมของลัทธิมารแห่งภูเขาสู่ และได้เข้าสู่เมืองไป๋ตี้เพื่อฝึกบําเพ็ญ
ดังนั้น พลังของพวกเขาจึงทะยานไปอย่างรวดเร็ว เข้าสู่ขั้นฟ้า
ประทานแล้ว
หลี่มู่ฟังจบ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเลยทีเดียว
นี่ถือว่าเป็นโอกาสใช่ไหม?แต่ว่า ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องดี
อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลเรื่องพวกเขาทั้งสี่คนแล้ว
“อาจารย์ ท่านจะต้องเดาไม่ถูกแน่ว่าด่านการทดสอบของเมือง
ไป๋ตี้ใช้วิธีอะไร?” ลู่ซุนเอ่ยขึ้นอย่างยินดี “พวกเราทั้งหมดก็ตะลึงงันไป
เลย คิดว่ามีคนมาล้อกันเล่นเสียอีก”
หลี่มู่หัวเราะตอบว่า “คงไม่ได้ใช้บทกวีของหลี่มู่หรอกใช่ไหม?”
ทั้งสี่คนอ้าปากค้างพร้อมกัน
“อาจารย์ทําไมท่านจึงรู้ทุกเรื่องเลย?” ลู่ซุนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าแห่ง
ความพ่ายแพ้
เซี่ยวตงกลับเอ่ยขึ้นอย่างสมเหตุสมผล “ระดับอาจารย์ทําได้ทุก
เรื่องอยู่แล้ว”
ความเทิดทูนของเด็กคนนี้ไปถึงถึงระดับ ‘ป่วยจนเยียวยาไม่ได้
แล้ว’
“ที่แท้ลัทธิมารภูเขาสู่ ก็เป็นสิ่งที่กวีเอกหลี่ไป๋สืบสานเอาไว้นี่เอง
หลี่ไป๋ในราชวงศ์ถังจากดาวโลกคนนั้น” ชิวสุ่ยหมิงเอ่ยอย่างทอดถอน
เช่นกัน “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหนึ่งพันปีก่อนจะมีคนที่ออกจากดาวโลก
เหยียบย�าสู่ทางช้างเผือก หลี่ไป๋นี่เป็นเซียนกระบี่จริงๆ”“ใช่ๆ จากที่พวกเราคาดการณ์ไม่น่าจะเป็นแค่หลี่ไป๋เท่านั้น แต่ยัง
มีคนโบราณอีกมากมายที่ออกจากดาวโลกเช่นกัน…” ลั่วเสวียนซินเป็น
สาวงามจากดาวโลก โดดเด่นในบู๊ลิ้ม รูปร่างสูงยาวสะโอดสะอง มีความ
องอาจที่หาได้ยากยิ่งจากหญิงสาว ระหว่างที่นางพูดก็รู้สึกความลิงโลด
เช่นเดียวกัน
“ว่ากันว่า ยังมีเส้นทางเซียนอีกเส้นทาง…”
“ใช่ๆ เช่นนี้ก็พูดได้ว่าภูเขาสู่ก็คือสายเลือดเดียวกับดาวโลกของ
เรานั่นเอง หรือว่าตํานานเกี่ยวกับเซียนกระบี่ภูเขาสู่บนดาวโลกสมัย
โบราณจะเป็นเรื่องจริง?”
ทั้งสี่คนดูดีใจอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่สุดก็ได้พบกับแบบอย่างในใจของตนเอง
บนดาวดวงนี้ สําหรับพวกเขาแล้วถือเป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรดียิ่งกว่า
หลี่มู่หัวเราะหึหึมองพวกเขา
ลั่วเสวียนซินตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง เอ่ยว่า “อาจารย์…ท่าน
คงไม่ได้รู้ทั้งหมดอยู่แล้วใช่ไหม?”
หลี่มู่หัวเราะร่า
ทั้งสี่คนเอามือปิดหน้าทันทีพวกเขาทําเหมือนกับมอบสมบัติ มารายงานให้หลี่มู่ฟัง ที่แท้คนที่
ต้องมานั่งสํานึกภายหลังกลับเป็นพวกเขา
“พวกเจ้าสามารถพาคนเข้าไปในเมืองไป๋ตี้ได้ไหม?” หลี่มู่ถามขึ้น
เขาเล่าเรื่องที่พบกับพวกกู่ลั่งและสถานที่ออกมาเสียรอบหนึ่ง
ลู่ซุนทั้งสี่คนฟังจบทั้งร้อนรนทั้งโมโห
“เจ้าพวกที่เรียกตนว่าฝ่ายธรรมมะกลับมาเข่นฆ่าสังหารผู้คน สู้
พวกลัทธิมาไม่ได้เลย”
“แค้นนี้ไม่จบเท่านี้แน่”
“สํานักกระบี่ทะเลประจิมช่างโฉดชั่วเสียจริง”
หลี่มู่เอ่ยต่อ “หนี้แค้นนี้ค่อยชําระคราวหลังได้ แต่ว่าสิ่งสําคัญที่สุด
ตอนนี้คือพาพวกของผู้อาวุโสกู่ส่งไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยเสียก่อน ทั่ว
ทั้งภูเขาสู่ก็มีเพียงเมืองไป๋ตี้ที่แข็งแกร่งยังไม่ถูกตีแตก สถานการณ์ใน
เมืองเป็นอย่างไรบ้างล่ะ?”
ลู่ซุนเอ่ยขึ้นอย่างมั่นใจว่า “ส่วนในภูเขาสู่สามัคคีกันอย่างมาก ทั้ง
สี่ฝ่ายล้วนวางความโกรธแค้นในอดีตลงหมดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นทาง
เซียนถังและเขาหลี่ที่ถูกทําลายไปแล้ว ก็ยังปรากฏตัวของผู้สืบทอด
ขึ้น”โอ้ ยังมีเรื่องเช่นนี้ด้วย?
เซียนถังและเขาหลี่ก็ยังมีผู้สืบทอดปรากฏตัวออกมา
ดูท่าเรื่องในของลัทธิมารจะลึกเสียยิ่งกว่าที่คิดเอาไว้อีก
เพียงแต่ว่าผู้สืบทอดของฝืนชะตา ทําไมจึงยังไม่ปรากฏตัว?
ความคิดเหล่านี้เข้ามาแล้วก็ผ่านไปในสมองของหลี่มู่ เขาถามต่อ
“แล้วพวกเจ้าสามารถพาพวกของผู้อาวุโสกู่เข้าเมืองไป๋ตี้ได้หรือไม่?”
“น่าจะไม่ใช่ปัญหา” ลู่ซุนตอบ “แต่ว่า ก็ยังต้องเจรจากับเจ้าสํานัก
ของแต่ละสายเสียก่อน ตอนนี้การคุ้มกันในเมืองไป๋ตี้เข้มงวดมาก กลัว
ว่าจะมีสายของฝ่ายธรรมมะลอบเข้าไป ดังนั้นทางเข้าลับต่างๆ จึงมีการ
ตรวจตราอย่างเข้มงวด”
หลี่มู่พยักหน้า
เรื่องนี้ก็มีเหตุผลอยู่
เมื่อครู่เขากําลังจะพูดอะไร จู่ๆ สีหน้าได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย มองไป
ยังด้านหลังร่างเงาประดุจแสงลอยผ่าน ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ร่างในชุดสี
เขียวสีมรกต งดงามจับตา ประกอบกับผมยาวสีเขียวอ่อน มีเสน่ห์ราว
กับภูตในป่าลึก มีความงามจับจิตสั่นคลอนวิญญาณ
เทพธิดาเยี่ยอู๋เหินแห่งสํานักชําระดาบนั่นเอง
“เป็นเจ้าเองหรือ?” เยี่ยอู๋เหินจ้องมองหลี่มู่ จากนั้นมองไปยังชุด
ทํางานที่มีสัญลักษณ์ของสํานักกระบี่ทะเลประจิมบนตัวหลี่มู่ สีหน้า
เปลี่ยนเป็นเย็นชาราวน�าแข็งขึ้นทันควัน “เจ้าไม่ใช่คนดีเด่อะไรจริงๆ
ด้วย ที่แท้ก็เป็นพวกสายของเก้าสํานักฝ่ายธรรมมะนี่เอง”
หลี่มู่ตอบ “จริงๆ เรื่องราวไม่ได้เหมือนที่เจ้าคิดหรอกนะ…”
ประโยคอันแสนจะคุ้นเคย
แต่เยี่ยอู๋เหินไม่อยากจะฟังหลี่มู่เถียงข้างๆ คูๆ อย่างชัดเจน
เขาเหลือบตามองพวกของลู่ซุนทั้งสี่คน เอ่ยต่อว่า “พวกเจ้ากล้า
มาอยู่กับสายเช่นนี้ หรือว่าก็จะเป็นพวกฝ่ายธรรมมะลอบเข้ามา
เหมือนกัน? พวกเจ้าละอายต่อสายเลือดลัทธิเทพในตัวเองบ้างไหม?”
ทั้งสี่คนไม่รู้ว่าจะพูดออกมาอย่างไรหลี่มู่กลับอยู่ในท่าทีสมเหตุสมผล เอ่ยต่อว่า “เจ้ามาก็ดีแล้ว ว่าจะ
รบกวนเจ้าให้ช่วยพาคนบางส่วนเข้าไปในเมืองไป๋ตี๋เสียหน่อย ด้วย
ฐานะของเทพธิดาสํานักชําระดาบแล้วคงจะไม่ใช่เรื่องยากกระมัง?”
เยี่ยอู๋เหินถลึงตากลมโต รู้สึกตามปฏิกิริยาของหลี่มู่ไม่ทันไป
ชั่วขณะ
ข้ายังไม่ได้สืบสวนกับเจ้าเลยนะ นี่เจ้ากล้ามาขอร้องกันแล้วหรือ?
นางเอ่ยขึ้นด้วยความโมโห “เจ้าล้อข้าเล่นอยู่หรือไร? สายอย่างเจ้า
ยังคิดจะให้ข้าพาเข้าเมืองไป๋ตี้อีกหรือ บ้าไปแล้วหรือไรกัน?”
หลี่มู่หัวเราะ “ถ้าเจ้าช่วยข้าพาคนเหล่านี้ไปปกป้องในเมืองไป๋ตี้
ข้าก็จะช่วยพวกเจ้ารับมือกับพวกเก้าพรรคฝ่ายธรรมมะ”
เยี่ยอู๋เหินร้องเชอะขึ้น ลงมือทันที
‘ดาบชําระจันทรา’ ฟาดฟันลงมาราวสายฟ้า
หลี่มู่สั่นศีรษะยกมือขึ้น คีบเอาคมดาบเอาไว้ระหว่างนิ้ว ไม่ว่าเยี่ยอู๋
เหินจะกระตุ้นพลังดิ้นรนอย่างไรก็สลัดไม่หลุด นางจ้องมองหลี่มู่อย่าง
ตกตะลึง “เจ้า…ที่แท้พลังของเจ้าก็แข็งแกร่ง ก่อนหน้านี้แค่แสร้งทํา
เช่นนั้นหรือ? บอกมา เจ้าเป็นใครกันแน่?”หลี่มู่มองคมดาบในมือ ด้านที่ฟันลงมาหาเขาเป็นสันดาปไม่ใช่คม
ดาบ ดังนั้นดาบเมื่อครู่ของเยี่ยอู๋เหิน ถึงจะดูเหมือนโหดเหี้ยมร้ายกาจ
แต่จริงๆ ก็เพียงกะจะฟาดให้สลบหรือบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น
ถึงปากจะดูโหดร้าย แต่ก็ยังคงกระด้างภายนอกอ่อนโยนภายในอยู่
ดี
หลี่มู่หัวเราะ “ข้าคือเป็นคนลัทธิมาร อ่อ ไม่สิ เป็นคนของลัทธิเทพ
เพียงแต่ตอนนี้แฝงตัวอยู่ในเก้าขั้วอํานาจใหญ่เท่านั้น”
พูดโกหกส่งเดชไปทั้งนั้น
เยี่ยอู๋เหินเมื่อได้ยิน ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นในแววตาได้
สั่นคลอนขึ้น
“เจ้า…” นางจู่ๆ ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ดวงตาเปล่งแสง
ประกายประหลาด เอ่ยต่อว่า “หรือว่าเจ้าคือ…ผู้สืบทอดของฝืน
ชะตา?”
“โอ๋ ข้าปิดบังตัวตนขนาดนี้ กลับถูกเจ้าเดาออกมาเสียแล้ว” หลี่มู่
ตกตะลึง จากนั้นรีบเล่นตามน�าต่อทันที “สาวน้อย ฉลาดยิ่งนัก”
ถึงอย่างไรตอนนี้การจะเล่าเรื่องบนดาวโลกและหลี่ไป๋ออกมา คง
ต้องใช้เวลาครึ่งค่อนวัน ยิ่งไปกว่านั้นยังยากที่จะอธิบายให้เข้าใจ ดังนั้นสู้สวมเขาปลอมเป็นผู้สืบทอดของ ‘ฝืนชะตา’ ไปเสียก่อนเลย จัดการ
เรื่องศึกธรรมมะอธรรม วันหลังค่อยมาอธิบายก็ยังไม่สาย
“เจ้า…จะพิสูจน์ได้อย่างไร?” เยี่ยอู๋เหินดิ้นรนอย่างสุดกําลัง
พยายามจะชัก ‘ดาบชําระจันทรา’ กลับมา “ปล่อย”
หลี่มู่คลาย ‘ดาบชําระจันทรา’ ในมือออก
เยี่ยอู๋เหินยังคงอยู่ในท่าทีระแวดระวัง ถอยฉากไหววูบออกไปอย่าง
รวดเร็วเพื่อเว้นระยะห่าง ในมือกําดาบ อยู่ในท่าพร้อมออกกระบวน
จ้องมองพิจารณาหลี่มู่ทั้งบนล่าง ดวงตามีความอ่อนโยนขึ้นบ้างแล้ว
“พูดปากเปล่าไม่มีน�าหนัก ถ้าเจ้าเป็นคนของลัทธิมารจริง กล้ารับการ
พิสูจน์เลือดเทพหรือไม่?”
การพิสูจน์เลือดเทพ?
หลี่มู่ตะลึงงัน
ลู่ซุนที่อยู่อีกด้านเอ่ยขึ้น “อาจารย์ พวกเราก็รับการพิสูจน์เลือด
เทพมาแล้ว ต้องการเลือดเพียงหยดเดียวก็ใช้ได้”
หลี่มู่คิดๆ เอ่ยขึ้นว่า “ได้” ไม่ต้องกลัวอะไรเลย คนทั่วดาวโลกล้วน
มีสายเลือดลัทธิเทพทั้งสิ้นเยี่ยอู๋เหินหยิบเอาวัตถุโลหะทรงกลมขนาดกําปั้ นที่เต็มไปด้วยรอย
แกะสลักประหลาด ตรงกลางกลวงมีแสงสีเงินประหลาดไหลเวียนอยู่
ออกมาพร้อมเอ่ยว่า “เจ้าหยดเลือดลงมา”
หลี่มู่ดีดนิ้ว เลือดสดหยดหนึ่งดีดยิงไปยังวัตถุโลหะกลวงลงลาย
สลักนั้น
หลังจากผ่านความสงบไปครู่หนึ่ง วัตถุโลหะทรงกลมสีเงินได้
เปล่งแสงประหลาดออกมากะทันหัน ราวกับจันทร์ทรงกลดเผาไหม้
แสงแผดเผาเริงระบํา ด้านในมีเสียงมังกรคํารามอยู่เลือนราง ท้ายสุดได้
ปรากฏภาพมายามังกรสีเงินขนาดนิ้วขึ้นมาตัวหนึ่ง บินลอยออกมาจาก
ด้านในวัตถุทรงกลมโลหะสีเงิน พันรัดรอบวัตถุทรงกลม รูปร่างสวยสง่า
ราวกับมีชีวิต
“ว้าว…”
“ของข้าตอนนั้น เป็นภาพมายาเหมือนกับกระต่ายสีเงินตัวหนึ่ง
เอง”
“ของข้าเป็นค้างคาวตัวหนึ่ง”
“ของข้าเป็นต้นไม้ต้นหนึ่ง”
เหล่าพันธมิตรยุทธ์ทั้งสี่อ้าปากกว้างอย่างคนไม่มีอนาคตอาจารย์ก็ยังเป็นอาจารย์วันยังค�า กลายเป็นภาพมายามังกรสีเงิน
ตนหนึ่งเลยทีเดียว
“มังกรบินร่อนเก้านภา ซ่อนกายในห้วงลึก สิ่งมีชีวิตแห่งทวยเทพ
เลยนะ”
เยี่ยอู๋เหินจ้องมองวัตถุโลหะทรงกลมสีเงินที่ลอยหมุนอยู่บนอากาศ
ด้วยความตกตะลึงขีดสุด
มีเพียงนางที่รู้ ว่ามันหมายถึงอะไร
เป็นสายเลือดแห่งลัทธิเทพไม่ผิดแน่แล้ว ผู้สืบทอดแห่งฝืนชะตา
ในที่สุดก็ปรากฏตัว
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสายเลือดแห่งมังกรแท้เสียด้วย
หลี่มู่กวักมือกลับ เลือดหยดนั้นลอยกลับมาผสานกลับเข้าไปที่
ปลายนิ้ว จากนั้นหัวเราะคิกคักเอ่ยขึ้น “เป็นอย่างไร ตอนนี้เจ้าเชื่อแล้ว
ใช่ไหม?”
เยี่ยอู่เหินค่อยๆ สงบลงมาได้แล้ว
นางเก็บวัตถุโลหะทรงกลมสีเงินกลับมา จ้องมองหลี่มู่ด้วยสีหน้า
แปลกประหลาด ในที่สุดจึงเอ่ยขึ้น “ถึงแม้เจ้าจะเป็นผู้สืบทอดของฝืน
ชะตา แต่หากคิดจะส่งคนเข้าไปในเมืองไป๋ตี้ ก็ต้องดูอีกฝ่ายเสียก่อน มีเพียงคนของลัทธิเทพเท่านั้นที่จะเข้าไปได้ คนอื่นๆ ต่อให้เป็นเจ้าลัทธิก็
เข้าไปไม่ได้” พูดถึงจุดนี้ น�าเสียงของนางก็อ่อนโยนลงบ้างแล้ว เอ่ยต่อ
ว่า “ตอนนี้ในเมืองไป๋ตี้ปลอดภัยแค่ชั่วคราวเท่านั้น พอหลังจากศึกใหญ่
ของธรรมมะและอธรรมแล้ว…หากคิดจะปกป้องเพื่อนของเจ้า ส่งออก
ไปนอกภูเขาสู่จะดีกว่า”
เอ๋?
เป็นถึงระดับสูงของลัทธิเทพ แต่สถานะกลับหมดอาลัยตายอยาก
เช่นนี้เชียว
หลี่มู่ยิ้มๆ เอ่ยตอบ “วางใจเถอะ มีข้าอยู่ เมืองไป๋ตี้จะปลอดภัยไร้
กังวล”
“เหอๆ” เยี่ยอู๋เหินหัวเราะจางๆ เห็นได้ชัดว่าให้ความสําคัญกับ
ประโยคนี้ระดับไหน
จากที่นางเห็น หลี่มู่แข็งแกร่งจริง แกร่งกว่านาง แต่ความแข็งแกร่ง
ก็มีข้อจํากัด อย่างมากก็แค่ขั้นมหาเทวะ อายุเพียงเท่านี้สามารถ
บําเพ็ญถึงขั้นที่ว่าได้ถือว่าแข็งแกร่งมาก แต่บอกว่าสามารถส่งผล
กระทบได้ถึงผลลัพธ์ของศึกธรรมมะอธรรมครั้งนี้ มันก็แค่คนบ้านั่งฝัน
เท่านั้น ถึงอย่างไรคนระดับอาวุโสก็ยังมีขั้นทะลวงสวรรค์อยู่ด้วย
กระทั่งระดับเทพเจ้าก็ยังมี…ไม่มีเวลาแล้วนะท้ายสุด จากความร่วมมือของเยี่ยอู๋เหิน พวกของกู่ลั่งหลังจากผ่าน
การพิสูจน์เลือดเทพ ก็ได้เข้าไปอยู่ในเมืองไป๋ตี้
หลี่มู่ไปส่งยังประตูเมือง แต่ไม่ได้เข้าไป
“ปะปนอยู่ในเก้าพรรคใหญ่มันอันตรายมาก สู้เจ้ากลับมายังใน
เมืองไป๋ตี้ดีกว่า บุกเข้าสังหารซึ่งๆ หน้ากับเจ้าพวกสุภาพบุรุษ
จอมปลอมฝ่ายธรรมมะด้วยกัน” เยี่ยอู๋เหินหลังจากส่งพวกกู่ลั่งเข้าเมือง
แล้วได้กลับออกมา เอ่ยขึ้นอย่างใส่ใจ
หลี่มู่หัวเราะ “เจ้ากําลังเป็นห่วงข้าหรือ? วางใจเถอะ ข้าไม่เป็น
อะไรหรอก”
“เชอะ งั้นก็ตามใจเจ้า” สีหน้าเยี่ยอู่เหินเปลี่ยนกลับไปเป็นน�าแข็ง
อีกครั้ง “เจ้าเองก็ระวังตัว อย่าไปตายด้านนอกเมืองไป๋ตี้เสียล่ะ ถึงตอน
นั้นกระทั่งร่างของเจ้าก็คงไม่มีเหลือ แล้วก็ไม่มีใครสนใจเจ้าด้วย” นาง
คือหญิงสาวที่สวยงามเข้มงวด เย็นชาดุจน�าแข็ง กระด้างภายนอกแต่
อ่อนโยนอยู่ภายในคนหนึ่ง
หลี่มู่ตอบ “ขอแค่เจ้าไม่ขายข้า ข้าก็ปลอดภัยแล้ว”
“เจ้าวางใจเถอะ เรื่องของเจ้าจะไม่มีคนอื่นรู้อีก” เยี่ยอู๋เหินแน่นอน
ว่าเข้าใจความหมายของหลี่มู่ นี่เป็นความลับ นางจะไม่เอาเรื่องนี้ไป
บอกกับคนในเมืองไป๋ตี้ก่อนชั่วคราว“เช่นนั้นก็ดี ไว้เจอกันนะ” หลี่มู่ร่างไหววูบ จากไปอย่างรวดเร็ว
เยี่ยอู๋เหินยืนอยู่ที่เดิม จ้องมองเงาของหลี่มู่ที่หายไปอย่างเลื่อน
ลอย สีหน้าบนใบหน้างามเปลี่ยนเป็นความซับซ้อนขึ้นมา
“ทําไมถึงเป็นเขากันล่ะ?”
นางเอ่ยกับตนเอง
………………………………………