จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 538 ผู้สืบทอดฝืนชะตา (2)
ขณะที่กลับมาถึงยอดเขาโต๊ะ หลี่มู่รู้สึกได้ว่าบรรยากาศในสํานัก
กระบี่ทะเลประจิมแตกต่างออกไป
กลิ่นอายความตึงเครียดก่อนศึกใหญ่ฟุ้งไปทั่ว
เวทีประลองกลางอากาศเสร็จเรียบร้อย นั่นหมายถึงการท้าดวลสิบ
สนามของลัทธิมารภูเขาสู่กับเก้าสํานักใหญ่ฝ่ายธรรมมะใกล้จะเริ่มขึ้น
แล้ว
สํานักกระบี่ทะเลประจิมกําลังเตรียมการรบ
ส่วนพวกผู้ใช้แรงงานอย่างหลี่มู่ กลับถูกจับตาเข้มงวดกว่าเดิม
ไม่ให้ออกไปเดินเพ่นพ่านในยอดเขาโต๊ะ หากไม่มีการแต่งตั้งหรือคําสั่ง
จากสํานักกระบี่ทะเลประจิมแล้วต้องอยู่ในห้องของแต่ละคนเท่านั้น
แทบจะเรียกได้ว่าถูกควบคุมไว้เลย
บ่ายวันเดียวกัน มีพวกคนจากบู๊ลิ้มที่มาชมมหรสพกับพวกสํานัก
เล็กๆ บางส่วน เลือกที่จะตีกลองถอยทัพ ออกห่างจากที่นี่เสียก่อน
ความทารุณของเก้าสํานักใหญ่ทําเอาคนเหล่านี้รู้สึกได้รับการเหยียด
หยาม ดังนั้นจึงใช้วิธีนี้ต่อต้าน“เสี่ยวต้วน เจ้าก็ออกไปจากที่นี่เถิด” ติงอี้เอ่ยเตือนหลี่มู่เบาๆ
หลี่มู่แสดงออกถึงท่าทีสนอกสนใจอย่างถึงที่สุด เอ่ยว่า “อย่าเลย
พี่ติง ศึกของธรรมมะกับอธรรมเลยนะ ปูมาเสียนานขนาดนี้จนกําลังจะ
แสดงอยู่แล้ว ส่วนที่ตื่นเต้นที่สุดกําลังจะมา ข้ากว่าจะได้โอกาสนี้ไม่ใช่
ง่ายๆ ข้าจะต้องดูจนจบให้ได้”
ติงอี้พูดอย่างปากเปียกปากแฉะด้วยเจตนาดี “แต่ว่ามันอันตราย
มากนะ เจ้าคิดว่าคนเหล่านั้นเลือกออกจากที่นี่เพราะถูกปฏิบัติอย่าง
โหดร้ายหรือไรกัน ไม่ใช่ เหล่าคนจากยุทธจักรนี้ก็เหมือนกับนกที่รู้
ล่วงหน้าถึงวันฟ้าใสลมพัดเอื่อยนั่นล่ะ พวกเขาสัมผัสได้ถึงอันตราย
ดังนั้นจึงเลือกที่จะออกไป”
“อันตราย?” หลี่มู่เอ่ยขึ้น “กลัวว่าจะกลายเป็นกระสุนปืนใหญ่ที่
ถูกส่งไปตายเช่นนั้นหรือ?”
ติงอี้มองหลี่มู่ดีขึ้นมาบ้าง “เจ้าก็ยังคิดถึงจุดนี้ได้ถือว่าไม่เลวแล้ว
แต่ว่าอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นมันไม่ได้หยุดเพียงแค่นี้…ช่างเถอะ ไม่พูด
มากแล้ว ข้าติดต่อกับเรือเหาะที่จะพาหนีให้กับเจ้าแล้ว เจ้าออกไปคืนนี้
เลยเถิด”
หลี่มู่สั่นศีรษะ ตอบว่า “ข้าจะอยู่ที่นี่ดูมหรสพ”
เขาย้อนถามกลับ “เช่นนั้นพี่ติงทําไมถึงไม่ออกไปบ้างล่ะ?”“ข้าเป็นถึงจอมยุทธเลื่องชื่อแห่งยุทธจักร มหรสพของที่นี่หนีข้าไม่
พ้นหรอก” ติงอี้โม้ขึ้นมาอย่างเคยชิน จากนั้นจ้องมองมาที่หลี่มู่ คิดจะ
พูดอะไรแต่ก็หยุดเอาไว้ ท้ายสุดจึงสั่นศีรษะเดินจากไป
หลี่มู่มองแผ่นหลังของติงอี้ ในใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
เพื่อนที่พบเจอกันที่โรงเตี๊ยมคนนี้ ถึงแม้จะชอบคุยโม้โอ้อวด ไม่ได้
มีฝีมืออะไร เป็นเพียงแค่คนระดับล่างของยุทธจักรแห่งดาวทุรกันดารนี้
ทว่ามีน�าจิตน�าใจมากกว่าพวกสูงส่งจากพวกที่เรียกว่าเก้าสํานักฝ่าย
ธรรมมะไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
คนธรรมดามักใส่ใจต่อสิ่งที่เรียกว่าคุณธรรม ส่วนคนที่ชอบสร้าง
เวรสร้างกรรมทรยศความดีงามล้วนเป็นพวกคนสูงส่งมีความรู้
ก่อนอาทิตย์จะลับฟ้าในวันเดียวกัน ก็มีคนจํานวนไม่น้อยที่เดิน
จากไป
ม่านแห่งราตรีได้มาถึง
หลี่มู่นั่งสมาธิอยู่ในห้องหิน ฝึกบําเพ็ญปราณแท้บริสุทธิ์
จู่ๆ ด้านนอกมีเสียงลมหายใจและเสียงฝีเท้าย่องดังขึ้น
หลี่มู่ไม่ขยับเขยื้อนเหมือนไม่ได้รู้สึกถึงประตูห้องหิน จู่ๆ ถูกเปิดออก เงาร่างหนึ่งรวดเร็วราวสายฟ้า
พริบตาได้เข้ามาอยู่ตรงหน้าหลี่มู่ แสงดาบสว่างวาบ สันดาปฟาดลงไป
ที่หลังศีรษะของหลี่มู่
หลี่มู่ร่างปวกเปียกล้มลงกับพื้น
“เสี่ยวต้วน เสี่ยวต้วน?” ร่างเงานี้เขย่าตัวหลี่มู่เบาๆ
แสงจันทร์ด้านนอกสาดส่องเข้ามากระทบบนใบหน้า เป็นติงอี้ที่
เดินจากไปแล้วกลับมาใหม่นั่นเอง
เมื่อเห็นหลี่มู่ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะสลบไสลไปแล้ว ติงอี้จึงวางใจลง
หยิบเอาเชือกแข็งแรงเส้นหนึ่งมัดตัวหลี่มู่เอาไว้อย่างแน่นหนา จากนั้น
แบกเขาขึ้นมาเดินออกจากห้องหิน
ตลอดทาง ติงอี้ระมัดระวังอย่างมาก ราวกับกําลังหลบหลีกอะไร
บางอย่าง
ใต้แสงจันทร์ เขาแบกหลี่มู่ตรงมาถึงท่าเรือชั่วคราวทางฝั่ ง
ตะวันตกของยอดเขาโต๊ะ เรือเหาะขนาดเล็กที่มีห้องโดยสารลําหนึ่ง
ด้านบนมีอยู่พอสมควร
เมื่อเห็นติงอี้เดินมา คนหนึ่งในนั้นถามขึ้นว่า “พาคนมาแล้วใช่
ไหม?”“อืม พามาแล้ว” เขาทิ้งหลี่มู่ลงมา ติงอี้เอ่ยต่อว่า “ถึงเมืองวิหค
สวรรค์ก็พอแล้ว”
“ไป” คนนั้นรับตัวหลี่มู่ โยนไว้บนดาดฟ้าเรือ จากนั้นสั่งให้ผู้ช่วย
ขับเคลื่อนเรือเหาะออกเดินทาง
เส้นสายหนึ่งวาดผ่านชั้นทะเลเมฆ เรือเหาะทะยานออกไปยังด้าน
นอกของภูเขาสู่อย่างรวดเร็ว
ติงอี้มองเรือเหาะที่ลับตาไป พลางถอนใจออกมา “ขอโทษด้วยนะ
น้องชาย”
จากนั้น เขากระโจนตัวพุ่งไปยังด้านล่างยอดเขาโต๊ะทันที
ติงอี้ที่อยู่ระดับสูงสุดขั้นยอดปรมาจารย์ พริบตานี้ วิชาและ
ความเร็วที่แสดงออกมาไม่ได้สอดคล้องกับขั้นพลังของเขาเลย รวดเร็ว
เป็นหนึ่งราวกับห่านเดี่ยวดาย เพียงวูบเดียวพุ่งไกลนับลี้ ชัดเจนว่าเป็น
วิชาลับในการหลบหนีวิชาหนึ่ง
เขารวดเร็วดุจสายฟ้า เพียงอึดใจก็ได้มาถึงด้านล่างของยอดเขา
โต๊ะแล้ว
ยอดเขากระบี่ของภูเขาสู่ แต่ละลูกๆ เสียบลงไปยังพื้นดิน มองจาก
บนอากาศลงไปเป็นเหมือนกับต้นไม้ใหญ่เทียมฟ้ารวมกันเป็นป่าอย่างไรอย่างนั้น ส่วนล่างของยอดเขาดาบแคบเล็กขรุขระ มืดทึบชื้น
แฉะ หลายสถานที่มองไม่เห็นแสงตะวัน เต็มไปด้วยตะใคร่น�าดินโคลน
เงยหน้าขึ้นมองเห็นเพียงฟ้าเส้นหนึ่งเท่านั้น
ในช่วงกลางคืน เส้นแสงมืดสนิทจนไม่เห็นกระทั่งนิ้วมือ ราวกับ
เป็นนรกภูมิอันมืดสนิทอย่างไรอย่างนั้น
ติงอี้มาถึงยังป่าหินขนาดเล็กแห่งหนึ่งอย่างชํานิชํานาญเส้นทาง
ป่าหินนี้เหมือนสิ่งที่ธรรมชาติสรรค์สร้าง และเหมือนเกิดขึ้นจาก
การที่ป่าไม้แปรสภาพกลายเป็นหิน ผิวเผินมองแล้วไม่ได้มีความ
ประหลาดแต่อย่างใด ทว่าขณะที่ติงอี้เดินเข้าไปด้านในจนมาถึงด้านบน
เสาหินแท่งหนึ่งที่อยู่ตรงกลางสุด นั่งลงขัดสมาธิทําปางมือ ธาตุใน
อากาศได้เกิดการไหลเวียนขึ้น
ป่าหินทั้งหมดได้หายไปอย่างกะทันหัน
จากนั้นเสียงครืนครันสั่นสะเทือน ก้อนหินร่วงหล่นราวเม็ดฝน
ชั่วระยะเวลาหนึ่งเค่อ ยอดเขาโต๊ะถูกถอนดึงขึ้นมากว่าสามสิบจั้ง
จากนั้นจึงค่อยๆ หยุดลง
ติงอี้ทั่วตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อพลังที่ทั้งประหลาดและยิ่งใหญ่ไหลเวียน ทั่วร่างของเขาเปล่งแสง
สีแดงดําออกมา
พลังของขั้นมหาเทวะพันรัดรอบตัวของติงอี้ ปะทุขึ้น
ชัดเจนแล้วว่านี่คือพลังที่แท้จริงของเขา
นานพอควร เขาค่อยๆ ถอนใจยาวออกมา
“ในที่สุดก็ดึงขึ้นมาได้สูงอีกหน่อย ต้องรีบแล้ว มิเช่นนั้นเวลาจะไม่
ทันการ ข้าจะมารั้งท้ายไม่ได้” ติงอี้พูดกับตนเอง
และจากการที่เขาทําปางมืออีกครั้ง ตราประทับลอยขึ้นกรอกเข้า
ไปยังเสาหินป่าหินรอบๆ เสียงหมุนขยับของก้อนหินดังขึ้น เสาหินกลับ
สู่สภาพเดิม ป่าหินทั้งป่าค่อยๆ ปรากฏกลับมาอีกครั้ง
ติงอี้ลุกขึ้นเดินออกจากป่าหิน
เงยหน้าขึ้นมองฟ้า แสงจันทร์กระจ่าง
เมื่อเทียบกับอีกฝั่ ง สํานักกระบี่ทะเลประจิมบนยอดเขาโต๊ะคงจะ
วุ่นวายกันอีกครั้งแล้ว
เขายิ้มๆ ขณะที่กําลังจะออกมา สีหน้าได้เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันขณะที่หันหลังกลับอย่างฉับพลัน ด้านหน้าของป่าหิน ไม่รู้ว่ามีเงา
ร่างหนึ่งในชุดกระบี่สีแดงปรากฏขึ้นเมื่อไร เมื่ออยู่ในความมืดราวกับ
เปลวเพลิงที่กําลังแผดเผา ในดวงตาทั้งคู่เหมือนมีสายฟ้าแสงกระบี่
ไหลเวียนอยู่ มีแสงไฟวูบวาบอย่างมหัศจรรย์
“ ‘หนึ่งกระบี่ทะเลประจิม’ ถานหรูซวง?”
ติงอี้หน้าถอดสี
เงาที่จู่ๆ ปรากฏขึ้น คือเจ้าสํานักกระบี่ทะเลประจิมแห่งสามสํานัก
กระบี่ใหญ่ถานหรูซวง ยืนสงบนิ่งอยู่ด้านหน้าป่าหิน ขวางทางเดินกลับ
เข้าไปยังป่าหินของติงอี้เอาไว้
“หนูสกปรกที่ซ่อนตัวอยู่เนิ่นนาน ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง?”
อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น
เป็นเจ้าเมืองธารเหมันต์ชวีอี้ รวมไปถึงเจ้าเมืองน้อยชวีเสวี่ยหนิง
และศิษย์ธารเหมันต์คนอื่นๆ
ขณะเดียวกัน มีเงาคนมากมายปรากฏขึ้นรอบด้าน
ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งจากสํานักกระบี่ทะเลประจิมและเมืองธาร
เหมันต์ ซึ่งหลบซุ่มอยู่ก่อนหน้าแล้วสีหน้าของติงอี้เคร่งขรึมขึ้นมา
เขารู้ว่าตนเองถูกจับได้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นน่าจะถูกจับได้มาก่อนหน้าแล้วด้วย
อีกฝ่ายได้วางกับดักเอาไว้แล้ว ตําแหน่งที่ถานหรูซวงอยู่ขวาง
เส้นทางกลับเข้าไปในป่าหินอีกครั้งของเขาไว้ เห็นได้ชัดว่าเป็นความจง
ใจ กลุ่มคนที่อยู่รอบๆ ก็เหมือนจะไม่ยอมให้เขาได้มีโอกาสหนีเช่นกัน
ยิ่งกว่านั้นยังไม่ต้องพูดอะไร ลําพังแค่ผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวงสวรรค์
อย่าง ‘หนึ่งกระบี่ทะเลประจิม’ ถานหรูซวง บวกเข้ากับเจ้าเมืองธาร
เหมันต์ชวีอี้ทั้งสองคน ก็เท่ากับกองพันหมื่นม้าแล้ว
“พวกเจ้าจับได้อย่างไร?” ติงอี้มองไปยังสองผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวง
สวรรค์
เขาระมัดระวังอย่างมากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้วิชาลับ จาก
หลักการแล้วไม่ควรจะถูกเพ่งเล็งสนใจ และยิ่งไม่ควรถูกจับได้ถึงจะถูก
“เหอๆ วันนั้นเจ้ารับเอาปราณล�าค่าบัวครามได้อย่างรวดเร็ว
มากกว่าคนอื่น ดังนั้น ข้าจึงจับตาดูเจ้า แล้วก็ถูกข้าจับได้จนได้ ว่าเจ้า
ทําตัวลับๆ ล่อๆ แอบวางแผนอะไรไว้” เจ้าเมืองน้อยเมืองธารเหมันต์ชวี่เสวี่ยหนิงยิ้มเย็นชา เอ่ยต่อว่า “ซ่อนไว้เสียลึกเลย น่าเสียดาย
ที่ยังหนีรอดไม่พ้นสายตาของข้า”
ติงอี้ถอนใจ
เขารู้ว่าชวีเสวี่ยนหนิงเป็นคนประเภทเดียวกับสุนัขบ้า เมื่อจับจ้อง
ใครก็จะกัดไม่ปล่อย แต่เขาคิดไม่ถึงว่าจะเพราะเรื่องเล็กๆ วันนั้น เจ้า
สุนัขบ้าคนนี้จึงหันมาจับจ้อง ‘คนตัวจ้อย’ อย่างเขา…จับแพะชนแกะ
จนมาชนแผนของเขาพังหมด
นี่ถือว่าดวงซวยถึงที่สุดจริง
“พูดมา เจ้าเป็นใครกันแน่?” ‘หนึ่งกระบี่ทะเลประจิม’ ถานหรูซวง
เอ่ยขึ้น น�าเสียงเย็นเยียบราวกระบี่แหลมคมเสียดแทงกระดูก ทุก
ถ้อยคําล้วนเหมือนแสงกระบี่ฟันลงไปในใจ
ติงอี้หัวเราะขึ้นมา เอ่ยว่า “ข้า? ติงอี้จากเมืองวิหคสวรรค์อย่างไร
เล่า ฮ่ะๆ ก็แค่คนธรรมดาบนยุทธจักรเท่านั้น”
“เรื่องมาถึงขนาดนี้ เจ้ายังจะมาทําไขสืออีกหรือ?” เจ้าเมืองน้อย
เมืองธารเหมันต์ชวีเสวี่ยหนิงเอ่ยขึ้น “รู้สึกความลับแห่งยอดเขาโต๊ะ มี
ความสามารถควบคุมยอดเขาโต๊ะได้ ทําให้มันสูงขึ้นอย่างไม่หยุด ที่มา
ของเจ้าต่อให้ไม่บอก ข้าก็เดาออกมาได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว”“โอ๋?” ติงอี้ยิ้มเย็นชา “ว่ามาสิ”
“ฮ่ะๆ คนทั้งโลกล้วนคิดว่า ในลัทธิมาทั้งเจ็ดสายได้ดับสูญไปสาม
จนเหลือเพียงสี่ แล้วความจริงล่ะ? ตอนนี้เขาราชันมังกร สํานักชําระ
กระบี่ ศาลาเหนือฟ้า สํานักเงาจันทร์ เซียนถังกับเขาหลี่ได้ปรากฏตัวใน
เมืองไป๋ตี้ สองในสามที่เล่ากันว่าได้ดับสูญไปได้ปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว
พวกกากเดนลัทธิมารก็เหมือนกับไฟแห่งความชั่วร้ายนั่นล่ะ กวาดล้าง
ลงไปได้ง่ายๆ เสียที่ไหน ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ฝืนชะตาที่แสน
ประหลาดลึกลับในครั้งนั้นเท่านั้นที่ยังไม่ปรากฏตัวออกมา เจ้าลงทุนลง
แรง เขียนเรื่องราวบนยอดเขาโต๊ะเสียขนาดนี้ นอกจากตัวตนของผู้สืบ
ทอดฝืนชะตาแล้วจะเป็นอะไรไปได้อีกกัน?”
ชวีเสวี่ยหนิงยิ้มขึ้นจางๆ นัยน์ตามีประกายเย้ยหยันไหลเวียนอยู่
ติงอี้ปรบมือ เอ่ยขึ้นว่า “พูดได้ดี และพูดได้ถูกต้อง ใช่แล้ว ข้าคือผู้
สืบทอดของฝืนชะตา ถูกพวกเจ้าจับได้เสียแล้ว เพราะข้าดวงไม่ดีเอง
แต่ว่าหากคิดจะรั้งข้าไว้ น่ากลัวว่าพวกเจ้าคงจะต้องจ่ายมากหน่อย
อย่าลืมว่าที่นี่คือภูเขาสู่ และยังเป็นด้านใต้ของยอดเขาโต๊ะอีก นับร้อยปี
มานี้ยอดเขาโต๊ะล้วนเป็นสถานที่สํานักฝืนชะตาของข้านะ”
ใบหน้าของเขาแทบไม่มีความตึงเครียดอยู่เลยเจ้าเมืองธารเหมันต์ชวีอี้ที่เงียบมาตลอด ค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “ใต้ยอด
เขาโต๊ะ? เหอๆ ต่อให้อยู่ในเมืองไป๋ตี้แล้วจะทําอะไรได้? เจ้าจะพลิกฟ้า
ได้หรือไรกัน? อย่าว่าแต่คนรุ่นหลังอย่างเจ้าเลย ต่อให้เป็นเจ้าสํานักฝืน
ชะตาในครานั้นอยู่ที่นี่ ก็ถูกกําหนดให้ดับสูญลงไปอยู่แล้ว”
นี่คือการยกตนข่มท่านของผู้แข็งแกร่งอันสูงส่ง
ติงอี้มีกลิ่นอายอันทรงพลังเผาไหม้พันรอบร่าง ราวกับเปลวไฟดํา
สนิทจากห้วงลึกกําลังไหลเวียน ขับเด่นร่างของเขาจนเหมือนกับเทพ
สังหารวิญญาณแห่งความมืดอย่างไรอย่างนั้น
เขาไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย
ตอนนี้เอง ชวีเสวี่ยหนิงจู่ๆ ได้เอ่ยขึ้นด้วยแววเย้าหยอก “ในเมื่อข้า
ยังจับไต๋เจ้าได้ เจ้าลองเดาดู ว่าเพื่อนที่เจ้าเพิ่งส่งออกไป จะออกจาก
ภูเขาสู่ได้จริงไหม?”
ร่างของติงอี้ชะงักขึ้นทันที
“เจ้าส่งคนไปจับเสี่ยวต้วนหรือ?” เขาตระหนักขึ้นมาได้ว่า หลี่มู่ที่
ถูกตนเองบังคับส่งตัวออกไป อาจจะกําลังพบกับอันตราย
……………………………………