จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 540 เจ้าเป็นใครกันแน่
“พี่ติง ท่านผิดต่อข้าจริงๆ นั่นแหละ” หลี่มู่เอ่ย “คนที่ท่านหาส่งข้า
ออกไปพวกนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไรกัน ทั้งโหดเหี้ยมทั้งละโมบ ปรึกษาว่า
จะฆ่าข้า ค้นสมบัติในตัวข้า ดีที่คนของสํานักกระบี่ทะเลประจิมมา
ไม่เช่นนั้น พวกเขาคงฉวยโอกาสลงมือตอนที่ข้าสลบแล้ว ”
“อะไรนะ? เจ้าพวกสุนัขข่งซาน มารดามันสิ มันกล้า…” ติงอี้ได้ฟัง
ก็โมโหนัก “รอข้าว่าง จะต้องสับพวกมันเป็นหมื่นชิ้น”
หลี่มู่หัวเราะพลางเอ่ย “ช่างเถอะ อย่างไรเสียเจ้าพวกโง่นี่ก็ถูกคน
ของสํานักกระบี่ทะเลประจิมฆ่าคนปิดปากไปหมดแล้ว”
ติงอี้มองหลี่มู่ รู้สึกว่ามีตรงไหนไม่ชอบมาพากล แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร
ละเอียด
เขากัดฟันเอ่ย “เสี่ยวต้วน ครั้งนี้เป็นข้าที่ทําให้เจ้าลําบาก เจ้า
วางใจ ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จะปกป้องเจ้าให้ปลอดภัย”
บาดแผลทั่วร่างของเขาดูแลน่าตกใจ เลือดสดๆ ไหลริน ทั้งตัว
เหมือนมนุษย์เลือด หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นกลัวว่าคงยืนหยัดไม่ได้ ยากจะปกป้องตัวเองไปนานแล้ว แต่คําพูดแบบนี้ออกมาจากปากเขากลับมี
พลังทําให้คนเชื่อมั่น
“ฮ่าๆ ช่างชวนให้ประทับใจจริงๆ” ชวีเสวี่ยหนิงหัวเราะ ปรบมือ
ขึ้นมา
“พี่น้องช่างรักกันดีจริงๆ แต่ว่า จอมยุทธ์ติงตอนนี้ตัวเจ้าก็ยากจะ
ปกป้องตัวเองแล้ว คําพูดเกินกําลังแบบนี้อย่าพูดดีกว่ากระมัง เมื่อครู่ข้า
บอกแล้ว เพียงแต่ขอแค่เจ้ายอมให้จับแต่โดยดี ข้าจะปล่อยบัณฑิตคนนี้
ไป ยังยืนยันคําเดิม เป็นอย่างไร?”
สายตาของเขามองด้วยติงอี้แฝงด้วยรอยหยอกล้อ
“คําพูดของเจ้าทําได้หรือ?” ติงอี้แค่นเสียงเย็น “พวกเจ้าคนฝ่าย
ธรรมะสํานักชื่อดัง เป็นไม่ได้แม้กระทั่งสุนัขจรจัดในสุสาน เคยรักษา
คําพูดเมื่อไหร่กัน?”
“บังอาจ”
“รนหาที่ตาย”
“พูดจาเพ้อเจ้อ”
ผู้แข็งแกร่งยอดฝีมือทั้งหลายของสํานักกระบี่ทะเลประจิมและ
เมืองธารเมหันต์ได้ยินคําพูดเช่นนี้ก็ต่างสบถอย่างโมโห‘กระบี่ทะเลประจิม’ ถานหรูซวง และ ‘เจ้าเมืองธารเหมันต์’ ชวีอี้
สายตาต่างเย็นเยือก
มนุษย์มักจะเป็นเช่นนี้ ยามตัวเองทําเรื่องด้านมืดบางเรื่อง มักจะ
รู้สึกว่าสมเหตุผล แต่เมื่อถูกคนอื่นชี้ออกมา ก็มักจะอายจนโกรธ รับ
ไม่ได้
ชวีเสวี่ยหนิงเอ่ยเสียงเย็น “เหมือนว่านอกจากจะเชื่อข้า ตอนนี้เจ้า
ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว คิดจะปกป้องชีวิตบัณฑิตคนนี้ เจ้าก็ยอมให้จับ
แต่โดยดีเสียเถอะ”
ติงอี้มองหลี่มู่แล้วก็มองชวีเสวี่ยหนิง สุดท้ายก็เอ่ย “ได้ ข้ารับปาก
เจ้า หวังว่าเจ้าจะพูดแล้วรักษาคําพูด”
เขาแยกแยะบุญคุณความแค้นชัดเจน ลูกผู้ชายอกสามศอกจะทํา
ร้ายพี่น้องเพราะกลัวความตายได้อย่างไร?
ถึงแม้จะสัมผัสแค่เดือนกว่าๆ แต่ติงอี้ก็มองหลี่เป็นสหาย เป็นพี่
น้องจริงๆ
ใบหน้าของชวีเสวี่ยหนิงฉายรอยยิ้ม “ดี นี่มี ‘หนามผนึกมาร’ อยู่สี่
อัน เจ้าตอกมันลงไปที่เส้นลมปราณ ผนึกพลังฝึกตนปราณแท้ของเจ้า
อย่างไรเสียวิชาเคล็ดลับของพวกเจ้าลัทธิมารมีมากมาย ใช้ของของ
พวกเรา ข้าถึงจะวางใจ”“ได้ จําคําพูดที่เจ้าพูดเอาไว้แล้วกัน” ติงอี้รับแสงสี่สายที่ชวีเสวี่ย
หนิงโยนมา เป็นหมุดคมกริบลายมังกรสีแดงสี่อัน ทําขึ้นจากวัสดุพิเศษ
ข้างในมีค่ายกลพันธนาการลับเฉพาะของตระกูลจู เมื่อฝังเข้าไปในร่าง
ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งทะลวงสวรรค์ก็จะถูกพันธนาการพลังฝึกตน
เช่นกัน
ติงอี้ไม่ลังเลใดๆ ฝัง ‘หนามผนึกมาร’ สี่อันไปตามข้อต่อ เส้น
ลมปราณของตน
ร่างกายที่แต่เดิมก็เต็มไปด้วยบาดแผลอยู่แล้ว เลือดสดๆ ร้อนแรง
ดุจเปลวเพลิงก็ทะลักพรวดออกมาอีก
ค่ายกลในหนามผนึกมารถูกกระตุ้น พลังแปลกประหลาดไหล
ทะลักเข้ามาในร่างของติงอี้ทันที พันธนาการพลังทั้งหมดของเขาโดย
สิ้นเชิง
ติงอี้ในตอนนี้ไม่แตกต่างกับคนธรรมดาเท่าใดเลย
ไม่มีการพยุงจากปราณแท้ สีหน้าของเขาก็ค่อนข้างซีดขาว
แต่จิตต่อสู้และเจตจํานงที่ไม่ยอมศิโรราบยังคงลุกไหม้ในดวงตา
ท่ามกลางความมืด ดวงตาของติงอี้สุกสว่างประหนึ่งดาวฤกษ์“ดี ดียิ่งนัก” ชวีเสวี่ยหนิงหัวเราะขึ้นมา “สมกับเป็นผู้สืบทอดของ
ลัทธิมารสายฝืนชะตา กล้าทํากล้ารับ ความหยิ่งทะนงเช่นนี้เทียบได้กับ
คนของพวกฝืนชะตาที่ตายด้วยน�ามือของเก้าสํานักใหญ่ในตอนนั้น”
“อย่าพูดให้มากความ” ติงอี้เอ่ย “ถึงตาพวกเจ้าปล่อยตัวคนแล้ว”
ชวีเวี่ยหนิงยิ้มเล็กน้อย “จิ่ๆ จู่ๆ ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ทําอย่างไรดี
เล่า?”
“เจ้า…” แววตาของติงอี้แปรเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก
ชวีเสวี่ยหนิงหัวเราะฮ่าๆ แล้วเอ่ย “ฮ่าๆ เป็นอย่างไร? โมโหมากใช่
หรือไม่?”
แววตาของติงอี้แทบจะฆ่าคนได้
ชวีเสวี่ยหนิงยิ้มราบเรียบ “ใช่แล้ว ข้ารับปากเจ้าจริงๆ แต่ข้าก็
ไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะไม่เปลี่ยนใจ อีกทั้งรับมือกับพวกนักโทษผู้ผิด
บาปชั่วช้าลัทธิมารอย่างพวกเจ้าสมควรสังหารให้สิ้นซาก ขุดหญ้าไม่ขุด
ถึงโคน ลมวสันต์พัดต้องก็งอกขึ้นใหม่ บัณฑิตคนนี้คบค้ากับลัทธิมาร
สมควรตายเป็นอย่างยิ่ง แต่เดิมควรจะได้รับโทษทัณฑ์ทรมาณ แต่เห็น
แก่ที่เจ้าผนึกพลังฝึกตนของตัวเอง ข้าจะให้เขาตายสบายๆ”พูดจบ ก็เมินเฉยต่อสายตาประหนึ่งจะกินเลือดกินเนื้อของติงอี้ ชวี
เสวี่ยหนิงหันกลับมาเอ่ยกับศิษย์พี่ฝาน “ส่งมันไปปรโลกเสีย”
ฉัวะ!
แสงดาบเพียงสะท้อนวาบ หัวคนก็ร่วงลงพื้น
ชวีเสวี่ยหนิงหัวเราะพูดออกมา “เอาล่ะ ตอนนี้คนก็ตายไปแล้ว
เจ้ามองข้าเช่นนี้จะไปมีประโยชน์อะไร หึๆ จะโทษก็ต้องโทษตัวเจ้าที่
ทําร้ายเขา ยอมให้จับแต่โดยดีอย่างโง่ๆ เจ้า…”
พูดได้ครึ่งหนึ่ง เขาก็พลันรู้สึกว่าสายตาของติงอี้ไม่ค่อยถูกต้อง
นั่นไม่ใช่สายตาที่โกรธแค้นสิ้นหวัง
แต่เป็น…สายตาที่แปลกใจเป็นอย่างมาก
“ระวัง” ผู้อาวุโสเมืองธารเหมันต์คนหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่สุดตั้งตัว
กลับมา ร้องอย่างตกใจเสียงดัง ลงมือทันที
ฟิ้ ว!
แสงดาบส่องประกาย
หัวของผู้อาวุโสเมืองธารเหมันต์ผู้นี้ก็ขาดกระเด็นออกไปเลือดสาดกระจาย
ชวีเสวี่ยหนิงถึงจะได้หันกลับมา แค่มองจิตใจก็ตื่นตระหนกสุดขีด
แสงดาบที่กะพริบวูบก่อนหน้านี้ หัวคนที่ร่วงลงพื้นไม่ใช่ของ ‘ต้
วนสุ่ยหลิว’ แต่เป็นของศิษย์พี่ฝาน ดาบยาวของศิษย์พี่ฝานอยู่ในมือ
ของ ‘ต้วนสุ่ยหลิว’ ส่วน ‘บัณฑิตอ่อนแอ’ คนนี้ก็แค่ตวัดดาบออกไป
ง่ายๆ เท่านั้นก็ตัดหัวผู้อาวุโสขั้นเทวะคนหนึ่งขาดกระเด็น
“เจ้า…” ชวีเสวี่ยหนิงตื่นตระหนก ยากจะเชื่อ ไม่มีความสงบเยือก
เย็นเหมือนก่อนหน้านี้ที่วางอุบายลอบวางแผน ในขณะเดียวกันก็คิดจะ
ถอยหลังไป
หลี่มู่พลิกมือตวัดดาบออกไป
กระดูกตั้งแต่เข่าลงไปของชวีเสวี่ยหนิงหัก ร้าว ตัวกระเด็นออกไป
ตุบ
เขาคุกเข่าบนพื้น ร้องเสียงดัง
จนถึงตอนนี้ คนอื่นๆ ถึงจะได้ตั้งสติกลับมาได้ บัณฑิตอ่อนแอไร้
กําลัง ประหนึ่งมดปลวกไร้ค่าในสายตาของพวกเขา ที่แท้เป็นผู้
แข็งแกร่งขั้นสุดยอดที่พลังฝึกตนน่ากลัวถึงเพียงนี้…เหตุพลิกผันนี้ช่าง
ทําให้คนตื่นตะลึงนัก“หนิงเอ๋อร์…” ชวีอี้ เจ้าเมืองธารเหมันต์คํารามอย่างโมโหคั่งแค้น
ลงมือทันที
ในสมาพันธ์สี่เมือง วิชาฝ่ามือของเมืองธารเหมันต์ขึ้นชื่อที่สุด วิชา
เลิศล�าของเมืองคือ ‘ฝ่ามือธารเหมันต์ผนึกฟ้า ว่ากันว่าเป็นวิชาฝ่ามือที่
สืบทอดมาจากเซียนนอกพิภพ ชวีอี้เป็นเจ้าเมืองของเมืองธารเหมันต์
เข้าถึงแก่นแท้ ‘ฝ่ามือธารเหมันต์ผนึกฟ้า’ ทั้งยังเป็นผู้แข็งแกร่งทะลวง
สวรรค์ ลงมือเมื่อโกรธแค้นจะน่ากลัวเพียงใด?
ฝ่ามือนี้ซัดมา ประหนึ่งมีพลังสะเทือนฟ้าดิน มิติรอบๆ บิดเบี้ยว
หลี่มู่มือขวาเก็บดาบ มือซ้ายซัดตราหมัดออกไป “ผู้สูงส่งทั้งเจ็ด
ฝ่ายธรรมะของโลกทุรกันดาร ได้ชื่อว่าไร้เทียมทาน อยากจะลองประ
มือสักหน่อยอยู่พอดี”
ครืน!
เสี้ยวพริบตาที่ฝ่ามือและหมัดซัดออกไป ฟ้าดินเงียบสงัดไป
ชั่วขณะ จากนั้นพลังน่าหวาดกลัวก็ปะทุมา คนรอบๆ รู้สึกแค่ยากจะ
ทนทานต่อพลังที่ปะทะหน้ามา แต่ละคนถอยหลังไปไม่หยุด
“อะไร?” เสียงตกใจของชวีอี้ดังขึ้นร่างของเขากระเด็นออกไปหลายสิบจั้ง ถึงจะพอทรงตัวได้ มองห
ลี่มู่ด้วยสีหน้าตื่นตะลึง
เจ้าเมืองธารเหมันต์ไม่กล้าจะเชื่อเลยว่าฝ่ามือที่ตนโจมตีไป
สุดกําลังไม่ใช่แค่ทําให้ศัตรูรีบถอยไปหรือได้รับบาดเจ็บไม่ได้ หนําซ�า
ตัวเองยังกลับถูกหมัดของศัตรูสะเทือนจนกระเด็น
รอบๆ ก็ดังไปด้วยเสียงแตกตื่นระงม
คนที่มาปรากฏตัวที่นี่คืนนี้ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งยอดฝีมือชั้นหนึ่ง
ของสํานักกระบี่ทะเลประจิมและเมืองธารเหมันต์ นี่แหละที่ว่ากันว่า
ผู้เชี่ยวชาญแค่ลงมือก็รู้ว่ามีดีหรือไม่ หากก่อนหน้านี้หลี่มู่สังหารศิษย์พี่
ฝาน แล้วสังหารผู้อาวุโสเมืองธารเหมันต์คนนั้นอีกครั้ง ทําให้ทุกคนรู้สึก
แค่ว่า ‘บัณฑิตอ่อนแอไร้กําลัง’ คนนี้เป็นยอดฝีมือคนหนึ่งแล้วล่ะก็
เช่นนั้นการรับมือซึ่งหน้าสูสีกับเจ้าเมืองธารเหมันต์ เช่นนั้นก็พูดถึง
ปัญหาได้ชัดแล้ว
‘บัณฑิตอ่อนแอ’ คนนี้ไม่ใช่แค่ยอดฝีมือธรรมดาๆ แล้วแน่นอน แต่
เป็นยอดๆๆๆ ฝีมือ
แสงกระบี่ทางหนึ่งพุ่งไปทางติงอี้ที่อยู่ข้างๆ
เร็วประหนึ่งสายอัสนีเจ้าสํานักกระบี่ทะเลประจิมถานหรูซวงลงมือแล้ว
เขาเห็นเจ้าเมืองธารเหมันต์ชวีอี้โจมตีแต่กลับมาอย่างพ่ายแพ้
ถานหรูซวงก็ตระหนักได้ทันทีว่าคืนนี้เกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงแล้ว ต้
วนสุ่ยหลิว ‘บัณฑิตอ่อนแอ’ ที่ว่า ไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ในสอง สาม
กระบวนท่าเป็นแน่
เขาความคิดยืดหยุ่น ไม่มีทางฝืนดื้อดึงเป็นแน่
ดังนั้นจึงลงมือกับติงอี้ที่สูญเสียกําลังรบไปแล้วทันที
จัดการติงอี้ก่อน จากนั้นค่อยจัดการต้วนสุ่ยหลิว
ทว่า ถึงเขาจะเร็ว แต่หลี่มู่เร็วกว่าเขา
ไหล่เอียงลงต�า ท่าทางเหมือนตีลังกาแบบนั้น วิชาขี่เมฆาเหินฟ้าก็
สําแดงออกมาทันที ประหนึ่งเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา คนก็มาถึงข้างกาย
ติงอี้ ดาบยาวในมือฟันออกมาทางหนึ่ง เป็นกระบวนท่าฟันในหกดาบ
วายุเมฆานั่นเอง
เคร้ง!
เสียงแหลมเล็กของโลหะปะทะกันดังขึ้น
ร่างของ ‘กระบี่ทะเลประจิม’ ลอยออกไปกระบี่ในมือเขาหักเป็นสองท่อน
ส่วนดาบในมือหลี่มู่ยังอยู่ดีเหมือนเดิม
“ท่านเป็นใครกันแน่” ถานหรูซวงสีหน้าเคร่งขรึม ไม่มีรอยดูถูกอีก
ต่อไปแม้แต่น้อย จากการลงมือในเสี้ยวขณะเขาก็สัมผัสได้ถึงความ
แข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ นี่คือผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอดที่ไม่ด้อยไปกว่าตน
เลยแม้แต่น้อย
ในหัวเขาวาดเค้าโครงรูปร่างและชื่อของคนนับไม่ถ้วนออกมา
อย่างรวดเร็ว
ผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวงสวรรค์ในโลกทุรกันดารไม่ใช่คนไร้ชื่อเสียง
แน่ แต่คนเบื้องหน้าผู้นี้ไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยินมาก่อน
หลี่มู่ไม่สนใจเขา
“พี่ติง คนพี่ที่ไหว้วานเกือบจะฆ่าข้าตาย ตอนนี้ท่านโดน ‘หนาม
ผนึกมาร’ สี่อันตรึงเอาไว้ ถือว่าเราเจ๊ากันแล้วเป็นอย่างไร?” หลี่มู่
หัวเราะพลางสําแดงวิชาถอน ‘หมุดผนึกมาร’ ในร่างของติงอี้ออกมา
จากนั้นก็ถ่ายทอดพลังธาตุไม้จักรพรรดิเขียวแห่งบูรพากลุ่มหนึ่งเข้าไป
รักษาอาการบาดเจ็บให้
ติงอี้ไร้คําพูด“เสี่ยวต้วน เจ้าเก็บซ่อนได้ลึกจริงๆ” ติงอี้ถอนหายใจ
หลี่มู่หัวเราะฮิๆ พลางเอ่ย “พี่ติง ท่านก็เก็บซ่อนได้ลึกเหมือนกันนี่
ข้ามองไม่ออกเลยแม้แต่น้อย”
ติงอี้เอ่ย “เช่นนั้นตอนนี้เจ้าจะบอกได้หรือไม่ว่าเจ้าเป็นใคร”
คนรอบๆ ก็เงี่ยหูเช่นกัน
หลี่มู่ตอบ “ขอแนะนําตัวหน่อย ข้าน้อยต้วนสุ่ยหลิว ผู้สืบทอดลัทธิ
เทพสายแยกฝืนชะตา”
ติงอี้หน้าเขียวคล�าไปในทันที
………………………………………………