จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 541 การสังหารผลิบาน
“พูดดีดี เจ้าเป็นใครกันแน่?” ติงอี้คิดไม่ถึงว่าจะมีวันที่ตนเองมาถูก
คนอื่นสวมรอย
“ข้าคือผู้สืบทอดฝืนชะตาต้วนสุ่ยหลิวไง” หลี่มู่เอ่ยขึ้นอย่างหน้า
หนาหน้าทน
ถึงอย่างไรตนเองก็สวมรอยเป็นผู้สืบทอดฝืนชะตาต่อหน้าเยี่ยอู๋
เหินไปแล้ว ก็สวมมันไปให้ถึงที่สุดเลยแล้วกัน ตนเองตอนนี้ก็ถือว่าเป็น
ส่วนหนึ่งของลัทธิมารอยู่แล้ว
ติงอี้เอ่ยขึ้นอย่างหมดคําจะพูด “เช่นนั้นแล้วข้าจะเป็นใคร?”
“ท่านคือ…” หลี่มู่ในมีความคิดวูบหนึ่งแล่นเข้ามาในสมอง งงงันไป
ในทันที พูดลิ้นพันกันขึ้นมาว่า “พี่ติงอย่าบอกนะว่า…พี่เป็นผู้สืบทอด
ของฝืนชะตา?”
ติงอี้ร้องชิขึ้นอย่างจําใจ “เจ้าว่าอย่างไรล่ะ?”
หลี่มู่รู้สึกมึนงงขึ้นมากะทันหัน
ไปสวมรอยเป็นคนตรงหน้านี้ได้อย่างไรกันนี่?“เหอๆ จริงๆ แล้วข้าก็เป็นคนจากลัทธิเทพ แค่ยังไม่ได้เข้าไปใน
เมืองไป๋ตี้เท่านั้น” หลี่มู่เปลี่ยนคําพูดทันที
จะอธิบายอย่างไรดี
ตอนนี้ไม่เหมาะที่จะพูดเรื่องดาวโลกเสียด้วยสิ
ติงอี้ยิ่งไร้ซึ่งคําพูดมากกว่าเดิม
“ชิ ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ล้วนเป็นพวกกากเดนลัทธิมารทั้งนั้น วันนี้
พวกเจ้าใครก็อย่าได้คิดหนี ข้าจะทําให้พวกเจ้าอยากตายก็ไม่ได้อยาก
เป็นก็ไม่ได้เลยทีเดียว” ชวีเสวี่ยหนิงที่ถูกเจ้าเมืองธารเหมันต์ชวีอี้
ประคองขึ้นมา อยู่ใต้การคุ้มครองอย่างแน่นหนาจากผู้แข็งแกร่งเมือง
ธารเหมันต์เอ่ยขึ้นอย่างเดือดดาล
ขาทั้งสองของเขาที่ถูกตัดออกได้ต่อกันแล้ว พลังระดับขั้นเทวะ
แขนขาขาดนํามาต่อใหม่ไม่ใช่เรื่องยากเย็น ขอแค่ปราณเลือดแข็งแกร่ง
พอ แขนขาขาดไปจะงอกใหม่ก็ยังทําได้
ติงอี้ได้รับการช่วยเหลือจากหลี่มู่ อาการบาดเจ็บในร่างฟื้ นฟูขึ้นมา
อย่างรวดเร็วเขามองหลี่มู่ “ช่างเถอะ ไม่ถามตัวตนเจ้าแล้ว ตอนนี้พวกเราเสมอ
กันแล้วนะ ตอนนี้มาร่วมมือกันสังหารให้เลือดนองเป็นแม่น�าดีกว่า
ไหม?”
หลี่มู่ตอบ “ข้าสังหารเอง ท่านมองก็พอ”
ทั้งสองคนหัวเราะร่าขึ้นมา
“ชิ ไม่รู้จักตายเสียแล้ว” ชวีเสวี่ยหนิงเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาด้วย
ความโกรธและอับอาย “ตอนนี้ทั่วทั้งภูเขาสู่ก็เหมือนกับตาข่ายผืนใหญ่
แล้ว ขั้วอํานาจทั้งเก้าจัดวางเอาไว้ตั้งเนิ่นนาน พวกลัทธิมารจะต้องตาย
ทั้งหมด แค่พวกเจ้าสองคน ตอนนี้อยู่ในวงล้อมแน่นหนาเช่นนี้ก็ยังคิด
จะสร้างคลื่นสร้างลม ไม่รู้จักตายจริงๆ”
ติงอี้เอ่ยขึ้น “เอะอะเหลือเกิน”
หลี่มู่พยักหน้า “อืม อย่างกับตัวตลกไร้ค่า”
ติงอี้เสริมต่อ “ทําไมคนโง่ที่ไม่ได้มีฝีมืออะไร เพียงแค่เกิดมาฐานะ
ดีหน่อย ถึงได้หยิ่งทะนงในตัวเองขนาดนี้? ไม่ได้รู้จักประมาณตัวเองเลย
ใช่ไหมเนี่ย?”
หลี่มู่หัวเราะทับมาอีก “พี่ก็บอกแล้วนี่ว่าเป็นคนโง่ จะไปรู้จัก
ประมาณตัวเองได้อย่างไรกัน?”“ก็จริงนะ” ติงอี้ปิดท้าย
ทั้งสองคนรับส่งกันอย่างเข้าคอ
ชวีเสวี่ยหนิงอีกด้านโมโหจนแทบบ้า
เขาเป็นถึงคุณชายแห่งเมืองธารเหมันต์ เป็นผู้เฉลียวฉลาดเกินคน
สติปัญญาและแผนการเป็นหนึ่งไม่มีสอง ตําแหน่งและชื่อเสียงใน
ปัจจุบัน ทั้งหมดล้วนมาจากสติปัญญาและความพยายามของตนเอง
เป็นคนที่ดูถูกพวกมุทะลุเอาแต่คอยต่อสู้เข่นฆ่ามาแต่ไหนแต่ไร เมื่อไร
กันที่ต้องมาถูกเหยียดหยามและกลายเป็นตัวตลกเช่นนี้?
“สังหารพวกเขา สังหารพวกเขาเสีย”
ชวีเสวี่ยหนิงเดือดดาลจนแทบจะคุมตนเองไม่อยู่ คํารามขึ้นอย่าง
เหลืออด
ทว่าตอนนี้เอง หลี่มู่ได้ลงมือไปแล้ว
แสงดาบในมือราวสายอัสนี แสงขาวประดุจทางช้างเผือกไหลเวียน
ในพริบตา กลายสภาพเป็นน�าตกหลั่งไหลลงมาจากเก้าชั้นฟ้า
แสงดาบซ้อนทับเป็นชั้นวูบวาบ พุ่งเข้าฟาดฟันยอดฝีมือมากมาย
จากสํานักกระบี่ทะเลประจิมและเมืองธารเหมันต์ ศัสตราวุธแตกหักสะบั้น เสียงระเบิดของแขนขาดังขึ้นถี่ยิบ เลือดสาดซ่านกระเซ็น
พริบตาเดียวไม่รู้ว่ามีคนเท่าใดกลายไปเป็นวิญญาณปลายคมดาบ
“เจ้าโจรชั่วแกกล้าดีอย่างไร”
“ไอ้หนุ่ม”
‘หนึ่งกระบี่ทะเลประจิม’ ถานหรูซวงและเจ้าเมืองธารเหมันต์ชวีอี้
เดือดดาล
พวกเขาคิดไม่ถึงว่าหลี่มู่บอกจะลงมือก็ลงมือเลย ยิ่งไปกว่านั้น
ไม่ใช่มาท้าดวลกับพวกเขาทั้งสอง แต่กลับลงมือไปยังคนอื่น ตอนที่สอง
ผู้ยิ่งใหญ่แห่งดาวทุรกันดารมารับแสงดาบของหลี่มู่ ทั้งสองสํานักได้
สูญเสียคนไปมากกว่าสามสี่สิบคนแล้ว นี่ล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นเยี่ยมของ
ทั้งสองสํานักเลยนะ ฝึกฝนมาถึงหลายสิบปี
เสียหายอย่างหนัก
“กระบี่จงมา”
‘หนึ่งกระบี่ทะเลประจิม’ ถานหรูซวงคําราม พลิกมือจับคว้าความ
ว่างเปล่า กระบี่ยาวมหัศจรรย์เล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือกระบี่เล่มนี้ประกายคมกริบไหลเวียน คมกระบี่บางเฉียบราวกับไร้
รูปไร้เงาอย่างไรอย่างนั้น นี่คือกระบี่เงาทะเลอาวุธเทพแห่งสํานักกระบี่
ทะเลประจิม ของชั้นเยี่ยมแห่งสมบัติเต๋า
“เจ้าเด็กชั่ว ตายเสียเถอะ”
เจ้าเมืองธารเหมันต์ใช้วิชา ‘ธารเหมันต์ผนึกฟ้า’ ฝ่ามือพร่างพราย
เต็มนภา โดยเฉพาะสองฝ่ามือของเขามีแสงอ่อนประกายฟ้าแผ่ออก
และได้สวมเอา ‘ถุงมือธารเหมันต์’ สมบัติแห่งเมืองธารเหมันต์ไว้แล้ว
ภายใต้การปลุกเสกของถุงมือ พลานุภาพของฝ่ามือรุนแรงขึ้นถึงสามสี่
เท่าจากการลงมือก่อนหน้า
ผู้แข็งแกร่งระดับสูงจากดาวทุรกันดารทั้งสอง ได้ยอมรับว่าหลี่มู่
เป็นคู่มือที่อยู่ในระดับเดียวกันแล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องออมมือออมแรงใดๆ
อีก
แต่ทว่าครั้งนี้หลี่มู่กลับไม่เข้าปะทะซึ่งๆ หน้าอย่างชายชาตรี
เขาหัวเราะร่า ร่างไหววูบราวกับภูตผี เข้าจู่โจมกลุ่มศิษย์ ผู้อาวุโส
ของทั้งสองสํานักใหญ่อย่างไม่หยุด เลือดสาดกระเซ็น แสงดาบไร้ความ
ปรานี ฟาดฟันตัดชีวิตอย่างต่อเนื่อง
สองผู้ยิ่งใหญ่แห่งดาวทุรกันดารอับอายและโมโหเป็นอย่างยิ่ง แต่
กลับทําอะไรไม่ได้“จู่โจมติงอี้ สังหารติงอี้เสีย”
ชวีเสวี่ยหนิงตะโกนคํารามขึ้นจากอีกด้าน
ติงอี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ยิ่งไปกว่านั้นพลังยังห่างชั้นกับหลี่มู่ นี่ถือ
เป็นจุดอ่อน สามารถบีบให้หลี่มู่มาเผชิญหน้าตรงๆ ได้
ถานหรูซวงและชวีอี้ดวงตาเปล่งประกายพร้อมกัน
แต่ว่าหลี่มู่จะเปิดโอกาสให้พวกเขาได้อย่างไร?
ด้วยความเร็วของวิชาขี่เมฆาเหินฟ้า ในพริบตาที่เสียงของชวีเสวี่ย
หนิงดังขึ้น หลี่มู่ก้ได้เข้าไปอยุ่ข้างเขาแล้ว ก่อนหน้าที่เข้าไปสังหารคน
อื่นๆ จากทั้งสองสํานัก ก็เพื่อให้พวกเขามือไม้สับสน เป้าหมายของหลี่มู่
อยู่ที่ชวีเสวี่ยหนิงที่อยู่ภายใต้การคุ้มกันอันแน่นหนาตั้งแต่แรกแล้ว
เจ้าคนตัวจ้อยโฉดชั่วคนนี้ จัดการสังหารก่อนแล้วค่อยว่ากัน
แสงดาบสว่างวาบ
สองแขนของชวีเสวี่ยหนิงขาดร่วงลงในพริบตา
หลี่มู่กระชากผมของเขาบินกลับมาอยู่ด้านหน้าของติงอี้
“ปล่อยหนิงเอ๋อร์เสีย”ชวีอี้ตกตะลึง บุกเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
ถานหรูซวงแปรเป็นแสงกระบี่พุ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบตื่นตระหนก
เช่นกัน
“ฮ่ะๆ เข้ามาก็ดี”
หลี่มู่โยนชวีเสวี่ยหนิงลงข้างๆ ติงอี้ พลิกมือปักกระบี่ลงบนพื้น ย่อ
ตัวลงท่านั่งม้า เป็นท่าเริ่มของ ‘หมัดยุทธ์แท้’ นั่นเอง
พริบตาเดียวกัน วิชาหมัดทับซ้อนพันคลื่นซัดโหมขึ้น หลี่มู่ไม่รู้ว่า
ซัดกระแทกออกไปกี่หมัด
ตูมๆๆ!
เงาหมัดเต็มท้องฟ้าซัดออกจากใจกลางแขนขวาของหลี่มู่ราวกับ
หน้าพัด
“อุก…”
“อั่ก!”
เสียงอึกสองเสียงดังขึ้น
ถานหรูซวงและชวีอี้ทั้งสองคน ต่างฝ่ายต่างรับหมัดตรงๆ ไปไม่
น้อย กระเด็นหวือออกไปกลางอากาศละอองฝุ่นปลิวลงมา
การต่อสู้หยุดลงกะทันหัน
คาวเลือดคละคลุ้งรอบด้าน เสียงครวญครางดังระงม
ทั้งสองสํานักเสียหายอย่างหนัก
และ ‘หนึ่งกระบี่ทะเลประจิม’ ถานหรูซวงกับเจ้าเมืองธารเหมันต์ช
วีอี้ทั้งสองคน ในใจเหมือนมีคลื่นถาโถมกระหน�า
พวกเขาเพิ่งจะได้รู้จักพลังที่แท้จริงของหลี่มู่ จนต้องมีการประเมิน
ค่าเสียใหม่
แค่ช่วงจังหวะปะทะกันเพียงครู่ก็ทําให้พวกเขาเข้าใจแล้ว ว่าชาย
หนุ่มที่มาลึกลับตรงหน้าคนนี้ พลังไม่ใช่เพียงแค่ไม่ด้อยกว่าพวกเขา แต่
ยังอยู่เหนือพวกเขาขึ้นไปอีก หกสิบปีมานี้ ด้วยตัวตนและฐานะของ
พวกเขาทั้งสองเคยมาร่วมมือกันตั้งแต่เมื่อไร? ทว่าวันนี้ถูกบีบจนต้อง
มาร่วมมือกัน แต่กลับยังทําอะไรชายหนุ่มลึกลับคนนี้ไม่ได้
หรือว่าจะเป็นเซียนที่มาจากนอกพิภพ
ในใจทั้งสองคนรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก“ท่านพ่อ ท่านลุงถาน ช่วยข้า รีบช่วยข้าเร็ว” ชวีเสวี่ยหนิงฝืนทน
ความเจ็บ ตะโกนขึ้นเสียงดัง
ที่เรียกว่าสติปัญญาเฉลียวฉลาด ในตอนนี้โฉมหน้าที่แท้จริงได้เผย
ออกมาหมด
เขาไม่คิดมาก่อน ว่าอยู่ภายใต้การคุ้มครองอย่างแน่หนาของยอด
ฝีมือทั้งสองสํานัก ภายใต้การคุ้มครองของเจ้าสํานักกระบี่ทะเลประจิม
และบิดาอันสูงส่งแห่งดาวทุรกันดาร เขายังต้องมาโดนจับเป็นเชลย
เช่นนี้
“ถุด ตอนนี้รู้จักอ้อนวอนขอให้ยกโทษแล้วหรือ?” ติงอี้พ่นน�าลาย
ปนเลือดลงบนหน้าของชวีเสวี่ยหนิง หัวเราะเอ่ยต่อ “เจ้าคนเล็กจ้อย
เมื่อครู่ไม่ใช่กําเริบเสิบสานนักหรือ?”
ชวี่เสวี่ยหนิงเงยหน้า เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าดุดันโหดร้าย “ถ้าพวกเจ้า
สังหารข้า ก็เลิกคิดเรื่องที่จะออกจากภูเขาสู่ได้เลย สํานักทั้งเก้าล้วนยัง
อยู่ ตาข่ายยักษ์ได้ดักไว้หมดแล้ว”
ฝั่ งตรงข้าม เจ้าเมืองธารเหมันต์ชวีอี้สีหน้าเคร่งเครียดเอ่ยว่า
“ปล่อยหนิงเอ๋อร์เสีย ข้าจะให้พวกเจ้าออกไป”
หลี่มู่มองติงอี้ติงอี้ “เหอๆ”
เต็มไปด้วยการดูถูก มากกว่าที่จะแสดงออกด้วยคําพูด
ชวีอี้รู้ว่าอีกฝ่ายกําลังหัวเราะกับปัญหาความน่าเชื่อถือของตนเอง
เอ่ยขึ้นว่า “ครั้งนี้ ข้าขอสาบานด้วยเกียรติของเมืองธารเหมันต์ ขอแค่
เจ้าปล่อยหนิงเอ๋อร์ วันนี้เก้าสํานักจะไม่ทําร้ายเจ้าแม้เพียงเส้นขน
ปล่อยให้เจ้าออกไป มิเช่นนั้น ขอแค่หนิงเอ๋อร์เป็นอะไรไปแม้เพียงก้อย
ฟ้าดินอันกว้างใหญ่ แม่น�าทะเลกว้าง ไม่ว่าจะสถานที่ใด ก็จะไม่มีที่ให้
พวกเจ้าได้อยู่”
หลี่มู่กับติงอี้มองหน้ากัน
ติงอี้หัวเราะเหอๆ เอ่ยต่อว่า “ฟ้าดินนี้ตั้งกว้างใหญ่ กว้างไกลเกิน
กว่าพวกดินจืดอย่างเจ้าจะจินตนาการถึง ที่ใดกันที่ข้าจะอยู่ไม่ได้? แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เมืองธารเหมันต์มีเกียรติตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
พูดพลาง เท้าข้างหนึ่งก็เหยียบชวีเสวี่ยหนิงไว้บนพื้น เสียงกร๊อบ
ดังสนั่น เหยียบกระดูกทั้งสองขาของเขาจนละเอียด
“อ๊า เจ้าสารเลวทั้งคู่ พวกเจ้า…” ชวีเสวี่ยหนิงคํารามร้องเสียง
แหลม ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น“เจ้า….” ชวีอี้ทั้งตกตะลึงและเดือดดาล แต่ตอนนี้ก็ลูบหน้าปะ
จมูก ไม่กล้าที่จะลงมือ เอ่ยขึ้นว่า “ได้ เจ้าว่ามา เจ้าต้องการเงื่อนไข
อะไร? ล้วนเจรจาได้ทั้งสิ้น”
ติงอี้เอ่ยขึ้น “ตอนที่ข้ายังมาไม่ถึงภูเขาสู่ บนยุทธจักรก็ได้ยิน
ชื่อเสียงของลูกชายสุดที่รักของเจ้าคนนี้แล้ว เหอๆ ‘ลิขิตฟ้าฝ่ามือเทพ’
นามระบือ อัจฉริยะคนรุ่นใหม่แห่งเก้าสํานัก จอมยุทธชื่อเลื่องลือยุทธ
จักร คอยขจัดมารร้ายพิทักษ์มรรคาบนยุทธจักร ผู้ค้นล้วนก้มหัวให้ แต่
ว่าใครจะไปรู้ เหล่าสํานักที่ถูกสังหาร ทําลาย บดขยี้ มีทั้งเพราะเพียงส่ง
เครื่องบรรณาการให้เมืองธารเหมันต์ล่าช้าเพียงวันเดียว มีทั้งเพียง
เพราะโชคร้ายที่เจ้าสํานักมีลูกสาวสวยสะท้านเมือง มีทั้งเพราะใน
สํานักมีอัจฉริยะเกิดขึ้นจนถูกเกลียดชัง…ไม่สิ อาจจะเป็นเพราะทุกคน
ล้วนรู้ดี แต่พวกเขาเลือกที่จะปิดปากไม่พูดหรือเพียงต้องการประจบ
สอพลอ ถึงอย่างไรเสีย ‘ลิขิตฟ้าฝ่ามือเทพ’ ชวีเสวี่ยหนิง ก็ยังเป็น
คุณชายน้อยแห่งเมืองธารเหมันต์ของเจ้า”
ชวีอี้เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ไม่ต้องพูดนอกเรื่องที่ไร้ซึ่ง
ความหมายเหล่านี้”
“ใช่สิ สําหรับเจ้าแล้วมันไม่มีความหมาย” ติงอี้หัวเราะเย็นชาขึ้น
เท้าหนึ่งของเขาเหยียบอยู่บนศีรษะของชวีเสวี่ยหนิง เอ่ยขึ้นว่า
“ดาวทุรกันดารตอนนี้ ได้สูญเสียพละกําลังในวันวานไปนานแล้ว เป็นเพียงแค่ลานทิ้งขยะ พวกฝ่ายธรรมมะสํานักต่างๆ ที่ยังเทียบไม่ได้กับ
สุนัขป่าที่คอยคุ้ยเขี่ยอาหารในลานขยะนี้ ก็ล้วนเป็นเพียงแค่ขยะ
เท่านั้น พวกเจ้าทําให้โลกใบนี้แปดเปื้ อน และโค่นล้มคําว่าธรรมมะ
อธรรมจนกลายไปเป็นเรื่องตลก บอกว่าพวกเราเป็นลัทธิมาร พวกเจ้า
เก้าสํานักสิถึงจะเป็นลัทธิมารที่แท้จริง วันนี้ข้าสังหารลูกชายเจ้า
อาจจะไม่ได้สูงส่งถึงการทวงความเป็นธรรม แต่เป็นเพียงแค่ต้องการจะ
สังหารคนชั่วคนหนึ่งไปก็เท่านั้น”
พูดจบ ก็อัดพลังลงไปใต้เท้าของเขา
โพล๊ะ
ศีรษะของชวีเสวี่ยหนิงระเบิดออกมาเหมือนแตงโมที่ถูกเหยียบ
อย่างไรอย่างนัน้
“โลกใบนี้คนชั่วมากมายเหลือเกิน” ติงอี้สีหน้าไม่ใส่ใจ เอ่ยต่อว่า
“แต่เพียงแค่สังหารไปหนึ่ง มันก็น้อยลงไปหนึ่ง จะต้องมีสักวันที่สังหาร
ได้จนหมด”
………………………………………