จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 544 ยืมดาบใช้หน่อย
หลี่มู่มองติงอี้ที่มีความสุขบนทุกข์ของคนอื่น สมองก็แล่นประมวล
กดเสียงต�าส่งกระแสจิต “ไม่ถูกสิ ผู้สืบทอดฝืนชะตาที่แท้จริงเป็นท่านนี่
นา?”
สีหน้าของติงอี้แข็งค้างไป
แต่ไม่นานเขาก็แสยะยิ้ม ส่งกระแสจิตตอบ “ไม่เป็นไร สละให้เจ้า
ข้ามีคนรักแล้ว”
หลี่มู่ยิ่งไร้คําพูด
นี่มันใช่ปัญหาเสียสละหรือไม่ไหม?
นี่มันคือคําสัญญาที่ติดตัวมานะ มรดกของลัทธิมาร
อีกทั้งข้าก็ฝึกวิชาฝึกคู่ไม่เป็นด้วย
ติงอี้เหมือนมองความคิดของหลี่มู่ออก เอ่ยยักคิ้วหลิ่วตา “ข้ารู้ เจ้า
จะต้องกังวลเรื่องวิชาฝึกคู่แน่นอนใช่หรือไม่? ไม่เป็นไร กลับไปข้าจะ
ถ่ายทอด ‘ต้งเสวียนจื่อวิชาร่วมหอสามสิบหกกระบวนท่า’ ให้กับเจ้าเรื่องนี้ก็สําเร็จตามเงื่อนไข…เชื่อข้า ความรู้สึกต่างๆ นานาสุดยอด
แน่นอน”
หลี่มู่ยิ่งจนคําพูด
เขานับว่ามองออกแล้วว่า ติงอี้ผู้สืบทอดฝืนชะตาคนนี้อยู่ชายขอบ
ระหว่างพึ่งได้กับพึ่งไม่ได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะพึ่งพาไม่ได้ มีบางครั้ง
เท่านั้นที่พอจะพึ่งพาได้
ในตัวของเจ้าคนคนนี้แผ่กระจายกลิ่นอายพึ่งพาไม่ได้อันเป็น
เอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างซินแสเฒ่าอย่างชัดเจน
แต่ว่า เวลานี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมาคิดเล็กคิดน้อย
หลี่มู่รู้สึกว่าพาตัวเยี่ยอู๋เหินกลับมาให้ได้ก่อน ค่อยไปอธิบายกับ
ท่านย่าสํานักชําระดาบให้ชัดเจนก็แล้วกัน
“ข้าไปครู่เดียวเดี๋ยวกลับมา”
หลี่มู่ตัดสินใจไปช่วยคนก่อน
……
เยี่ยอู๋เหินกําดาบชําระจันทร์ คุกเข่าข้างเดียวอยู่กับพื้น เลือดไหล
มาตามแขนของนางย้อมดาบโค้งขาวราวแสงจันทร์จนแดงฉานนางหอบหายใจฮัก
หลัง เอว ขาซ้าย…ล้วนแต่มีรอยแผลลึกถึงกระดูก
ตรงหน้า เจ้าเมืองธารเหมันต์ชวีอี้ใบหน้าชั่วร้ายและเหี้ยมโหด
“ถึงแม้จะเป็นแค่ปลาตัวเล็กๆ แต่ก็ถือว่ามีน�าหนักอยู่บ้าง เหอะๆ
ธิดาเทพสํานักชําระดาบเยี่ยอู๋เหิน สาวงามอันดับหนึ่งของลัทธิมาร ฮี่ๆ
เยี่ยม เยี่ยมมาก ใช้เลือดเนื้อของเจ้ามาเซ่นสังเวยวิญญาณบนสรวง
สวรรค์ของลูกชายข้าก็แล้วกัน”
บุคคลระดับเจ้าสํานักแห่งสํานักทั้งเก้าคนนี้ น�าเสียง สีหน้าท่าทาง
เหี้ยมโหดประหนึ่งคนชั่วช้า
ยอดฝีมือเมืองธารเหมันต์ที่อยู่รอบๆ มือถืออาวุธต่างๆ ล้อมเยี่ยอู๋
เหินเอาไว้
เยี่ยอู๋เหินสีหน้าเรียบนิ่ง เลือดย้อมผมยาวสีเขียวอ่อนแดงฉาน ผม
ที่เปียกชุ่มสยายลงมาบังตาของนางเอาไว้ นางจ้องเจ้าเมืองธาร
เหมันต์ชวีอี้ พลางเอ่ยถาม “ผู้สืบทอดฝืนชะตาอยู่ที่ไหน?”
ตอนมาก็รู้อยู่แล้วว่านี่อาจจะเป็นกับดัก แต่นางก็ยังเหมือนกับ
แมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น
นางมาเพื่อช่วยคน หากตายไปเช่นนี้นางเจ็บใจนักก่อนตายได้เห็นเจ้าบ้าแกล้งทําตัวบ้าบออีกครั้งหนึ่งถึงจะวางใจ
“อ้อ ข้านึกออกแล้ว ระหว่างธิดาเทพสํานักชําระดาบและผู้สืบ
ทอดฝืนชะตามีสัญญาแต่งงานที่ติดตัวมา มิน่าเล่าถึงได้พยายามสุด
ชีวิตขนาดนี้ ที่แท้ก็เพื่อจะช่วยหนุ่มชายคนรักนี่เอง เหอะๆ” ในแววตา
ของชวีอี้ฉายประกายเหี้ยมโหด เอ่ยอย่างเย็นยะเยือกน่าขนลุก “อยาก
เจอมันหรือ? หึๆ เจ้าตายแล้วก็จะได้เจอ ข้าจะส่งเจ้าไปเป็นคู่นกเป็ดน�า
แห่งความตายเอง ฮ่าๆๆๆ!”
“ฆ่า!”
ชวีอี้โบกมือ
ผู้แข็งแกร่งยอดฝีมือเมืองธารเหมันต์บุกรุมไปทันที
เงาดาบแสงกระบี่ส่องประกายวาบ
ร่างของเยี่ยอู๋เหินพลันลุกขึ้น ตวัดดาบรับมือศัตรู
ท่ามกลางเสียงตะโกน แสงเลือดสาดกระจาย มีลูกศิษย์สํานักธาร
เหมันต์ร้องน่าสังเวชกระเด็นออกไปไม่ขาดสาย ส่วนร่างของเยี่ยอู๋เหินก็
มีรอยแผลเพิ่มไม่หยุดเช่นกัน เลือดไหลรินออกมาจากเนื้อที่ถูกฟัน
ชวีอี้เอ่ยเสียงเย็น “อย่าให้นางได้ตายสบาย”ความโกรธและเคียดแค้นในใจของเขาเหมือนกับน�าป่าที่สะสมมา
ทั้งคืนที่ใกล้จะโหมทะลัก ค่อยๆ กลืนกินสติของเขา
ท่ามกลางท้องฟ้า เมฆดําคล้อยเคลื่อน
ชั้นเมฆที่ประดุจสัตว์ร้ายสีดํากําลังอ้าปากตวัดกรงเล็บ ฉีกทึ้ง
จันทร์กระจ่างดวงนั้นเป็นชิ้นๆ มีเพียงแสงจันทร์ไม่กี่กลุ่มที่เล็ดลอดส่อง
แสงผ่านรอยแยกของเมฆมายังรอบๆ เยี่ยอู๋เหิน สภาพยับเยิน
สะบักสะบอม
เยี่ยอู๋เหินสะบัดดาบ แสงจันทร์กับดาบชําระจันทร์ก่อเป็นเสียงขับ
ขานแปลกประหลาด
นางไม่ได้เลือกที่จะหนี
สายตาของนางทั้งสุกสว่างทั้งมุ่งมั่น เหมือนอัญมณีที่สมบูรณ์แบบ
กําลังส่องประกาย ไร้ราคีไร้มลทิน นางมองไปทางเขาจัวเฟิงที่อยู่
ห่างไกล หากเขาถูกขังจริงๆ ล่ะก็ เช่นนั้นจะต้องอยู่ที่เขาจัวเฟิงแน่นอน
ในสมองฉายภาพที่ได้สัมผัสกับเด็กหนุ่มไม่กี่ครั้งนั่นไม่หยุด
ที่แอ่งน�าลึกในหุบเขามังกรโฉด เขาที่ถูกฟ้าผ่าเหมือนกับลิงตัว
ใหญ่สีดํา จู่ๆ ก็มาปรากฏในแอ่งน�าที่นางซ่อนตัวอยู่ หลังจากเจอนาง
กลับเสี่ยงอันตราย หลอกทหารของเมืองธารเหมันต์ไปอีกทาง จากนั้นก็อุ้มนางไปจากเขามังกรโฉด รักษาบาดแผลให้นาง ริมฝั่ งทะเลสาบที่แสง
จันทร์ทอแสง กลิ่นหอมของปลาตัวโตย่างบนกองไฟ ลอยอวล
ท่ามกลางแสงจันทร์ และเมื่อได้พบกันอีกครั้ง เขาก็รับดาบชําระจันทร์
เอาไว้ได้สบายๆ เอ่ยว่าตัวเองเป็นผู้สืบทอดของฝืนชะตาอย่างไม่สนใจ
…
“ก่อนหลังก็แค่ได้เจอสองครั้งเท่านั้น ข้าคงบ้าไปแล้ว”
เยี่ยอู๋เหินปะทุพลังที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา แปลงเป็นแสงจันทร์
ฝ่าวงล้อมบินพุ่งไปทางยอดเขาจัวเฟิง
บ้าก็ดี จะตายก็ช่าง
สรุปแล้ว จะต้องได้พบเขา
ชวีอี้หัวเราะเสียงเย็น ร่างเพียงกะพริบก็มาขวางอยู่ข้างหน้าเยี่ยอู๋
เหิน ฝ่ามือหนึ่งซัดออกมา คลื่นเย็นเยือกโหมมา พลังของผู้แข็งแกร่ง
ทะลวงสวรรค์ประหนึ่งคลื่นยักษ์ถาโถม ขยี้แสงจันทร์แหลกละเอียด
และสะเทือนผืนฟ้าแหลกร้าว
“อั้ก!”
เยี่ยอู๋เหินกระอักเลือดเป็นสาย สะเทือนจนกระเด็นกลับไปแต่ถอยหลังไปสามจั้ง ร่างกายชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ปะทุพลัง
น่าเหลือเชื่อออกมาในเสี้ยวพริบตา นางเหมือนกับคนบ้าที่รู้ว่าบนภูเขา
มีเสือแต่ก็ยังรั้นจะขึ้นไป พุ่งไปยังยอดเขาจัวเฟิงด้วยร่างกายบอบช�า
สะบักสะบอม ผมสีเขียวที่ย้อมไปด้วยเลือดจนแดงปลิวสยาย
“ไสหัวกลับไปเสีย”
ชวีอี้หัวเราะเสียงเย็น ซัดฝ่ามือไปอีกครั้ง โจมตีเยี่ยอู๋เหินกระเด็น
กลับไป
ร่างของเยี่ยอู๋เหินโอนเอนจะร่วงลงไป
นางใช้ดาบโค้งค�าเอาไว้ไม่ให้ล้มลง
มองยอดเขาจัวเฟิง ไกลออกไปแค่สองลี้ แต่เหมือนห่างไกลลิบลับ
พุ่งไปหลายครั้งติดๆ ต่างถูกสะเทือนกลับไปทุกครั้ง
“ถลกเสื้อผ้าของนางออกเสีย เก็บภาพเคลื่อนไหวเอาไว้ด้วย ข้าจะ
ให้สภาพน่าอัปยศร่างเปลือยเปล่าของธิดาเทพลัทธิมารแพร่ไปทั่ว
ปฐพี” ชวีอี้เอ่ยคําพูดเหี้ยมโหดที่ไม่เข้ากับฐานะของตัวเองออกมา
หน้ากากสัตบุรุษจอมปลอมในอดีตถูกถอดออก ประหนึ่งปีศาจชั่วใน
นรกที่แกล้งสวมหนังมนุษย์
ฝูงมารรุมทึ้งลูกศิษย์เมืองธารเหมันต์รอบๆ ประสานเสียงหัวเราะครืน ยิ้มเหี้ยม
เกรียมพุ่งไปหา
สาวงามอันดับหนึ่งของลัทธิมาร
ต่อให้เป็นโลกดาวทุรกันดารก็นับว่าเป็นสาวงามที่มีชื่อ
โดยปกติแล้วมีคนไม่รู้ต่อเท่าไหร่อยากจะพิศความงามของนางแต่
ไม่ได้เห็น แต่ตอนนี้กลับร่วงลงสู่โลกมนุษย์ได้รับการหยามหมิ่นเช่นนี้
คิดๆ แล้วก็ทําให้พวกเขาตื่นเต้นยิ่งนัก
บนโลกนี้ หลายครั้งที่บดขยี้ความบริสุทธิ์และทําให้ความศักดิ์สิทธิ์
แปดเปื้ อน เป็นหนึ่งในด้านมืดที่ทําให้ด้านมืดของมนุษย์ผุดกระเหี้ยน
กระหือรือขึ้นมาอย่างยากจะเก็บเอาไว้อย่างไม่ต้องสงสัย
มุมปากของเยี่ยอู๋เหินยกยิ้มเย็นเหยียดหยาม
ความไร้ยางอายของฝ่ายธรรมะเห็นกันอยู่ชัดๆ
นางกําดาบ รู้ว่าตัวเองหนีกลับไปไม่ได้แล้ว
ก่อนที่จะออกมาจากเมืองไป๋ตี้ใช่ว่าจะไม่เคยคิดว่าเรื่องแบบนี้จะ
ไม่เกิดขึ้น แต่อย่างไรก็มาแล้ว แมลงเม่าเฝ้าใฝ่หาแสงสว่าง ส่วนความ
มุ่งมั่นของตัวเองที่ดื้อดึงจนแทบจะใกล้เคียงกับดึงดัน กระทั่งว่าไม่สนใจ
คําคัดค้านของท่านย่า เพียงเพื่อจะคืนหนี้ชีวิตเท่านั้นหรือ?ชีวิตคืนด้วยชีวิต
น่าเสียดาย ที่ริมแอ่งน�าเย็นยะเยือกในหุบเขาวันนั้นเจ้าช่วยชีวิตข้า
ไว้ แต่เขาจัวเฟิงที่ห่างออกไปแค่สองลี้ แม้แต่จะพบหน้าเจ้าข้าก็ยังทํา
ไม่ได้
แต่ว่า โปรดเชื่อเถิด ข้าทําทุกสิ่งที่ข้าทําได้แล้ว
ลิงตัวดําตัวนั้น ชายใบหน้าทะเล้นคนนั้น…หวังว่าสุดท้ายจะรอด
พ้นไปได้
ท่านย่า ขอโทษด้วย
ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ามาหาท่านแล้ว
นางพลันลุกยืนขึ้น ดาบโค้งในมือวาดไปที่ใบหน้าของตัวเอง
ความโสมมของโลกโลกีย์ถาโถมมา สุดท้ายสิ่งที่จะรักษาเกียรติ
ศักด์ศรีได้ก็คือดาบโค้งในมือทําลายใบหน้านี้ไปเสีย ชื่อเสียงและเกียรติ
ของลัทธิเทพและสํานักชําระดาบจะตกต�าเพราะสตรีร่างเปลือยเปล่า
ไม่ได้
แต่ในตอนนี้เอง——
แสงดาบทางหนึ่งแหวกฟ้าฟ้าท้องฟ้าถูกทึ้ง
และสิ่งที่ถูกฉีกทึ้งไปด้วยยังมีวงล้อมจากยอดฝีมือเมืองธารเหมันต์
ที่ทะลักเข้ามาราวคลื่น
ฝ่ามือข้างหนึ่งที่แฝงด้วยความอบอุ่นรับดาบชําระจันทร์ที่เฉือน
เข้าไปที่หน้าได้ทันเส้นยาแดงผ่าแปดพอดี
“ขอโทษ ข้ามาช้าไปแล้ว”
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น
เยี่ยอู๋เหินเงยหน้ามองไปอย่างไม่อยากเชื่อ
ใบหน้าที่คุ้นเคยปรากฏในครรลองสายตาสีเลือดเลือนราง
“เจ้า…” นางอ้าปากไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
นางที่ต่อให้เผชิญหน้ากับศัตรูเหี้ยมโหดที่บุกมาราวฝูงตั๊กแตน ก็ไม่
อาจสร้างระลอกคลื่นในใจให้ได้แม้แต่น้อย พลันทําตัวไม่ถูก เขามา
ปรากฏตัวตอนนี้ได้อย่างไร มาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร เขา…เห็นสภาพ
สะบักสะบอมของตัวเอง
“เจ้า…” หลี่มู่ก็คิดอยากจะพูดอะไร แต่คําพูดติดอยู่ที่ปากก็พูด
อะไรไม่ออก สุดท้ายก็กลายเป็นคําๆ หนึ่ง “โง่”เยี่ยอู๋เหินเม้มปากอย่างดื้อรั้น แค่นเสียงขึ้นจมูกก็ไม่พูดอะไรอีก
ฟิ้ ว!
ตอนนี้เอง เสียงแหวกอากาศของแสงดาบสายนั้นเมื่อก่อนหน้านี้ก็
ดังขึ้นกลางท้องฟ้าทะลุแก้วหูของทุกคน รอยแยกสีดํากลางท้องฟ้าทิ้ง
รอยอยู่นานยากจะผสาน เห็นได้ว่าความเร็วที่หลี่มู่พุ่งมาเมื่อครู่นั้นเร็ว
เพียงใด หากช้าไปเพียงเสี้ยวพริบตา เกรงว่าเยี่ยอู๋เหินคงทําลาย
รูปลักษณ์ อัตวินิบาตกรรมไปแล้ว
“ยืมดาบเจ้าใช้หน่อยแล้วกัน”
หลี่มู่ถือดาบชําระจันทร์ไว้ในมือขวา
รอยแผลที่ดาบฟันมายังฝ่ามือเมื่อครู่สมานตัวในเสี้ยวพริบตา
เขาหยิบอาภรณ์วิเศษออกมาตัวหนึ่ง คลุมร่างที่เต็มไปด้วย
บาดแผลของเยี่ยอู๋เหินเอาไว้ และจัดผมยาวที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือดให้
นาง จากนั้นก็ใช้มือซ้ายเพียงข้างเดียวกอดนางไว้แนบอก
ใบหน้าของเยี่ยอู๋เหินแดงวาบราวไฟลุกไหม้ขึ้นทันที ยังดีที่มีคราบ
เลือดปกปิดเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่ชัดเจน นางดิ้นอยู่ครู่หนึ่ง แต่อ้อมแขนนั้น
มีพลังและเอาแต่ใจขนาดนั้น สุดท้ายก็ทําได้แค่ปล่อยแล้วแต่หลี่มู่
ผู้แข็งแกร่งยอดฝีมือเมืองธารเหมันต์ล้อมมา“รีบหนีเร็ว” เยี่ยอู๋เหินเอ่ยเสียงต�า
หลี่มู่ยิ้ม แล้วเอ่ย “หนี? ใครว่าจะหนี?”
เยี่ยอู๋เหินตะลึง
ก็ได้ยินหลี่มู่เอ่ยขึ้น “ดูข้าล้างแค้นให้เจ้า”
เสี้ยวขณะต่อมา วิชาขี่เมฆาเหินฟ้าสําแดงฤทธิ์ ร่างของหลี่มู่
รวดเร็วดุจลําแสง ทะลวงวงล้อมของลูกศิษย์เมืองธารเหมันต์ได้ใน
พริบตา
ในส่วนลึกของดวงตาเขามีเปลวเพลิงลุกวาบ เหมือนหินหนืดที่
สะสมพลังงานไว้จนเพียงพอ ความกดดันที่เหมือนจะพุ่งทะลวงเปลือก
โลกทะลักมา ดาบชําระจันทร์ในมือประหนึ่งว่าดาบเดียวฟันออกมาก็
จะฟันเมฆดําทั่วฟ้าแหลกสลาย
แสงจันทร์สาดส่องลงมาดุจน�าตก ผสานเข้ากับแสงดาบ
ประกายแสงแปลกประหลาดนี่พาดผ่าน ราวกับทิวทัศน์ที่งดงาม
ที่สุดในใต้หล้า
ฉัวะ!
หัวของเจ้าเมืองธารเหมันต์ชวีอี้ขาดกระเด็นเยี่ยอู๋เหินเบิกตาโต
ท่ามกลางละอองเลือดสาดกระจาย ร่างของชวีอี้รวมตัวมาอย่าง
รวดเร็ว ใบหน้าของเขาฉายแววหวาดกลัว หมุนตัวหนีทันที บินไปยัง
ยอดเขาจัวเฟิง ตอนนี้ เจ้าสํานักต่างๆ ของทั้งเก้าสํานักกําลังหารือกันที่
เขาจัวเฟิง ขอแค่หนีไปที่นั่นได้ก็จะปลอดภัยแล้ว
………………………………………………