จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 545 จริงๆ แล้วไม่ได้ยากเลย
ในใจของพวกเขา เจ้าเมืองเป็นตัวตนตํานานวิถียุทธ์ของดาว
ทุรกันดาร และเป็นเสาเอกที่ค�าจุนความภาคภูมิใจและเกียรติอันสูงส่ง
ของทั้งเมืองธารเหมันต์ แต่ทั้งหมดนี้ได้เริ่มพังทลายลงจากการหนีรบ
ราวกับสุนัขไร้บ้านของชวีอี้
ศิษย์มากมายไม่อยากจะเชื่อภาพที่พวกเขาได้เห็น
“สกัดเขาไว้”
ชวีอี้หนีไปด้วย ตะโกนคํารามไปด้วย
เขาไม่ได้สนใจอะไรเลย
ตอนที่เขาเห็นหลี่มู่รีบพุ่งเข้ามาก็ตระหนักได้ว่าท่าไม่ดีแล้ว
แต่ว่าความภาคภูมิส่วนลึกในใจ และความมั่นใจในตนเองของ
ตัวตนเจ้าเมืองธารเหมันต์ก็ยังทําให้เขารู้สึกว่า ตนเองอาจจะสามารถ
รับมือกับหลี่มู่ได้หลายกระบวน ไม่เหมือนพวกถานหรูซวง หลี่มู่จื่อ ต้วน
เฟิงที่พ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว
แต่ทว่า เขาก็พบว่าตนเองคิดผิดผิดอย่างมหันต์
ดาบที่ราวกับแสงจันทร์สาดทะลักดาบนั้น เรียบง่าย แต่กลับมีพลัง
มาร เพียงแค่ดาบเดียวฟาดฟันความเชื่อมั่นของเขาลงจนหมดสิ้น
พริบตาที่คมมีดบั่นคอของเขา ความโกรธแค้นของชวีอี้ได้พังทลาย
ลง จิตใจในการรบก็พังทลายลงเช่นกัน
“รีบสกัดเขาไว้ให้ข้าที”
ชวีอี้ไม่แม้แต่จะหันศีรษะ ตะโกนสั่งศิษย์เมืองธารเหมันต์ให้เข้ามา
สกัดหลี่มู่
ที่เรียกว่าสกัด จริงๆ แล้วไม่ได้แตกต่างจากมอบความตายเลย
แม้แต่น้อย
ดาบชําระจันทร์เมื่ออยู่ในมือหลี่มู่ ถึงแม้จะไม่ได้แสดงวิชาดาบ
ชําระจันทร์ออกมา กระบวนท่าเป็นเพียงฟาดขวางฟันลงอย่าง
ตรงไปตรงมา แต่พลานุภาพไม่รู้แข็งแกร่งกว่ากี่เท่า เพียงแค่ฟาดดาบ
ออกมาก็กลายเป็นจิตดาบปราณดาบประดุจทางช้างเผือกร่วงหล่น ฉีก
แหวกอากาศพร้อมกับกลุ่มร่างของศิษย์เมืองเหมันต์ที่พุ่งเข้ามา
เข่นฆ่าอยู่ฝ่ายเดียวตอนแรกสุด ยังมีศิษย์ธารเหมันต์ที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่สนอะไร เพื่อ
ยื้อเวลาให้เจ้าเมืองชวีอี้หลบหนี แต่เพียงไม่นาน ศิษย์ที่แม้จะซื่อสัตย์
สักเพียงไหนก็ไม่สามารถทนกับความน่ากลัวนี้ หนีกระเจิงไปสี่ทิศรอบ
ด้าน
“เจ้าพวกภูตผีสัตว์ประหลาด หนึ่งเดียวก็รอดไปไม่ได้…ตายเสีย”
หลี่มู่ใช้วิชาขี่เมฆาเหินฟ้า ร่างไหววูบ
บนอากาศปรากฏร่างของหลี่มู่ขึ้นมาอีกสี่ร่าง กระทั่งเยี่ยอู๋เหินที่ถูก
กอดเอาไว้ และดาบชําระจันทร์ในมือก็มีเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน พุ่งสว่าง
วาบไปทั้งสี่ทิศ ไล่กวดโจมตี แสงดาบไหลเวียนจากนั้นสลายไปกลับมา
อยู่ยังที่เดิม ร่างทั้งสี่รวมเป็นหนึ่งอีกครั้ง
นี่ไม่ใช่วิชาแยกร่าง
แต่เป็นความเร็วที่เหลือเชื่อจนเหลือเงาค้างอยู่ในอากาศ
ศิษย์ธารเหมันต์ที่หนีกระเจิงไปทั้งสี่ทิศ ร่างค้างแข็งในอากาศ
จากนั้นจึงแยกเป็นชิ้นๆ ราวกับนกบินที่ชีวิตดับลงอย่างกะทันหัน ร่วง
หล่นลงสู่พื้นดิน ไม่มีใครหนีไปได้แม้แต่คนเดียว
ไม่เว้นแม้เพียงคนเดียว ถูกสังหารจนสิ้น
หลี่มู่กอดเยี่ยอู๋เหิน ไล่ตามชวีอี้ไปเยี่ยอู๋เหินรู้สึกว่าฝ่ามือของหลี่มู่มีพลังอบอุ่นไหลเวียน กรอกเข้าใน
ร่างกายของตนเองอย่างไม่หยุดเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ ความ
เจ็บปวดในร่างกายไม่ได้สําคัญอะไรอีกแล้ว การถูกผู้ชายแปลกหน้าคน
หนึ่งกอดเอาไว้เช่นนี้ มันช่างรู้สึกแปลกประหลาดอย่างมาก
เทพธิดาสํานักชําระดาบลัทธิมารที่เลื่องชื่อฟ้าดิน ไม่เคยรู้สึกตึง
เครียดขนาดนี้มาก่อน
ยังเครียดเสียยิ่งกว่าตอนที่นางจับดาบสังหารคนครั้งแรกเสียอีก
ตรงหน้า มีแสงดาบอีกสายสว่างขึ้นอีก
ร่างของชวีอี้ถูกตัดขาดกลางเอวเป็นสองท่อน
แต่ว่าเลือดที่ซาดกระเซ็น แสงสว่างวาบขึ้นได้รวมกลับเข้ามา
ติดกันอย่างรวดเร็ว
“สหายทุกท่าน รีบมาช่วยข้าที” ชวีอี้หวาดกลัวเหลือประมาณ ทิ้ง
ศักดิ์ศรีหน้าตากระตุ้นปราณแท้ แผดเสียงขอความช่วยเหลืออย่าง
สุดกําลัง
เสียงกระหึ่มราวสายฟ้าฟาด ดังก้องสะท้านไปทางยอดเขาโต๊ะ“ไม่ต้องไล่ตามแล้ว รีบกลับเถอะ” เยี่ยอู๋เหินได้สติกลับมาบ้างแล้ว
รีบร้อนเอ่ยเตือนขึ้น “เจ้าสํานักทั้งเก้าล้วนอยู่กันหมด ถ้าตามต่อไปจะ
ถูกล้อมโจมตีเอา”
หลี่มู่ใช้วิชาดาบเหินหาว เอียงศีรษะมามองใบหน้างามหมดจดใน
อ้อมกอด มองเห็นว่าบาดแผลและรอยเลือดบนตัวของนาง ความ
อ่อนไหวในใจบางส่วนเกิดความสะเทือนใจ เอ่ยตอบว่า “ไม่ได้ ข้าจะ
สังหารเขา เพื่อล้างแค้นให้เจ้า”
เยี่ยอู่เหินเอียงศีรษะ “เจ้าจะไปตายเอานะ”
หลี่มู่มองนาง “เจ้าก่อนหน้าก็ไม่ใช่ว่ามาตายหรือ?”
เยี่ยอู๋เหินมองตาของหลี่มู่ เอ่ยต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่อยากตาย
แล้ว พาข้ากลับเถอะ”
หลี่มู่ยิ้ม “กลัวข้าจะตายในนั้นหรือ? วางใจเถอะ ข้าเก่งอยู่”
เยี่ยอู๋เหินร้องเชอะขึ้น ไม่พูดอะไรอีก
พลังของหลี่มู่ นางมองไม่ออกอีกต่อไปแล้ว
หนึ่งดาบบดขยี้ผู้แข็งแกร่งระดับชวีอี้ได้ แน่นอนว่าต้องอยู่เหนือ
ขั้นทะลวงสวรรค์ขึ้นไปอีกผู้สืบทอดฝืนชะตา มีพลังแข็งแกร่งระดับนี้เลยหรือ?
นางรู้สึกยากที่จะเชื่อได้
แต่ท่าทีที่หลี่มู่ยังคงยืดหยัดไล่สังหารชวีอี้ กลับทําให้ในใจนางรับรู้
ความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่าง ยากที่จะพูดออกมาได้ พูดมาก็ไม่
ชัดเจน ทําเอาตัวนางรู้สึกสับสน และรู้สึกถึงการคาดหวัง และยังมีความ
ซาบซึ้งที่ไม่เกิดขึ้นมานานแล้ว
“สังหาร”
หลี่มู่เหมือนแมวจับหนูอย่างไรอย่างนั้น เพียงพริบตาก็ลด
ระยะห่างระหว่างตัวชวีอี้ลง และฟาดฟันออกไปอีกหนึ่งดาบ
ชวีอี้ไม่มีแรงที่จะต้านทานอีก ถูกฟันขาดเหมือนตุ๊กตาไม้ตุ๊กตาดิน
อีกครั้ง
แต่เขาก็กระตุ้นพลังต้นกําเนิดอย่างไม่เสียดาย ทิ้งระยะห่าง
ประกอบร่างเข้าอีกครั้ง
หมอกเลือดซ่านกระเซ็น
พลังกําเนิดใหม่ของผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวงสวรรค์ อยู่ในระดับขั้นที่
ไม่น่าเชื่อจริงๆ เกี่ยวข้องไปถึงเขตแดนกฎแห่งมรรคคา ต่อให้เป็นจิตดาบของหลี่มู่ฟาดฟันลงไปร่างกายของเขาอย่างไม่หยุด เขาก็ยังคงฟื้ น
คืนร่างกายมาใหม่อย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ผ่านไปหลายดาบ ยอดเขาโต๊ะปรากฏขึ้น
แสงนับร้อยสาย พุ่งทะยานออกมาจากยอดเขาโต๊ะ ระยิบระยับ
ราวหมู่ดารา บาดจ้าราวดาวหางแหวกอากาศ
นั่นเป็นเหล่าผู้แข็งแกร่งเก้าสํานัก ที่แทบจะออกโรงมาพร้อมกัน
หมดในพริบตา
เห็นได้ชัดเจน ว่าข่าวได้ส่งไปถึงยังยอดเขาโต๊ะแล้ว
“เป็นเขา ถือหอกขี่ม้าบุกสังหารเข้ามา คิดว่าเก้าสํานักทางนี้ไม่มี
คนอยู่หรือไรกัน?” ‘หนึ่งกระบี่ทะเลประจิม’ ถานหรูซวงแค่มองเห็นห
ลี่มู่ ความโกรธแค้นและหวาดกลัวในใจได้ตีกันขึ้น
เขาถูกหลี่มู่ฟาดฟันจิตแห่งวิถียุทธ์ลงในดาบเดียว ยังทําใจให้สงบ
ไม่ได้
มีเพียงสังหารหลี่มู่เท่านั้น จึงจะฟื้ นคืนกลับมาดีดังเดิม
เดิมทีเรื่องนี้สําหรับเขาแล้ว แทบจะเป็นเส้นทางที่พบกับทางตันทว่าตอนนี้ เมื่อเห็นหลี่มู่พาหญิงสาวที่เจ็บหนักมาอีกหนึ่งคน ไล่ล่า
สังหารชวีอี้ราวกับราชสีห์ที่โกรธจนสูญสิ้นสติไตร่ตรอง ถานหรูซวงก็
ตระหนักได้ทันที ว่าโอกาสที่ดีที่สุดในการสังหารหลี่มู่ได้มาอยู่ตรงหน้า
แล้ว
คนที่มีความคิดเดียวกับถานหรูซวง ยังมีผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวง
สวรรค์อย่างหลี่มู่จื่อ ต้วนเฟิงอีกด้วย
ก่อนหน้านี้หลี่มู่หลบอยู่ในป่าหิน สามารถหลบหนีมาเวลาไหนก็ได้
อยู่ในตําแหน่งไร้พ่ายที่พวกเขาทําอะไรไม่ได้ ทว่าตอนนี้ หลี่มู่ออกจาก
ป่าหิน ซ�ายังกําเริบเสิบสานถึงเพียงนี้ เพียงแค่ล้อมกรอบเสียก็สามารถ
สังหารเขาลงได้อย่างราบคาบ
“สกัดเขาไว้”
“ลงมือพร้อมกัน”
“รับมือกับสวะลัทธิมารเช่นนี้ ไม่จําเป็นต้องสู้ตัวต่อตัวตามกฎแห่ง
วิถียุทธ์หรอก บุกเข้าสังหารพร้อมกันไปเลย”
คนที่อยู่บนจุดสูงสุดของเก้าสํานัก ลงมือแทบจะพร้อมกัน
“ระวัง” เยี่ยอู๋เหินเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้
หลี่มู่หัวเราะร่าร่างของเขาเพิ่มความเร็วดุจสายฟ้าขึ้น เพียงพริบตาก็เข้าไปถึง
ข้างกายเจ้าเมืองธารเหมันต์ชวีอี้ แสงดาบสว่างวาบ ฟาดฟันลงไปที่ร่าง
ของชวีอี้อีกครั้ง
พริบตาต่อมา วิชาดาบ วิชากระบี่ ฝ่ามือ เงากระบอง…มากมาย
หลายกระบวนท่า พลังถาโถมตรงทะลักเข้ามาทางหลี่มู่
ร่างของหลี่มู่รวดเร็วดุจภูตผี หลบหลีกอย่างต่อเนื่อง
ระยะห่างระหว่างเขากับเจ้าเมืองธารเหมันต์ชวีอี้ ถูกดึงห่างออก
อย่างไม่หยุด
ท้ายสุด ชวีอี้ได้หนีเข้าไปอยู่ในกลุ่มคน
เขาถอนใจโล่งออกมา หันตัวกลับมองไปยังหลี่มู่ ดวงตาเปล่ง
ประกายความแค้นอย่างเข้มข้น
ถูกหลี่มู่ฟาดฟันร่างไปห้าหกครั้ง และดูเหมือนแต่ละครั้งจะ
สามารถกลับมารวมร่างใหม่ได้ ทว่านี่ได้ส่งผลไปถึงต้นกําเนิดพลัง
สิ้นเปลืองปราณเลือดไปอย่างมากมาย จนแทบจะทําให้พลังของเขา
ร่วงลงจากขั้นทะลวงสวรรค์เลยทีเดียว หากคิดจะฟื้ นฟูกลับเป็นพลัง
บําเพ็ญการรบก่อนหน้า น่ากลัวว่าคงต้องใช้เวลานับสิบปี แล้วเขาจะไม่
โกรธแค้นได้อย่างไร?“เจ้าเดรัจฉาน วันนี้เจ้าต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย”
ชวีอี้มองเห็นเงาร่างหลี่มู่ ที่แทบจะถูกพลังระดับทําลายล้างกลบ
ร่างจนมิด คํารามเดือดดาลอย่างเย็นชา
“สังหารเขาเสีย”
“ใส่ไปทุกอย่างที่มี จะให้เขาหนีไปไม่ได้”
“เหอๆ สวรรค์มีทางไม่ยอมเดิน แต่กลับพยายามลงมาที่นรกเสีย
เอง”
ผู้แข็งแกร่งของเก้าสํานัก พุ่งตรงเข้ามาราวกระแสน�าขึ้น
สุดยอดขั้นฟ้าประทานทั้งเจ็ดแทบจะลงมือในเวลาเดียวกัน
เงาของหลี่มู่ราวกับเป็นเรือลําน้อยบนทะเลคลั่งที่ถูกคลื่นกลบจน
มิด สามารถถูกคลื่นฟาดทําลายได้ตลอดเวลา ล่อแหลมอันตรายอย่าง
มาก
เยี่ยอู๋เหินขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ไม่พูดจา กลัวว่าหลี่มู่จะแบ่งความ
สนใจมา
“ฮ่ะๆ เจ้าเดรัจฉานตัวน้อย จะมาสังหารข้าไม่ใช่หรือ?”
ชวีอี้ถอนใจโล่ง หัวเราะร่าอย่างท้าทาย เปล่งเสียงประชดประชันนี่ไม่ใช่ความภาคภูมิใจที่หนีพ้นจากความตายได้ แต่เขาใช้วิธีการนี้
มายั่วโมโหหลี่มู่ ทําให้หลี่มู่แบ่งความสนใจ
“ไม่ต้องรีบร้อน ศีรษะของเจ้า วันนี้ข้าจะไปเด็ดออกมาแน่”
ระหว่างคิ้วหลี่มู่ เนตรสวรรค์เปิดออก ดวงตาแนวตั้งแสงดารา
ไหลเวียน อ่านออกอย่างถ่องแท้ ในช่วงเสี้ยววินาทีหลบหลีกการโจมตี
อย่างคล่องแคล่วราวกับเริงระบําอยู่บนปลายดาบ ทําเอาคนตกใจเต้น
ระรัว
“เหอๆ เจ้าเดรัจฉานน้อย อยู่ระหว่างความตายแท้ๆ แต่ยังจะกล้า
พูดจาใหญ่โต ศีรษะของเจ้าเมืองอย่างข้าอยู่ที่นี่แล้ว เจ้าเข้ามาเด็ด
เลย” ชวีอี้ยิ้มเย็นชา เหน็บแนมขึ้นอย่างไม่หยุด
ทว่าตอนนี้ บนร่างของหลี่มู่ได้ปรากฏบาดแผลขึ้นบ้างแล้ว
คนที่ล้อมโจมตีนั้นมีจํานวนมากจริงๆ
ผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวงสวรรค์อย่างถานหรูซวง ต้วนเฟิง หลี่มู่จื่อก็
เข้าโจมตีอย่างไม่หยุด ลอบกัดบ้าง และในอ้อมอกของหลี่มู่ก็ยังกอด
เยี่ยอู๋เหินเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ล้วนมองออกว่าเยี่ยอู๋เหินคือ
จุดอ่อน ดังนั้นจึงโจมตีเข้าไปยังตัวเยี่ยอู๋เหิน ทําให้หลี่มู่ต้องลูบหน้าปะ
จมูก หลายครั้งที่ต้องใช้กายเนื้อเข้ารับดาบแทนเยี่ยอู๋เหินจู่ๆ หลี่มู่อ้าปากกัดตัวดาบชําระจันทร์ไว้ แบกเยี่ยอู๋เหินขึ้นไปบน
หลังของตนเอง เอ่ยเสียงต�าว่า “กอดข้าให้แน่นๆ”
เยี่ยอู๋เหินโอบกอดคอของหลี่มู่ไว้แน่นทั้งสองมือด้วยสัญชาติญาณ
ทว่านางก็ตระหนักขึ้นมาได้ ท่าทางของตนเองเช่นนี้มันคลุมเครือ
เพียงไหน
เนินอกทั้งคู่แทบจะเบียดทับอยู่บนแผ่นหลังไหล่ของหลี่มู่
ความรู้สึกเบียดสัมผัสชัดเจนอย่างมาก เสื้อผ้าบางๆ ไม่กี่ชั้นไม่สามารถ
กั้นขวางการแลกเปลี่ยนความร้อนของผิวกายได้เลย
ทว่าเยี่ยอู๋เหินไม่ได้อยู่ในท่าทีสาวน้อยอ่อนต่อโลก นางรู้ว่าเวลานี้
สถานการณ์คับขันเพียงใด ดังนั้นไม่เพียงแต่ไม่ปล่อยมือ แต่กลับแนบ
ทั้งตัวลงไปบนหลังของหลี่มู่ กอดหลี่มู่เอาไว้แน่น เพื่อไม่ให้ส่งผล
กระทบกับการต่อสู้ของเขา
“ดีมาก”
หลี่มู่หัวเราะ ใช้จมูกเปล่งเสียงออกมา
และก็ไม่รู้ว่าพูดดีมากกับเยี่ยอู๋เหิน หรือพูดกับการโจมตีที่ทะลัก
เข้ามาเหมือนกระแสน�าขึ้นกันแน่จากนั้นจึงเห็นเขาที่กําลังงับตัวดาบชําระจันทร์ ย่อตัวลงเล็กน้อย
บนอากาศ ทําท่านั่งม้าที่สุดแสนจะธรรมดา สองหมัดซ้ายขวาแยกออก
จากนั้นหมัดซ้ายวาดวงด้านบน หมัดขวาวาดวงลงล่าง ในมือราวกับจับ
เอาหยินหยางไว้มั่น วาดวงกลมขึ้นด้านหน้า ท่าทีเชื่องช้าแต่หมัดที่
ซ้อนทับกันหลายชั้นหมุนเวียนอยู่ด้านหน้า กลายเป็นกระแสวน
ประหลาดขึ้น
นี่คือท่าเริ่มต้นของ ‘รวบหางยูง’ ของหมัดยุทธ์แท้
กระแสวนเงาหมัดประดุจหลุมดํา กลืนกินคลื่นพลังที่ซัดสาดเข้ามา
จากทุกทิศทุกทางจนหมด
สองแขนของหลี่มู่หมุนเวียนอย่างช้าๆ
คลื่นพลังอันบ้าคลั่งเต็มฟากฟ้า วิชากระบวนท่าต่างๆ ล้วนเข้ามา
รวมกันในกระแสวนเงาหมัดที่หลี่มู่ใช้สองหมัดสองแขนวาดขึ้น
‘รวบหางยูง’ เป็นวิชาหมัดที่รับก่อนรุก
จุดที่แปลกมหัศจรรย์ของกระบวนท่านี้ อยู่ที่สามารถบิดรวมพลัง
ของฝ่ายตรงข้าม เพิ่มพลังแล้วโจมตีกลับออกไป ลักษณะเดียวกันกับ
‘วิชาดาราเคลื่อนคล้อย’ ของหนานมู่หรงจากนิยายของกิมย้ง ขอแค่
กายเนื้อแข็งแกร่งพอที่จะทานรับได้ ตามทฤษฎีก็สามารถดีดกลับพลัง
ทั้งหมดได้และหลี่มู่ในตอนนี้ กายเนื้อที่ได้ผ่านการหล่อหลอมจากทัณฑ์
สวรรค์เขามังกรแห่งบาป ไม่รู้ว่าแข็งแกร่งขึ้นไประดับไหน สามารถทาน
รับพลังล้อมโจมตีของเก้าสํานักได้อย่างหมดจด
และขณะที่แก่นแท้ของวิชาหมัดกําลังแสดงอยู่ เหล่ายอดฝีมือเก้า
สํานักก็รู้สึกว่าท่าไม่ดีขึ้นมาแล้ว
“ไสหัวไปให้พ้น”
หลี่มู่ตะโกนขึ้นฉับพลัน สองหมัดโบกออก
พลังทั้งหมด แข็งตัวดีดกลับไปอย่างรวดเร็ว พุ่งทะลวงออกไปทั้งสี่
ทิศแปดทาง
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องเสียงตระหนก เหล่ายอดฝีมือเก้าสํานักล้วน
ได้เผชิญกับพลังที่ตนเองส่งออกไปถึงสองเท่า จนซมซาน ทยอยถอย
ฉาก เลือดนอง กระดูกป่นหัก อาวุธพังเสียหาย….ต่อให้ผู้แข็งแกร่งขั้น
ทะลวงสวรรค์ก็ไม่เว้น
ท่ามกลางความอลหม่าน หลี่มู่ร่างไหววูบปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าของ
เจ้าเมืองธารเหมันต์ชวีอี้
แสงดาบสว่างวาบ
ศีรษะลอยกระเด็นไม่รอให้เขาผสานร่างกลับมา หลี่มู่พลิกมือฟาดจิตดาบ กรอกเข้า
ไปในร่างกายของชวีอี้ พลังแห่งไฟจักรพรรดิไหลเวียนเข้าไปอย่างบ้า
คลั่ง
เขาหิ้วศีรษะของชวีอี้ด้วยมือเดียว เอ่ยขึ้นว่า “เด็ดศีรษะของเจ้า
จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ยากเลย”
………………………………………