จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 546 คนคลั่งดาบคลั่งกว่า
เด็ดศีรษะของเจ้า จริงๆ ไม่ได้ยากเลย
ขณะที่หลี่มู่หิ้วศีรษะเจ้าเมืองธารเหมันต์ชวีอี้แล้วพูดประโยคนี้
เสียงต่างๆ เงียบลงอย่างน่ากลัว
ผู้แข็งแกร่งแห่งเก้าสํานัก จ้องมองฉากนี้อย่างตะลึงงัน ในหัวสมอง
ขาวโพลนไปหมด
ภายใต้การคุ้มครองอย่างแน่นหนาและการล้อมโจมตีหลายต่อ
หลายชั้น เจ้าเมืองธารเหมันต์ผุ้บําเพ็ญขั้นทะลวงสวรรค์ กลับถูกบั่น
ศีรษะออกหลายต่อหลายครั้ง ก่อนหน้านี้เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้
เลย ทว่าตอนนี้กลับโจ่งแจ้งต่อหน้าคนทั้งหมด
พริบตานี้เอง ฐานะอันสูงส่งแห่งเก้าสํานัก ถูกเหยียบไปใต้ฝ่าเท้า
อย่างหมดจด
“อ๊าๆ…” คลื่นวิญญาณอันแสนทรมาณของชวีอี้ลอยมา
ปราณเลือดตลบฟุ้ง เขาคิดที่จะผสานร่างอีกครั้ง แต่ว่าเปลวไฟสี
แดงชาดกลุ่มหนึ่ง เผาไหม้อยู่ในหมอกเลือด คอยแผดเผาพลังของ
ปราณเลือดอย่างไม่หยุด ร่างของเขาทุกครั้งพอกําลังจะผสานกันได้ ยังไม่ทันจะต่อเป็นร่าง ก็ถูกเปลวไฟสีแดงนี้เผาทําลาย นี่ทําให้เขาไม่อาจ
ระงับยับยั้งจนต้องกรีดร้องออกมา
ไม่สามารถผสานร่างได้ใหม่ ก็เท่ากับว่าตายไปแล้ว
“ไม่….” เขาเปล่งเสียงอันหวาดกลัวออกมา “ปล่อยข้าไป”
ชวีอี้ร้องขอความปราณีจากหลี่มู่
หลี่มู่ไม่แม้แต่จะเห็นใจ
ตอนที่เร่งตามมา เขาได้ยินสิ่งที่ชวีอี้จะปฏิบัติต่อเยี่ยอู๋เหิน เป็นวิธี
ที่เลวยิ่งกว่าเดรัจฉาน ไร้ยางอายอย่างถึงที่สุด เห็นได้ชัดว่านิสัยของเขา
เลวร้ายไปถึงระดับไหน คนเช่นนี้พลังยิ่งแข็งแกร่งอันตรายก็ยิ่งมาก
สมควรที่จะส่งเขาไปสู่ความตาย จะมีความสงสารหรือเห็นใจแม้แต่
น้อยไม่ได้
เปลวไฟจักรพรรดิสีแดงฉานที่แผดเผา
หลังจากหลี่มู่ฝึกฝนเอาปราณแท้บริสุทธิ์ออกมาได้ พลานุภาพของ
ไฟจักรพรรดิได้เพิ่มขึ้นหลายเท่า สามารถคุกคามผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวง
สวรรค์ได้อย่างสมบูรณ์
ภายใต้การแผดเผาของเปลวไฟ ไม่ว่าจะเป็นปราณเลือดหรือว่า
กายเนื้อ หรือไม้แต่จิรวิญญาณล้วนกําลังสูญสลาย“ช่วยข้าด้วย…” ดวงตาบนศีรษะของชวีอี้ จ้องมองผู้แข็งแกร่งเก้า
สํานักรอบด้าน อ้อนวอนขอชีวิต
แต่ทว่า ตอนนี้ก็ไม่มีใครลงมืออะไร
เมื่อครู่ที่หลี่มู่ใช้วิชา ‘รวบหางยูง’ วิชากระบวนท่าที่ดูดซับเอาการ
โจมตีทั่วฟ้าแล้วดีดกลับไป มันน่ากลัวอย่างมาก ทําเอาวิธีการล้อม
โจมตีที่ได้ผลมาโดยตลอดของเก้าสํานัก กลับกลายมาเป็นสิ่งที่ไม่ส่งผล
ดีต่อพวกเขาถึงที่สุด และแสงดาบที่ราวกับจะถล่มฟ้านั่น กระทั่งผู้
แข็งแกร่งขั้นทะลวงสวรรค์ก็ยังต้านทานไม่ได้ แล้วคนอื่นจะเอาอะไร
เข้าไปช่วยชวีอี้กัน?
เอาชีวิตเข้าไปช่วยหรือ?
จะเป็นไปได้อย่างไร
สําหรับคนส่วนใหญ่ ชีวิตของตนเองล้วนเป็นสิ่งที่มีค่ากว่าชีวิตคน
อื่นนัก
สายตามากมายจับจ้องมาทางหลี่มู่ เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
และประหวั่นพรั่นพรึง
ต่อให้ผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวงสวรรค์อย่างถานหรูซวง หลี่มู่จื่อ หร่า
นกวงเย่า ลู่เทียนหวาก็ไม่มียกเว้นพวกเขาสูญเสียความกล้าที่จะสู้ต่อไปจนหมดแล้ว
ส่วนเยี่ยอู๋เหินที่เกาะอยู่บนหลังของหลี่มู่ ความลิงโลดในใจมันยาก
ที่จะบรรยายออกมาได้จริงๆ
ก่อนหน้านี้ นางมองออกว่าหลี่มู่แข็งแกร่ง แกร่งกว่าตัวนาง แต่ไม่
คิดเลยว่าจะแกร่งจนถึงขั้นไม่น่าเชื่อเช่นนี้
ผู้สืบทอดฝืนชะตาทําไมจึงฝึกฝนได้ถึงระดับนี้กัน?
นางจินตนาการไม่ออกเลยจริงๆ
“ไม่ๆๆ ไว้ชีวิตข้าด้วย เจ้าปล่อยข้าไปเถิด เมืองธารเหมันต์ของข้า
ยอมกลับไปอยู่ฝั่ งลัทธิเทพ นับจากนี้จะเป็นสุนัขรับใช้ของลัทธิเทพ จะ
รับฟังคําสั่งจากเจ้าทุกเรื่อง อย่าสังหารข้า อย่า….” เจ้าเมืองธาร
เหมันต์ชวีอี้โยนทิ้งศักดิ์ศรีตนเองจนหมดสิ้น เมื่ออยู่ภายใต้การคุกคาม
ของความตาย เขาทําได้ทุกอย่างที่ไร้ยางอายเพื่อที่จะเอาตัวรอด อะไร
เขาก็พูดออกมาได้ทั้งหมด
เหล่าศิษย์ยอดฝีมือเมืองธารเหมันต์รอบๆ รู้สึกใบหน้าร้อนฉ่า
เจ้าเมืองของพวกเขา เจ้าสํานักของพวกเขา กลับพูดคําพูดเช่นนี้
ออกมาได้?
พวกเขาทุกคนล้วนเงยหน้ากันไม่ขึ้นแต่หลี่มู่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องและร้องขอชีวิต ผู้ยิ่งใหญ่แห่งดาว
ทุรกันดาร เจ้าเมืองธารเหมันต์ชวีอี้ ท้ายสุดได้ตายลงอย่างหมดจด
ภายใต้สายตาของผู้แข็งแกร่งมากมายจากเก้าสํานัก
ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาถึงหนึ่งถ้วยชา คนที่อยู่รอบๆ ไม่มีใครกล้า
ขยับเขยื้อน
หลี่มู่ไม่ได้หนีไปด้วยเหตุนี้ แต่ยกดาบชําระจันทร์ในมือขึ้น คมดาบ
ชี้ไปยังเจ้าสํานักของสํานักต่างๆ
“ยังมีใครไม่ยอมอีก จะสู้อีกครั้งไหม?”
ดาบวางพาดขวาง ท้าดวลตามอําเภอใจ
อย่าว่าแต่ผู้แข็งแกร่งเก้าสํานักรอบๆ เลย กระทั่งเยี่ยอู๋เหินบน
หลังหลี่มู่ก็ยังหน้าถอดสี
แกร่งได้ขนาดนี้เชียวหรือ?
ยังคิดจะสู้อีก?
ก่อนหน้ามีผู้แข็งแกร่งเก้าสํานักบางส่วนที่มีความคิดคล่องแคล่ว
เคยคิดอยู่ว่าหลี่มู่ที่ผ่านศึกหนักเช่นนี้ไปควรที่จะกลายเป็นธนูแผ่วปลายได้แล้ว ทว่าตอนนี้หลี่มู่ไม่ใช่เพียงไม่เดินหนี แต่ยังยกดาบขึ้นท้า
ดวลอีก ทําลายความคิดเหล่านี้ของพวกเขาลงในพริบตา คนที่อยู่ใน
ระดับธนูแผ่วปลาย จะต้องใช้โอกาสนี้หลบหนีเป็นแน่ ไม่มีทางกล้าท้า
ดวลอย่างไม่กลัวความตายเช่นนี้แน่นอน
ทางที่คมดาบชี้ กลุ่มคนล้วนหน้าถอดสีถอยฉาก
“ขยะฝูงหนึ่ง” หลี่มู่หัวเราะ “เก้าสํานักมันก็แค่นี้”
ผู้แข็งแกร่งจากเก้าสํานักมีใบหน้าโกรธแค้น แต่ยังคงไม่กล้าที่จะ
ลงมือ
ความบ้าคลั่งของหลี่มู่ มีอํานาจอันแสนจะหนาวเหน็บ
คนคลั่งแล้ว ดาบยิ่งคลั่งกว่า
ต่อหน้าดาบคลั่ง เหล่าเทพยังต้องขยาด
ไม่มีคนท้าดวลต่อ หลี่มู่ลากดาบโค้งกลางอากาศ หันหลังเดินไป
ทางเมืองไป๋ตี้
ทว่าตอนนี้เอง อู๋เยี่ยเหินจู่ๆ สัมผัสขึ้นมาได้ กล้ามเนื้อของหลี่มู่มี
ส่วนเล็กๆ ที่กําลังสั่นเบาๆนางตกตะลึงในใจ ตระหนักขึ้นมาได้ว่าสภาพของหลี่มู่ ไม่ใช่
สมบูรณ์ดีเหมือนที่เห็นผิวเผินนี่ แต่ได้รับบาดเจ็บแล้ว อาจจะอยู่ในช่วง
ที่หมดสิ้นกําลังแล้วก็ได้ และการท้าดวลอย่างเอาแต่ใจนี้ไม่ใช่เพราะ
หลงระเริง แต่เป็นการเขียนเสือให้วัวกลัวต่างหาก
เยี่ยอู๋เหินใช้ศีรษะซบลงที่หลังคอของหลี่มู่อย่างเงียบงัน ไม่พูดไม่
จา
หลี่มู่ก็เหมือนจะสัมผัสได้ถึงจิตใจของเยี่ยอู๋เหิน หันกลับมายิ้มให้
นาง ไม่พูดอะไรเช่นกัน
ฉากนี้เมื่ออยู่ในสายตาของเหล่าผู้แข็งแกร่งเก้าสํานักรอบๆ ก็
เหมือนจะเป็นความอ่อนหวานของชายหญิงคู่หนึ่ง เป็นการยั่วยุอย่าง
หนึ่ง
แต่ว่าในความคิดของพวกเขา การยั่วยุยิ่งชัดเจนเพียงใดก็ยิ่ง
อธิบายได้ว่า หลี่มู่ไม่ได้เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย
ไม่มีใครกล้าขวาง
และยิ่งไม่มีคนกล้าพูด
ยอดฝีมือเก้าสํานักในทิศทางที่หลี่มู่เดินไป ถอยฉากออกทันที
เปิดทางให้ราวกับเป็นการยืนส่งอย่างไรอย่างนั้นเมื่อเห็นว่าหลี่มู่เดินออกจากวงล้อมของเก้าสํานักไปทีละก้าวๆ ใจ
ที่แขวนอยู่ของเยี่ยอู๋เหิน ในที่สุดก็กลับไปอยู่ที่เดิม ถอนใจโล่งออกมา
ทว่าในตอนนี้เอง ได้เกิดสถานการณ์เปลี่ยนแปลงขึ้น
ทางด้านยอดเขาโต๊ะที่ห่างออกไป จู่ๆ ได้มีเสาแสงสีดําพุ่งขึ้นบน
ฟ้า เชื่อมต่อกับแผ่นนภา เสียงคํารามสายฟ้าลั่นเข้ามา เสาแสงสีดําราว
กับกระบี่เทพผ่านภา แสงสีดํานี้ได้ทําให้ท้องฟ้าที่เริ่มสว่างขึ้นกลับลงไป
ดําสนิทอีกครั้ง ราวกับมีเทพมารนับไม่ถ้วนกระโดดออกมากจากความ
มืด ความรู้สึกกดดันคุกคามที่ทําเอาแทบจะหยุดหายใจลอยคลุ้งออกมา
อย่างไม่หยุด
การเปลี่ยนแปลงนี้ทําเอาคนทั้งหมดตกตะลึง
ใบหน้าของ ‘หนึ่งกระบี่ทะเลประจิม’ ถานหรูซวง ปรากฏแววยินดี
ขึ้นอย่างกะทันหัน
“เซียนนอกพิภพลงมาเยือนแล้ว”
เขาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันดัง
พวกหลี่มู่จื่อ ลู่เทียนหวา ต้วนเฟิงเมื่อได้สติกลับมา ใบหน้าก็
ปรากฏแววยินดีขึ้นทันทีเช่นกัน
ในที่สุดก็รอจนถึงวันนี้ ในที่สุดเซียนนอกพิภพก็ได้ลงมาเยือนแล้วก่อนหน้า พวกเขาสร้างค่ายกลอัญเชิญไว้บนยอดเขาโต๊ะ
เตรียมการไว้อย่างดีเพื่อรอการลงมาเยือนของเซียนนอกพิภพ เพียงแต่
ไม่รู้เพราะอะไร เซียนจากสํานักนอกพิภพจึงไม่ยอมลงมาเยือนเสียที ไม่
คิดว่าในสถานการณ์ของวันนี้ จู่ๆ เทพเซียนก็ได้ตอบรับค่ายกลอัญเชิญ
และลงมาเยือนแล้ว
เสาแสงสีดําเชื่อมต่อฟ้าดิน
หลี่มู่เห็นอานุภาพเช่นนี้ ในใจก็แอบคิดว่าแย่แล้ว
ถ้าหากตอนนี้มีผู้บําเพ็ญนอกพิภพลงมาจริง สถานการณ์ได้แย่
จริงๆ แน่
และจริงอย่างที่คิด พวกของถานหรูซวงหันมามองหลี่มู่ด้วย
ความรู้สึกคึกคะนอง ทําท่าเหมือนจะเข้าขัดขวาง
ในเมื่อเซียนนอกพิภพลงมาเยือนแล้ว ขอแค่รั้งหลี่มุ่เอาไว้ รอจน
เซียนมาเยือนอย่างสมบูรณ์ จะต้องสังหารหลี่มู่ลงได้อย่างแน่นอน
“รีบหนีเร็ว” เยี่ยอู๋เหินกระซิบเสียงต�าข้างหูหลี่มู่
ลมหายใจราวกล้วยไม้ หอมจรุง
หลี่มู่สั่นศีรษะตอนนี้หนีไม่ได้แล้ว
ถ้าหากรีบร้อนหนีออกไป ด้วยความคิดของพวกถานหรูซวงจะต้อง
ได้สติคิดออกแล้วลงมือเข้าล้อมแน่นอน ยิ่งจะทําให้เสียแผนเข้าไปอีก
เขายังมีไพ่ตายอยู่บางส่วน แต่หากไม่จวนตัวจริงก็ไม่คิดที่จะใช้
ผู้บําเพ็ญนอกพิภพมาเยือนแล้วจริงหรือ?
ก็ดี ลองดูเสียหน่อยว่าเป็นคนจากสํานักไหนของเขตดาราเทพวีร
ชน
จะว่าไป พวกผู้บําเพ็ญนอกพิภพจากเขตดาราเทพวีรชน เขาไม่ใช่
เพียงแค่เห็นมาไม่น้อย แต่สังหารมาก็ไม่น้อยเช่นกัน
ระหว่างที่คิด หลี่มู่ไม่เพียงแต่ไม่หนี แต่กลับยืนนิ่ง หันหลังกลับ
จ้องมองไปยังทิศทางของยอดเขาโต๊ะ
ฉากนี้ทําเอาพวกถานหรูซวงที่เตรียมจะลงมือเข้าล้อมใจสั่นเต้น
กระตุกขึ้นอีกครั้ง ความคิดที่จะลงมือสลายหายไปในทันที กระทั่งยัง
ฉากถอยออกมาอีก
พวกเขาถูกหลี่มู่เล่นงานจนเหมือนนกที่ตื่นธนูนายพรานไปเสีย
แล้วฟิ้ ว!
แสงกระบี่สีดําสายหนึ่ง ในที่สุดได้พุ่งลงมายังยอดเขาโต๊ะ
เพียงไม่ถึงสิบอึดใจ แสงกระบี่สายนี้แหวกอากาศแนวยาวพุ่งตรง
เข้ามายังสนามรบในชั่วพริบตา
หญิงสาวในชุดโปร่งบางสีดํา ทั่วตัวพันรัดไหลเวียนด้วยจิตกระบี่
ชั่วร้าย ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางแสงกระบี่
กลิ่นอายแข็งแกร่งที่ไม่ใช่ของโลกใบนี้ไหลเวียน ต่อให้ผู้แข็งแกร่ง
ขั้นทะลวงสวรรค์ เมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงสาวคนนี้ก็ยังอ่อนแออย่างเห็นได้
ชัด
“คารวะท่านเซียน”
“ยินดีที่ได้พบท่านเซียน”
พวกของถานหรูซวงไม่กล้าที่จะชักช้า สายตาเหยียดหยามใต้หล้า
อันสูงส่งของเก้าสํานักขั้นทะลวงสวรรค์ในเวลาปกติ ท่าทีดูถูกชีวิต
ทั้งหมดเหมือนมดเหมือนตุ่นได้หายไปจนสิ้น แต่เข้าไปคารวะต่อหญิง
สาวชุดโปร่งบางสีดําอย่างใหญ่โตทันที
“ชิ ขยะทั้งนั้น โดนเล่นเสียจนย�าแย่ขนาดนี้”น�าเสียงของหญิงสาวชุดโปร่งสีดําดูโหดร้าย ตําหนิเหล่าผู้สูงส่งขั้น
ทะลวงสวรรค์ราวกับดุด่าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน�านม ไม่มีการเกรงอกเกรงใจ
พวกของถานหรูซวง หลี่มู่จื่อ ต้วนเฟิงกลับไม่กล้าที่จะแสดงอาการ
เดือดดาลแม้แต่น้อย ซ�ายังรีบขออภัยขอขมากลับ
เก้าสํานักแห่งดาวทุรกันดาร ถูกเพาะเลี้ยงขึ้นมาจากสํานักผู้
บําเพ็ญนอกพิภพ คอยควบคุมอยู่ในเงามืดตลอด พูดให้กระจ่างอีกนิดก็
คือเป็นสุนัขรับใช้กลุ่มหนึ่งที่สํานักนอกพิภพและผู้บําเพ็ญเลี้ยงเอาไว้
เมื่ออยู่ต่อหน้าทุกชีวิตบนดาวทุรกันดาร เต็มไปด้วยความโอหัง
ได้เปรียบ ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้บําเพ็ญนอกพิภพ กลับเป็นเพียงข้าทาส
ที่ยืดหลังให้ตรงก็ยังไม่ได้
“เจ้าสวะลัทธิมารนั่นอยู่ที่ไหน?” หญิงสาวชุดโปร่งสีดําถามขึ้น
พวกของถานหรูซวงชี้ไปยังหลี่มู่
“ชิ ที่แท้ก็แค่พวกที่ยังไม่ถึงขั้นทะลวงสวรรค์….” พูดได้เพียงครึ่ง
หญิงสาวชุดโปร่งสีดําได้หยุดลงกะทันหัน ราวกับถูกคนคว้าคอบีบเอาไว้
ประโยคถัดไปไม่แม้แต่จะมีเสียงลอดออกมา
นางรู้สึกเพียงว่าชายหนุ่มครึ่งยิ้มครึ่งบึ้งตรงหน้า รูปร่างหน้าตามัน
ช่างแสนจะคุ้นเคย นี่มันไม่ใช่ฝันร้ายเหมือนนั่งพรมเข็ม ที่เพียงแค่คิด
ขึ้นมาก็ทําให้นางสงบใจลงไม่ได้เมื่อสองปีก่อนนั่นหรือ?“เหอๆ ที่แท้ก็เจ้านี่เอง ข้านึกว่าเซียนจากนอกพิภพจะเป็นใครไป
เสียอีก?”
หลี่มู่ครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยการเย้ยหยันอย่างไม่ปิดบัง
หญิงสาวชุดโปร่งสีดําคนนี้ ก็คือหญิงสาวชุดดํา ‘หอสังหารอาภรณ์
ดํา’ ที่เคยปรากฏตัวขึ้นเมื่อครั้งสํารวจสุสานเทพในแผ่นดินใหญ่เสินโจว
ครั้งนั้น
นี่ถือเป็นคนส่วนหนึ่งที่ผูกแค้นกับหลี่มู่ในศึกสุสานเทพ แต่ท้ายสุด
กลับเป็นหนึ่งในผู้บําเพ็ญนอกพิภพที่ไม่ได้ตายลงด้วยน�ามือหลี่มู่ ไม่คิด
เลยว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานแล้วจะได้มาพบกันอีกครั้ง
เมื่อถูกหลี่มู่มองเช่นนี้ ใจของหญิงสาวชุดโปร่งดําโลดเต้นอย่างบ้า
คลั่ง ฉากต่างๆ ที่เกิดขึ้นในศึกสุสานเทพครั้งนั้น ราวกับปรากฏขึ้น
ข้างหน้าอีกครั้ง
ครั้งนั้นนางซ่อนตัวอยู่ห่างๆ และได้เห็นศิษย์ ผู้อาวุโสขั้นขุนพล
จากสํานักต่างๆ ถูกหลี่มู่ใช้ดาบฟันสังหารตายลงที่เขาห้าองคุลีด้วยตา
ของตนเอง และยังเห็นว่าท้ายสุดกระทั่งจักรพรรดิเซียนหมิงกวงก็ยัง
ตายด้วยเช่นกัน…หลี่มู่ราวกับเป็นเทพสังหาร โบกดาบไร้เทียมทาน
ภาพการเข่นฆ่าสังหารผู้แข็งแกร่งสํานักใหญ่ต่างๆ ราวกับเป็นฝันร้ายที่
ปรากฏขึ้นหลายต่อหลายครั้งในความฝันของนาง“เจ้า…” ภายใต้ความหวาดกลัวอย่างมหาศาล จิตใต้สํานึกนางสั่ง
ให้หันกลับแล้วหนีไป
……………………………………