จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 549 ค่ายกลกระบี่จริยะบุรุษ
“เกิดอะไรขึ้น?”
เสียงหัวหน้าเขาราชันมังกรหลงอู่และเสียงของแม่เฒ่าสํานักชําระ
ดาบ ดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน
หลี่มู่รีบร้อนเอ่ยขึ้น “ข้าไม่ได้ทํานะ”
สองเจ้าสํานักงงงันขึ้นพร้อมกัน หัวเราะพรืดออกมาทันที
พวกเขาไม่ได้มาหาคนรับผิดชอบเสียหน่อย
สระบัวครามเกิดสถานการณ์ประหลาดขึ้นเช่นนี้เป็นครั้งแรก เพียง
ไม่นาน เจ้าสํานักสายอื่นๆ ผู้สืบทอดรวมถึงยอดฝีมือก็ล้วนเข้ามา
ล้อมรอบอยู่รอบสระบัวครามที่หลี่มู่อยู่ และเทพธิดาชําระดาบเยี่ยอู๋
เหินที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็ได้มายืนอยู่ข้างๆ ย่าของนาง….คนนับ
ร้อยกําลังยืนล้อมสระอยู่
“เอ่อ…” หลี่มู่อยู่ในปราณหมอกบัวครามที่พันรัดขึ้นมา ตั้งใจคิดดู
และเอ่ยขึ้นว่า “พวกท่านหลบไปก่อนได้ไหม ให้ข้าได้ใส่เสื้อผ้าก่อน”
คนตั้งมากมายมายืนล้อมดูข้า ‘แช่น�าร้อน’ เนี่ยนะความรู้สึกนี้มันน่าอดสูสุดๆ เลยไม่ใช่หรือไรกัน
“น้องต้วน เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?” เสียงโหวกเหวกอันเป็น
สัญลักษณ์ของหัวหน้าเขาราชันมังกรหลงอู่ดังขึ้น
หลี่มู่ “ข้ารู้สึก…เอาอย่างนี้ดีกว่า ให้ข้าใส่เสื้อผ้าเสียก่อน”
ติงอี้ก็วิ่งมาอย่างกระหืดกระหอบ เอ่ยขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้น? เกิด
อะไรขึ้น? ต้งเสวียนจื่อวิชาร่วมหอสามสิบหกท่าห้ามใช้พร�าเพรื่อ
เด็ดขาด…” เขามองเห็นเยี่ยอู๋เหินที่ใส่ชุดเรียบร้อยข้างกายยายเฒ่า
สํานักชําระดาบ จากนั้นจึงรีบหุบปากลง ดูท่าจะไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด
เอาไว้
ตึกตึก!
กระแสวิญญาณในสระบัวคราม ปะทุขึ้นราวน�าเดือด ปราณหมอก
กระแสวิญญาณก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น
หลี่มู่รู้สึกเพียงกระแสวิญญาณร้อนขึ้นเรื่อยๆ เหมือนหินลาวาก็มิ
ปาน อุณหภูมิที่ทําให้หลี่มู่ยากจะทานทน จินตนาการออกเลยว่ากระแส
วิญญาณร้อนขึ้นไปจนถึงระดับไหนผู้คนที่ยืนล้อมรอบสระบัวคราม รู้สึกได้ถึงความร้อนที่ผ่าวออกมา
ต่อให้เป็นพวกเจ้าสํานักอย่างหัวหน้าเขาราชันมังกร ก็ยังต้องถอย
ออกมาอย่างเสียมิได้
“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” เยี่ยอู๋เหินในที่สุดก็ทนไม่ไหว เลิกคิ้ว
ถามขึ้น “หรือไม่ก็…เจ้าควรออกมาก่อน”
หลี่มู่ก็รู้สึกว่าสถานการณ์มันแปลกประหลาด
ตอนที่เขากําลังจะออกจากสถานการณ์โป๊เปลือยนี่ โดยการ
กระโดดออกมาจากสระบัวคราม จู่ๆ ได้เกิดเสียงดังสนั่น เสียงคําราม
ของมังกรดังขึ้นมาจากในร่างหลี่มู่ จากนั้นมังกรสีเงินตัวหนึ่งได้ลอย
ขึ้นมาในสระบัวคราม แหวกว่ายอยู่ในกระแสวิญญาณ ร่างกายอัน
ใหญ่โตของมังกรเงิน แทบจะกินพื้นที่ทั้งหมดของสระบัวคราม มันอ้า
ปากคําราม จากนั้นได้พันรัดอยู่บนร่างของหลี่มู่
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ทําเอาหลี่มู่ตาโตลิ้นพัน
พริบตาต่อมา หลี่มู่รู้สึกแค่เลือดในกายของตนเองราวกับหินลาวา
ที่เดือดปะทุ ร่างกายไม่ฟังคําสั่งขึ้นฉับพลัน ขยับเขยื้อนได้อย่างลําบาก
แต่สําหรับคนที่อยู่นอกสระ กลับเห็นภาพอีกแบบหนึ่งเสียงคํารามของมังกรได้ยินอย่างชัดเจน แต่หลังจากมังกรคําราม
แล้ว ปราณหมอกกระแสวิญญาณได้แผ่ขยายออกมา แฝงไว้ด้วยพลัง
แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง สั่นสะเทือนเอาคนทั้งหมดรวมถึงพวกเจ้า
สํานักสายต่างๆ กระเด็นลอยออกไป จากนั้นสัญลักษณ์จารึกประหลาด
สีเงิน ได้ส่องสว่างขึ้นในปราณหมอกกระแสวิญญาณ รวมกันจน
กลายเป็นค่ายกลเกราะคุ้มกันแสงวิญญาณสีคราม ปิดผนึกสระบัว
ครามที่หลี่มู่อยู่ด้านในเอาไว้
“นี่เกิดอะไรขึ้น?”
“ข้าเหมือนได้เห็นมังกรเทพสีเงิน”
“สระบัวถูกปิดผนึกหรือ?”
“รีบทําลายผนึกช่วยคนเร็ว”
“ให้ข้าลองดู” หัวหน้าเขาราชันมังกรหลงอู่คลื่นพลังโหมขึ้นทั่วร่าง
ชุดคลุมยาวสีม่วงสั่นกระเพื่อมไร้แรงลม ฝ่ามือขวามีอักขระมังกรส่อง
สว่าง แปรเป็นกรงเล็บมังกรสีม่วงทอง ฟาดลงไปที่เกราะคุ้มกันแสงสี
ครามนั้น
ตูม!
แรงดีดย้อนกลับอันน่ากลัวทะลักออกมาหัวหน้าเขาราชันมังกรหลงอู่ถูกดีดกระเด็นลอยหวือไปกลายเป็น
จุดดํา หายวับไปกลางอากาศ
กลุ่มคน “….”
“ผลลัพธ์เป็นที่เห็นได้ชัด” ยายเฒ่าสํานักชําระดาบเอ่ยขึ้น “พลัง
ของพวกเราไม่สามารถทําลายเกราะคุ้มกันนี้ได้ นี่มันแปลกประหลาด
จริง สระบัวทําไมจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเช่นนี้?” นางไม่ได้รู้สึกร้อน
รน เพราะที่นี่คือเมืองไป๋ตี้ คือสระบัวคราม พื้นที่ของภูเขาสู่แห่งลัทธิ
เทพ ไม่มีทางเกิดเรื่องที่จะทําให้หลี่มู่บาดเจ็บ สถานการณ์ตรงหน้านี้
เพียงแค่แปลกประหลาดเท่านั้น
เหล่าผู้แข็งแกร่งแห่งลัทธิเทพภูเขาสู่รอบๆ ก็ล้วนวิพากษ์วิจารณ์
กันต่างๆ นาๆ
ตอนนี้เอง หัวหน้าเขาราชันมังกรหลงอู่ได้บินกลับมาแล้ว
“พวกเจ้าจํากันได้ไหม ตอนที่จ้าวลัทธิยังอยู่ ทุกครั้งที่ปิดด่านก็
มักจะเกิดปรากฏการณ์แสงกระบี่ลอยขึ้นฟ้า ค่ายกลขนาดใหญ่ขึ้นมา
ปิดผนึกสระ” หัวหน้าเขาราชันมังกรหลงอู่ร่อนลงบนพื้น ลูบเคราม่วง
เอ่ยต่อว่า “ลักษณะเช่นนี้ดูคล้ายๆ อยู่นะ”
ในดวงตาของคนเฒ่าคนแก่แห่งลัทธิเทพล้วนมีประกายตกตะลึง“พอฟังตาแก่นี่พูด ข้าก็คิดขึ้นมาได้ ทุกท่าน พวกท่านลองดูอย่าง
ละเอียด ฉากตรงหน้านี้เหมือนกับความลับที่สืบทอดกันมาของลัทธิ
เทพอย่าง ‘ปรากฏการณ์มังกรทะยาน’ หรือไม่?” จ้าวศาลาเหนือฟ้า
โอวหยางฮ่วนอวี่เอ่ยขึ้นอย่างตกตะลึง
“เจ้าจะบอกว่า” คุณชายเงาจันทร์อีกด้านก็คิดออกมาขึ้นเช่นกัน
“แต่ว่า มังกรทะยานเป็นเพียงแค่ทฤษฎีเท่านั้นนี่ ต่อให้จ้าวลัทธิเมื่อ
ครานั้นก็ยัง…” เขาพูดได้ครึ่งเดียว จู่ๆ คิดขึ้นมาได้ว่าเรื่องนี้เป็น
ความลับของลัทธิเทพ ไม่สามารถพูดอย่างละเอียดต่อหน้าคนมากมาย
ได้ ทว่าความตกตะลึงในดวงตากลับปิดบังเอาไว้ไม่มิด
ในดวงตาเยี่ยอู๋เหิน มีความแปลกประหลาดอยู่ด้านใน จ้องมองไป
ยังสระบัวที่ถูกอักขระสีเงินและเกราะคุ้มกันสีครามคลุมอยู่ ลมพัดเส้น
ผมสีเขียวอันสวยงามของนางปลิวไสว
“ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง…” หัวหน้าเขาราชันมังกรกับเจ้าสํานักคน
อื่นมองตากัน เพียงพริบตาได้เกิดสัญญาณลับที่รู้ระหว่างกันขึ้น
ทั่วสระบัวครามทั้งหมดถูกทําให้โล่ง
คนทั้งหมดล้วนถอยออกมา ห้ามเข้าใกล้
“หวังว่าน้องต้วนสุ่ยหลิว จะกลายเป็นมังกรและออกจากสระบัวใน
เร็ววัน”ในดวงตาเจ้าสํานักหลายคนมีทั้งการเฝ้ารอดและความกังวล
เรื่องราวที่มีตัวตนในทฤษฎีที่เฝ้ารอได้เกิดขึ้นแล้ว
ขอแค่กลายเป็นมังกรสําเร็จ ก็จะได้ครอบครองพลังที่ไม่น่าเชื่อ
การกําเนิดของจ้าวลัทธิคนใหม่จะกลายเป็นเรื่องที่ไม่ต้องโต้แย้ง
ถกเถียงกัน
สิ่งที่กังวลก็คือ สงครามใหญ่บนเวทีสิบสนาม เหลืออีกสองวันก็จะ
เริ่มแล้ว ในเก้าสํานักฝ่ายธรรมะได้มีการลงมาเยือนของผู้บําเพ็ญนอก
พิภพและคอยควบคุมอยู่ลับๆ แล้ว ทว่าทางฝ่ายลัทธิเทพ พลังการรบที่
ใหญ่ที่สุดอย่างต้วนสุ่ยหลิวกลับอยู่ในขั้นตอนกลายร่างเป็นมังกร จาก
บันทึกลับของลัทธิเทพ ขั้นตอนการแปลงร่างมังกรใช้เวลายาวนานมาก
ต้วนสุ่ยหลิวน่ากลัวว่าคงจะกลับมาไม่ทันทําศึก เมื่อเป็นเช่นนี้
สถานการณ์จึงน่าเป็นห่วง
คนทั้งหมดจากไป
เยี่ยอู๋เหินยืนนิ่งอยู่ด้านนอกค่ายกลเกราะคุ้มกันสีคราม
มองผ่านเกราะคุ้มกัน สามารถเห็นปราณหมอกกระแสวิญญาณ
พัดรัดอยู่ด้านใน ซึ่งตัดระยะการมองเห็นออกจนไม่รู้ว่าหลี่มู่ที่อยู่ด้านใน
เป็นอย่างไรบ้างนางจ้องมองสระบัวอย่างมึนงง ไม่รู้ว่าคิดอะไรออกมาได้ ถอนใจ
ออกมาแผ่วเบา
จากนั้น นางจึงนั่งลงขัดสมาธิที่ริมสระบัว เริ่มการฝึกบําเพ็ญ
ในสระนอกสระ โลกทั้งสองใบ
…
…
“นี่คือ?”
หลี่มู่เบิกตากว้าง
ขณะที่หมอกปราณกระแสวิญญาณเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง เขาก็
คิดอะไรออกมาบางอย่าง
ทว่าตอนนี้ เขาสามารถยืนยันได้เต็มร้อยแล้ว ว่าหมอกปราณ
กระแสวิญญาณสีขาวที่เข้มขนจนถึงระดับหนึ่ง ก็คือหมอกมิติที่ปรากฏ
ขึ้นในแดนลับแล แดนเซียนนั่นเอง
ขณะที่หลี่มุ่ถูกปราณหมอกกระแสวิญญาณนี้ห่อล้อมเอาไว้ มิติ
ด้านหน้าไหลเวียน ภาพถูกตัดเปลี่ยนไปอย่างไม่หยุด ท้ายสุดภาพได้
หยุดนิ่งลงที่ทางช้างเผือกอันว่างเปล่าแห่งหนึ่ง ร่างสูงโปร่งผอมแห้งในชุดคลุมยาวสีขาวร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ใบหน้าราวหยกขาว คิ้วกระบี่
ดวงตาดุจดวงดารา คางสามเหลี่ยมมีเคราะ เหมือนกับชายที่เป็นเซียนผู้
บําเพ็ญแห่งประเทศจีนสมัยโบราณ ปรากฏขึ้นมาในระยะสายตาของห
ลี่มู่
“คนๆ นี้ ทําไมจึงรู้สึกคุ้นเคยนัก”
แรกสุดหลี่มู่สังเกตเห็นถึงจุดแปลกๆ
ต่อมา เขาก็ตระหนักขึ้นมาได้ทันทีว่าคนผู้นี้คือใคร
“คือผู้กล้าแคว้นเจ้าในแพรพรรณหมวกพู่ ถือกระบี่ล�าค่าส่องสว่าง
ประดุจหิมะน�าค้างแข็ง อานสีเงินแพรวพราวระยิบระยับบนหลังม้าขาว
ห้อตะบึงประดุจดาวตก สิบก้าวสังหารหนึ่ง ท่องทะยานเป็นพันลี้ จบ
เรื่องเพียงสะบัดชายเสื้อ หลีกเร้นกายาปิดชื่อซ่อนนาม…”
ชายงามวัยกลางคนใบหน้าเปื้ อนยิ้ม มีท่าทีสง่าผ่าเผยเอาแต่ใจ
อย่างที่พูดออกมาไม่ได้ ที่เอวคาดกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง อ้าปากขับกล่อม
กวียาวท่ามกลางทางช้างเผือก เนื้อหาในกวีคือ ‘จริยะวีรบุรุษ’ ของยอด
กวีราชวงศ์ถังหลี่ไป๋
หลี่มู่ตัวสั่นขึ้นด้วยความตื่นเต้น
นอกจากเขาแล้วจะเป็นใครไปได้?ชายร่างสง่าใบหน้าราวหยกในชุดขาวคนนี้ ก็คือหลี่ไป๋ยอดกวี
นั่นเอง
“….ตนคือยอดยุทธแม้ตายก็ยังลือลั่นหอมหวาน และสมกับที่เป็น
วีรบุรุษ ผู้ใดเรียนรู้จากปัญญาชนที่อยู่ในห้องหนังสือชั่วชีวิต แก่เฒ่าจัก
บันทึกอยู่ในคัมภีร์ไท่เสวียนชั่วนิรันดร์”
บทกวีจริยะบุรุษอันเนิ่นนานขับขานจบลง สายตาของหลี่ไป ดึง
กลับมาจากท้องฟ้าอันกว้างใหญ่จ้องมองมาทางหลี่มู่
“ในที่สุดเจ้าก็มา”
เขาเอ่ยปาก ในน�าเสียงอ่อนนุ่มมีพลังมหัศจรรย์ที่ยากจะใช้คําพูด
พรรณนาออกมาได้
“ผู้อาวุโส ท่านคือ…ผู้อาวุโสหลี่ไป๋จริงหรือ?” หลี่มู่ยังไม่รู้ว่าตนเอง
ควรจะพูดอะไรออกมา
หลี่ไป๋เอ่ยตอบ “เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ? อืม ก็เป็นเรื่องปกติล่ะนะ…”
เขาเดิมทีก็เป็นบุคคลชื่อเสียงลือโลก เขาก็มีความมั่นใจในตนเองอยู่
“สามารถกระตุ้นพลังอักขระค่ายกลกระบี่ ‘จริยะวีรบุรุษ’ ในสระกระบี่
ฟ้าครามได้ เจ้าจะต้องเป็นรุ่นหลังที่มาจากราชวงศ์ถังเป็นแน่ พลังก็เข้า
สู่ขั้นทะลวงสวรรค์ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง ยังดีที่ไม่ทําให้ข้าต้องรอนาน
มากนัก”หลี่มู่เมื่อได้ยิน ก็เข้าใจขึ้นทันที
ที่แท้ในสระบัวคราม ปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นจากการที่
ตนเองได้เข้าไป และมีเงื่อนไขที่เหมาะสมในการกระตุ้นค่ายกล ‘จริยะ
วีรบุรุษ’ ขึ้น
สระบัวครามชื่อเต็มคือสระกระบี่บัวคราม เป็นวิธีที่หลี่ไป๋ทิ้งเอาไว้
“ท่านอาวุโสกําลังรอข้าหรือ?” หลี่มู่ถามขึ้น
เขามองออกแล้ว หลี่มู่ตรงหน้านี้เป็นเพียงแค่ภาพฉายของร่างแยก
วิถียุทธ์เท่านั้น ไม่ใช่ตัวตนจริง
แต่นี่ก็เพียงพอที่จะทําให้เขาตื่นเต้น
เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นปรัชญาเมธีโบราณที่เดินทางออก
จากดาวโลก อาจจะได้รับข้อมูลข่าวสารอีกมากมาย แก้ตกปริศนาที่
ซ่อนอยู่ในใจของเขามาเนิ่นนานลงได้ ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เป็นเพียงภาพ
ฉายร่างแยกวิถียุทธ์ แต่ก็เพียบพร้อมไปด้วยจิตใต้สํานึกและสติปัญญา
ของร่างจริง นั่นหมายถึงพลังบําเพ็ญที่แท้จริงของหลี่ไป๋ไกลเกินกว่าที่
เขาจินตนาการเอาไว้ ไม่ใช่เพียงแค่ขั้นขุนพล
“อืม กําลังรอเจ้า รอคนที่ควรจะปรากฏตัวขึ้นมา…เวลามีไม่มาก
แล้ว เจ้าควรจะปรากฏขึ้นมาเร็วกว่านี้” หลี่ไป๋พยักหน้า พิจารณาตัวหลี่มู่ จู่ๆ ใบหน้าได้ปรากฏแววประหลาดใจ “เอ๋? ไม่ถูกสิ เจ้ายังไม่ได้
ทะลวงสวรรค์เลย? เพราะอะไรกัน? พลังไม่เพียงพอแต่กลับกระตุ้น
ค่ายกลกระบี่ ‘จริยะบุรุษ’ ของข้าได้?”
สีหน้าของเขาค่อนข้างตกตะลึง
หลี่มู่ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไร
พลังบําเพ็ญของเขา ถึงแม้จะยังไม่ได้เข้าขั้นทะลวงสวรรค์ แต่ว่า
จุดยืนที่แท้จริงของเขากลับสามารถสังหารผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวงสวรรค์
ลงได้แล้ว
“ดูท่าบนตัวของเจ้ายังมีความลับอยู่อีกไม่น้อย” หลี่ไป๋หัวเราะ
และไม่ซักไซ้ไล่เลียงต่ออีก แต่ถามขึ้นว่า “ชายหนุ่มเอ๋ย เจ้ามีนามว่า
อะไร?”
“ข้าน้อยหลี่มู่” หลี่มู่ตอบอย่างซื่อตรง
“สกุลหลี่?” หลี่ไป๋ดวงตาเป็นประกาย หัวเราะร่าขึ้นอย่างสง่างาม
“ดีมาก สกุลหลี่ ดีจริงๆ ดีมากๆ”
เขามาจากราชวงศ์ถังที่เป็นใต้หล้าแห่งจักรพรรดิสกุลหลี่ และตัว
เขาเองก็สกุลหลี่ พูดไกลขึ้นอีกหน่อย ปรัชญาเมธีคนแรกที่เดินทางออก
จากโลกอย่างเล่าจื้อ ก็สกุลหลี่เช่นกัน สกุลหลี่นี้ราวกับมีพลังอันลึกลับบางอย่าง เป็นสิ่งที่สืบทอดกันมา สําหรับหลี่ไป๋แล้ว นี่ถือเป็นการฝาก
ฝังความคิดคํานึงและความรู้สึกทางสายเลือด ยิ่งทําให้เขารู้สึกสนิทใจ
มากขึ้น
หลี่มู่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร จึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอาวุโสทิ้งสระกระบี่
บัวครามเอาไว้ เพราะคิดจะบอกอะไรกับข้าน้อยหรือ?”
หลี่ไป๋พยักหน้าตอบว่า “มีเรื่องบางเรื่อง ที่ควรจะให้เจ้าได้รู้เอาไว้”
………………………………………