จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 550 ศึกแรก
ภายในห้องสมุดของคฤหาสน์เขาวงกต เด็กหนุ่มผมดําอ่าน จดหมายในมืออย่างระมัดระวัง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปตลอดเวลา ก่อนจะวางจดหมายลงและถอนหายใจเล็กน้อย
จดหมายในมือของโรเอลเป็นรายงานด่วนที่ถูกส่งมาจากกองทัพ ตระกูลแอสคาร์ด ซึ่งรายงานเกี่ยวกับปัญหาบางอย่าง ผู้เขียนนั้นไม่ใช่ เด็กสาวผมสีเงินที่รอเขาอยู่ที่บ้าน แต่เป็นแอนนาสาวใช้ส่วนตัวของโร เอล ซึ่งเป็นคนคอยบริหารจัดการคฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ดในปัจจุบัน
การปะทุของสงครามทําให้คฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ดว่างเปล่าอีก ครั้ง
ตามจดหมายของแอนนา หลังจากที่โรเอลเดินทางออกไปได้หนึ่ง สัปดาห์ คาร์เตอร์ก็ต้อนรับคริส ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของโรเอลตาม ที่นัดกันไว้ ทั้งสองฝ่ายได้ริเริ่มความสัมพันธ์ฉันมิตรขึ้นมาใหม่ แต่ก็ดู เหมือนว่าจะยังไม่มีความคืบหน้าอะไรเป็นพิเศษ และเมื่อคริสกลับไป คฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ดก็เข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความสงบเป็นเวลานาน จนกระทั่งข่าวโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับป้อมปราการทาร์กมาถึง
หลังจากได้รับข่าวคาร์เตอร์ก็เดินทางไปที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เพื่อ พบกับพระสังฆราชจอห์นอย่างลับๆ และผลลัพธ์ก็คือสงครามกลาง
เมืองในปัจจุบัน หลังจากเรื่องราวของคาร์เตอร์ก็เป็นไปตามรายงานผล การต่อสู้ ในช่วงเวลานั้นอลิเซียได้ขอไปที่หุบเขาทาร์กหลายครั้ง แต่ถูก คาร์เตอร์ปัดตกตลอด เนื่องจากเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย เด็กสาวจึง ออกเดินทางไปพร้อมกับกองทัพ
โรเอลไม่แปลกใจที่อลิเซียเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ด้วย เนื่องจาก เธอถือเป็นลูกศิษย์ที่คาร์เตอร์ฝึกฝนมาตั้งแต่ยังเด็ก จนมีความรู้ในด้าน นี้มากกว่าโรเอลเสียอีก
หลังจากอ่านบทสรุปของแอนนาเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตระกูล แอสคาร์ด โรเอลก็สามารถทําความเข้าใจสถานการณ์ภายในได้ แต่มัน ก็ยังทําให้เขาพูดไม่ออกอยู่ดี
ตามหลักแล้วตระกูลขุนนางจะไม่ไปรบกันทั้งตระกูล แต่จะไป เพียงแค่หนึ่งหรือสองคนเท่านั้น ทว่าตระกูลแอสคาร์ดมีลูกหลานน้อย อีกทั้งยังไปเข้าร่วมสงครามกันหมดไม่ว่าจะเป็นผู้นําตระกูลหรือผู้หญิง ในบ้านก็ยังไม่เหลือ เรียกได้ว่าในขณะที่เขาต่อสู้กับไบรอัน คนอื่นๆ ก็ ต่อสู้อยู่กับทหารของไบรอัน
หลังจากอ่านจดหมายซ�าแล้วซ�าเล่า โรเอลก็ทําได้เพียงแค่ถอน หายใจอย่างช่วยไม่ได้ เขาสวดอ้อนวอนเงียบๆ ให้ครอบครัวในสนามรบ ปลอดภัย ก่อนจะเร่งการเตรียมตัวของตน
นี่ก็ผ่านมาสองวันแล้วนับจากที่โรเอลกลับมาถึงเมืองหลวง ศักดิ์สิทธิ์ วันพักสองวันอาจเพียงพอสําหรับคนอื่นๆ แต่สําหรับเด็กหนุ่ม ผมดํา มันถือว่าเป็นช่วงเวลาพักฟื้ นที่ออกจะสั้นไปสักหน่อย ถึงกระนั้น โรเอลก็ไม่คิดที่จะหยุดพักต่อ
หลังจากตัดสินใจแล้วว่าจะเดินทางไปยังแนวหน้า สิ่งแรกที่โรเอ ลต้องแก้ไขคือปัญหาเรื่องยุทโธปกรณ์ของกองทัพลัทธินอกรีต หลังจาก การสู้รบในหุบเขาทาร์ก มีอาวุธมากมายที่เสียหาย ซึ่งส่งผลต่อ ประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกเขาเป็นอย่างมาก
ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนยุทโธปกรณ์หรือซ่อมแซม โรเอลก็ต้องรีบ ทํามันอย่างเร่งด่วน ด้วยที่พวกเขาเหล่านี้เป็นกองทัพส่วนตัวของโรเอล อย่างน้อยๆ พวกเขาก็ต้องมีอุปกรณ์ครบครัน ไม่เช่นนั้นมันจะทําให้ ชื่อเสียงของเขาตกต�าลงไป
โชคดีที่การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางออกไปเพื่อช่วยเหลือนอ ร่า ทําให้พวกเขาได้รับการไว้วางใจและสนับสนุนจากโบสถ์แห่งเทพี ผู้สร้าง ดังนั้นพระสังฆราชจอห์น และทางราชสํานักก็น่าจะช่วยชดใช้ ความเสียหายทางด้านการทหารให้กับโรเอล ซึ่งองค์หญิงเองก็ใจกว้าง พอที่จะอนุมัติให้อย่างรวดเร็วพร้อมตบรางวัลให้อีกมากมาย
ถึงนอร่าจะรู้ดีว่าโรเอลไม่ได้เดินทางไปช่วยเธอเพื่อเงินรางวัลหรือ เกียรติยศ แต่เขาก็ยังมีค่าใช้จ่ายมากมายที่ต้องเสีย โดยเฉพาะค่าจ้าง และรางวัลที่ต้องให้กับเหล่าทหาร
ในฐานะองค์หญิง นอร่าได้ชื่นชมนักรบลัทธินอกรีตผู้ภักดี และได้ ให้พรเป็นการส่วนตัวแก่ผู้นําลัทธินอกรีตทั้งสามคน ร็อดนีย์ วู้ด และซิน เทียต่อหน้าสาธารณชน และเรียกเหล่าผู้นับถือลัทธิความแน่วแน่กับ ลัทธิความแข็งแกร่ง ในฐานะ ‘สหายของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง’ ขอให้ ทุกคนช่วยปกป้องโรเอลในสนามรบหลังจากนี้
มันเป็นพิธีอันยิ่งใหญ่ในพื้นที่สาธารณะของจักรวรรดิเซนต์เมซิท เป็นการมอบรางวัลและพบปะกันอย่างเป็นทางการ ทําให้ซินเทียและ คนอื่นๆ รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก พวกเขาได้ให้คํามั่นว่าจะปกป้อง ความปลอดภัยของโรเอลจนตัวตาย ซึ่งนอร่าก็ยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อได้ ยินคําพูดเหล่านั้น
ในคืนนั้นหลังจากพิธีเสร็จสิ้นเหล่าผู้นับถือลัทธินอกรีตก็ได้จัดงาน รื่นเริงในคฤหาสน์เขาวงกต ท่าทางที่สนุกสนานตื่นเต้นของลูกน้องทํา ให้โรเอลรู้สึกดีใจมากจริงๆ
เมื่อปีที่แล้ว ตอนที่เขามาถึงเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับกองทัพ ผู้นับถือลัทธินอกรีต ทุกคนต่างก็ก้มหัวด้วยความกลัว ไม่กล้าที่จะเข้า ไปในเมือง ใบหน้าของซินเทียแข็งทื่อ ร็อดนีย์เงียบจนผิดปกติ ส่วนวู้ด
เองก็ตื่นตัวตลอดเวลา อย่างไรก็ตามตอนนี้ หลังจากการเดินทางอัน ยาวนาน และสงครามที่หุบเขาทาร์ก กองทหารลัทธินอกรีตก็ได้รับ เกียรติที่พวกเขาสมควรได้รับในที่สุด
ไม่มีใครต้องระหวาดระแวงหรือกังวลว่าจะถูกคนอื่นสงสัย สอบสวนอีกต่อไป พวกเขาไม่จําเป็นต้องปกปิดตัวตนของตัวเองใน ร้านอาหารอีก ทุกคนต่างได้รับการยอมรับจากจักรวรรดิเซนต์เมซิทอ ย่างเป็นทางการ
โรเอลมีความสุขกับความสําเร็จของผู้ใต้บังคับบัญชา แต่เขาก็ไม่ ลืมที่จะแบ่งความสนใจไปยังสนามรบอันห่างไกล เมื่อเวลาผ่านไป รายงานการต่อสู้จากแนวหน้าก็ค่อยๆ ถูกส่งเข้ามา
ตามรายงานการสู้รบล่าสุด กองกําลังผสมของตระกูลแอสคาร์ด และราชสํานักได้เดินทางไปถึงเมืองเอ็ดการ์แล้ว ซึ่งก็เป็นไปตามที่โรเอ ลคาดไว้ ทั้งสองฝ่ายต่างสูญเสียกําลังพลอย่างต่อเนื่อง ทําให้ฝั่ งตระกูล เอลริกที่มีน้อยกว่าต้องหดหัวเป็นเต่าอยู่ในเมืองออกไปไหนไม่ได้ อย่างไรก็ตามทางฝ่ายกองกําลังผสมที่พยายามล้อมโจมตีเองก็ไม่ได้ ประสบความสําเร็จเท่าไหร่เช่นกัน
เนื่องจากการเดินทางอันยาวนานทําให้ทั้งกองทัพของตระกูลแอส คาร์ด และราชสํานักต่างหมดแรง หลังจากการปิดล้อมโจมตีล้มเหลว
พวกเขาจึงไม่คิดที่จะดําเนินการต่อ และตัดสินใจพักรบชั่วคราว ทําให้ ทั้งสองฝ่ายเข้าสู่สถานะยืนจ้องหน้ากันไปนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เนื้อหาดังกล่าวในรายงานการต่อสู้ทําให้โรเอลโล่งใจขึ้นมาบ้าง เล็กน้อย การพักรบนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สําหรับเขาและคนอื่นๆ ที่จะ ตัดบทสงครามนี้ออกไป เพราะท่าทีที่แปลกประหลาดของจักรวรรดิออ สทีนนั้นยังไม่ค่อยน่าไว้ใจ การที่สนามรบของจักรวรรดิเซนต์เมซิทสงบ นิ่งก็น่าจะช่วยชะลอฝั่ งนั้นไปได้ในระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตามความสงบนิ่งแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่จักรวรรดิเซนต์เมซิท ต้องการซะทีเดียว
ภายในพระราชวังเด็กสาวผมทองขมวดคิ้วทันทีที่ได้อ่านข่าวสาร จากแนวหน้า ในขณะที่อีกด้านหนึ่งของโต๊ะกว้างมีรายงานอีกฉบับหนึ่ง ส่งมาจากป้อมปราการทาร์กที่อยู่ไกลออกไป
ในฐานะองค์หญิงที่คุ้นเคยกับประวัติศาสตร์ นอร่าจึงรู้ดีว่า สงครามไม่มีทางสิ้นสุดในระยะเวลาอันสั้นอย่างแน่นอน แต่ถึงกระนั้น ความกังวลภายในใจก็ยังเข้าครอบงําหัวใจของเธออย่างควบคุมไม่ได้ เธอร้อนรนจนเริ่มมีปัญหาในการนอนและการรับประทานอาหาร
ผู้คนที่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ไม่มีทางเข้าใจ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชายแดนได้จริงๆ ข้อมูลที่ตีพิมพ์จากโบสถ์แห่ง
เทพีผู้สร้างนั้นไม่ได้ระบุความเสียหายทั้งหมดของป้อมปราการทาร์กอ อกมา ดังนั้นแม้แต่ชนชั้นสูงบางคนก็ยังไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้ มี เพียงนอร่าและคนอื่นๆ ที่กลับมาจากชายแดนตะวันออกเท่านั้น ที่ เข้าใจถึงความน่าสะพรึงกลัวของสถานการณ์ในปัจจุบันได้อย่างแท้จริง
สถานการณ์สงครามในตอนนี้ทําให้มันเป็นเรื่องยากที่จะส่งกองทัพ สนับสนุนออกไป อีกทั้งยังทําให้กําลังทหารโดยรวมภายในจักรวรรดิ เซนต์เมซิทลดลงไปมาก ถึงระดับที่ยอมรับไม่ได้
“เห็นได้ชัดว่ามีการขาดแคลนเสบียงอย่างร้ายแรงที่ชายแดน ตะวันออก สงครามภายในของพวกเราได้ใช้ทรัพยากรไปมาก และ ตอนนี้ก็เข้าสู่ภาวะชะลอตัว ไหนจะความคิดของฝั่ งจักรวรรดิออสทีน อีก พวกเขาต้องการทําอะไรกันแน่?”
ทูตสวรรค์ผมทองพึมพํา มือคลึงหน้าผากขณะครุ่นคิด ในขณะที่โร เอลยืนกอดอกมองไปยังแผนที่ภูมิประเทศไม่ได้พูดอะไร
โดยปกติการดําเนินการทางการทหารของทุกอาณาจักรจะต้องมี เป้าหมาย ที่เรียกว่าเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ ภายใต้สถานการณ์ปกติ มันก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าการช่วงชิงดินแดน ความมั่งคั่ง หรือการทํา สงครามกับพวกกลายพันธุ์ ซึ่งเป็นเหตุผลหลักในการทําสงครามของ มนุษย์มาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในปัจจุบัน แล้ว การกระทําของจักรวรรดิออสทีนนั้นจึงน่าสงสัยเป็นพิเศษ
บทที่ 498: แยกจากกันชั่วคราว (2)
คําตอบที่หลี่มู่อยากได้มากที่สุดมีสองข้อ
ข้อหนึ่ง เพราะอะไรระบบสุริยะจึงได้กลายเป็นศัตรูของทั้งทาง ช้างเผือกจนถูกเรียกว่านักโทษผู้ผิดบาป จนเหมือนกับหนูตามถนนที่ ถูกผู้คนไล่ด่าไล่ตีอย่างไรอย่างนั้น
ข้อสอง นอกจากสํานักผู้บําเพ็ญในทางช้างเผือกแล้ว ศัตรูของดาว โลกที่เรียกกันว่าเป็นคู่แค้นล้างโลก จริงๆ แล้วมาจากที่ใดกัน? เพราะ อะไรเหล่าปรัชญาเมธีโบราณเช่นท่านเล่าจื้อ จึงต้องออกจากดาวโลก ไปเสาะหาเส้นทางแห่งความอยู่รอด
หลี่ไป๋หลังจากฟังคําถามของหลี่มู่จบ ได้ย้อนถามกลับมาหนึ่ง ปัญหา “เจ้าคิดว่า บนทางช้างเผือกที่กว้างใหญ่นี้มีจุดสิ้นสุดไหม?”
หลี่มู่คิดๆ จากนั้นตอบคําตอบของตนเองไป “ทางช้างเผือกอัน กว้างใหญ่ ไร้ซึ่งที่สิ้นสุด”
วิชาฟิสิกส์บนดาวโลกเข้าใจว่าอวกาศนั้นไม่มีที่สิ้นสุด คําว่าอวี่ห มายถึงหน้าหลังซ้ายขวาทิศทั้งแปด คําว่าโจ้วหมายถึงอดีตและปัจจุบัน
ดังนั้นคําว่าอวี่โจ้วหรือจักรวาลเดิมทีก็แฝงไว้ด้วยความหมายไร้ซึ่งที่ สิ้นสุดอยู่แล้ว
หลี่ไป๋ถามต่ออีก “เช่นนั้นเจ้าลองว่ามาดู บนโลกนี้มีการคงอยู่ของ ความเป็นอมตะไหม?”
หลี่มู่ตอบ “ในตํานาน เมื่อบําเพ็ญถึงระดับสูงสุด บรรลุมรรคา จน หลุดพ้นจากพันธนาการมรรคาอันยิ่งใหญ่ จะสามารถมีชีวิตเป็นอมตะ รุ่งโรจน์เคียงเดือนตะวัน อายุยืนคู่ทางช้างเผือก แต่ว่า ข้าน้อยก็ยังไม่ เคยพบกับการคงอยู่เช่นนี้”
หลี่ไป๋เอ่ยต่อ “ที่เรียกกว่ามรรคาอันยิ่งใหญ่ ก็เป็นเพียงกฏเกณฑ์ ดวงชะตา พลังวิญญาณของทางช้างเผือกผืนนี้เท่านั้น เช่นเดียวกับ กรวดทรายที่ไหลลงหลุมพราง หากหลุดรอดมาได้ก็ไม่สามารถย้อนกลับ ไปมีตัวตน แล้วจะเรียกว่าแหกคอกออกมาได้อย่างไร? มาตรแม้นว่าจะ แหกคอกออกมาจากมรรคาอันยิ่งใหญ่ แล้วจะแหกคอกออกจากทาง ช้างเผือกได้หรือ? ผู้แข็งแกร่งจากปากของเจ้า แม้ว่าจะรุ่งโรจน์เคียง เดือนตะวัน อายุยืนคู่ทางช้างเผือก พอดวงดาราร่วงหล่น ทางช้างเผือก พังทลาย ท้ายสุดก็ไม่อาจจะหนีพ้นได้ แล้วนี่คือสิ่งที่เรียกว่านิรันดร์ หรือ?”
หลี่มู่พยายามศึกษาความหมายของคําพูดหลี่ไป๋อย่างละเอียด เอ่ย ต่อว่า “ท่านอาวุโสจะบอกว่า ในทางช้างเผือกอันกว้างใหญ่นี้จริงๆ แล้ว มีจุดสิ้นสุดเช่นนั้นหรือ?”
“ถูกต้อง ทางช้างเผือกมีขอบ ความว่างเปล่าก็มีที่สิ้นสุด” หลี่ไป๋ ตอบ “คําตอบที่เจ้าต้องการอยู่ในข้อสรุปนี้”
หลี่มู่ทําท่าเหมือนคิดอะไรอยู่ เอ่ยต่อว่า “ความหมายของท่าน อาวุโส ศัตรูของดาวโลกมาจากโลกด้านนอกทางช้างเผือกผืนนี้หรือ?”
หลี่ไป๋พยักหน้า เอ่ยต่อว่า “ถูกต้อง แต่ว่าก็ไม่ถูกทั้งหมด ไม่ เพียงแต่ดาวโลก ชีวิตของผู้คนทั้งหมดในจักรวาลนี้ ล้วนมาจากจักรวาล อื่นทั้งสิ้น จักรวาลที่พวกเราอยู่ พวกเราเรียกมันว่าจักรวาลแห่งความ ปั่ นป่วน และด้านนอกจักรวาลแห่งความปั่ นป่วน ยังมีโลกแห่งจักรวาล ต่างๆ อยู่อีก การเข่นฆ่าที่แสนน่ากลัวล้วนมาจากด้านนอกจักรวาลแห่ง ความปั่ นป่วนทั้งสิ้น”
หลี่มู่เข้าใจแจ่มแจ้ง
แต่คําถามอีกข้อล่ะ? เพราะอะไรดาวโลกจึงถูกเรียกว่าดาวแห่งนักโทษผู้ผิดบาป? หลี่ไป๋ยิ้มๆ เอ่ยตอบ “ดาวโลกมาจากไหน เจ้ารู้หรือไม่?”
ในสมองของหลี่มู่ปรากฏคําตอบที่เคยร�าเรียนมาจากวิชาดารา ศาสตร์สมัยมัธยมต้นลอยขึ้นมาทันที ดาวโลกมีประวัติศาสตร์มาเนิ่น นาน แต่เขาก็รู้ว่าคําตอบนี้มันไปกันไม่ได้กับหลี่ไป๋ในตอนนี้
“เชิญท่านอาวุโสไขความกระจ่างด้วย” หลี่มู่เอ่ยขึ้นอย่างนอบ น้อม
หลี่ไป๋ลังเลเล็กน้อย ราวกับกําลังชั่งน�าหนักและครุ่นคิดอย่างตั้งใจ ท้ายสุดจึงสั่นศีรษะเอ่ยว่า “ช่างเถอะ พลังเข้าเจ้ายังไม่เพียงพอ บอก เจ้าไปก็รังจะทําเร้ายเจ้า รอเจ้าเข้าสู่ขั้นราชาก็จะเข้าใจเอง”
ในใจหลี่มู่อดผิดหวังขึ้นมาไม่ได้
แต่เขาเชื่อ หลี่ไป๋ไม่มีทางพูดเช่นนี้โดยไร้ซึ่งเหตุผล เรื่องนี้จะต้อง เกี่ยวกับความร้ายกาจอย่างมากแน่นอน
“ข้าถ่ายทอดจิตแห่งค่ายกลกระบี่ ‘จริยะบุรุษ’ ให้เจ้า เจ้าสามารถ นํามันไปหลอมรวมกับวิชาดาบของตนเองได้ มีส่วนช่วยต่อการบําเพ็ญ ของเจ้า” หลี่ไป๋เอ่ย “เดิมทีข้าได้ทิ้งวิชาบางส่วนเอาไว้ที่นี่ แต่เมื่อครู่เจ้า แสดงวิชากลั่นพลังปราณที่แสนจะลึกซึ้งในสระกระบี่บัวคราม กระทั่ง ข้าก็ยังมองไม่ออก ดูสูงส่งอย่างมาก ดูท่าว่าเจ้าคงไม่ต้องการมันแล้ว”
หลี่มู่เอ่ยตอบ “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสมาก”
จิตแห่งค่ายกลกระบี่จริยะบุรุษ ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ภาคภูมิใจทั้งชีวิต ของหลี่ไป๋ หลี่มู่นั้นจ้องตาเป็นมันนานแล้ว ถ้าหากสามารถได้รับมาก็ สมบูรณ์แบบเลย
แต่ว่า สิ่งสืบทอดอื่นๆ ที่หลี่ไป๋พูดมา จะต้องเป็นวิชาลับที่ สั่นสะเทือนโลกแน่นอน ตอนนั้นหลี่ไป๋ทิ้งไว้ก็เพื่อปกป้องภูเขาสู่ ถ้าหาก ไม่ได้รับถ่ายทอดมาในตอนนี้เพราะตนเองเป็นสาเหตุ มันก็น่าเสียดาย อยู่
“ข้าน้อยมิบังอาจ เหล่าวิชาที่ท่านอาวุโสทิ้งไว้ที่แห่งนี้ ถ้าหากต้อง หลับใหลอย่างเดียวดายก็คงจะน่าเสียดาย ซ�ายังสิ้นเปลืองความทุ่มเท ใจของท่านอาวุโสอีกด้วย วิชาเหล่านี้สามารถถ่ายทอดต่อให้กับศิษย์ แห่งภูเขาสู่นี้ได้หรือไม่กัน?” หลี่มู่เอ่ยขึ้น
หลี่ไป๋หัวเราะร่า “แน่นอน”
…
…
เยี่ยอู๋เหินนั่งอยู่ด้านนอกสระบัวคราม หลับทํากําหนดลมหายใจ
ทว่าเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าจิตใจของนางไม่ค่อยสงบ เท่าไร ลืมตาขึ้นเป็นบางครั้ง มองไปยังด้านในเกราะคุ้มกันค่ายกลสี
คราม นอกจากปราณหมอกกระแสวิญญาณสีขาวเข้มข้นเป็นชั้นๆ แล้ว ก็มองไม่เห็นการเคลื่อนไหวใดๆ อีก
ใจไม่สงบ จิตก็แตกซ่าน
จิตแตกซ่านก็ไม่สามารถบําเพ็ญวิชาได้ มิเช่นนั้นจะถูกธาตุไฟเข้า แทรกได้โดยง่าย
ยอดฝีมือใหญ่อย่างเยี่ยอู๋เหิน แน่นอนว่าเข้าใจถึงจุดนี้เป็นอย่างดี
นางถอนหายใจ หยุดการบําเพ็ญของตนเองลง นั่งอยู่เงียบๆ จ้อง มองสระบัว สองมือค�าคางเอาไว้ บนใบหน้างามปรากฏสีหน้าสับสน งงงวยขึ้น ราวกับเป็นรูปสลักหยกขาวรูปหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
นี่เป็ฯท่าทีที่นางไม่เคยเผยออกมาให้คนอื่นเห็นในวันปกติ
จู่ๆ ด้านในสระบัวครามมีพลังมหัศจรรย์วูบหนึ่งเกิดการเคลื่อนไหว ใจเยี่ยอู่เหินตกตะลึง ขณะที่เงยหน้าขึ้นจับจ้องอย่างละเอียด ด้านใน ค่ายกลสีครามมีพลังมหัศจรรย์ทะลักออกมาอย่างกะทันหัน ห่อหุ้ม ทั้งตัวนางไว้และดึงเข้าไปยังด้านในสระบัวคราม
…
…
สองวันผ่านไปในพริบตา
อาทิตย์ขึ้นทางตะวันออก แสงตะวันสีแดงชาด สาดส่องย้อมทะเล เมฆทั่วท้องฟ้าจนแดงฉาน
ม่านแรกของศึกใหญ่ธรรมะอธรรมบนดาวทุรกันดาร ได้ค่อยๆ เปิด ฉากขึ้น
เวลาแห่งการต่อสู้บนเวทีทั้งสิบศึกได้เริ่มขึ้นแล้ว
บนเวทีที่ลอยอยู่ การต่อสู้ระหว่างธรรมะอธรรมกําลังดําเนินการ อยู่
อาวุธของหัวหน้าเขาราชันมังกรหลงอู่ คือกรงเล็บมังกรสีม่วงทอง คู่หนึ่ง เป็นอาวุธยอดเยี่ยมระดับสมบัติเต๋า ขณะโบกสะบัดจะเกิดเสียง มังกรคํารามสะท้านวิญญาณมนุษย์ ปรากฏภาพมายาเทพมังกรพันรัด บนอาวุธคู่นี้ สามารถแหวกฉีกอากาศได้
สิ่งที่สืบทอดมานับร้อยปีของภูเขาสู่ เป็นพลังลับที่ไม่สามารถดูถูก ได้เลย ศึกนี้เป็นศึกประเดิมเปิดฉากของศึกเวทีสิบสนาม ดังนั้นทั้งสอง ฝ่ายจึงถูกจับตามองเป็นอย่างมาก
ส่วนฝ่ายเจ้าเมืองตะวันลับฟ้าหร่านกวงเย่าในมือกํากระบี่ตะวันลับ ฟ้า แฝงเอาไว้ด้วยแสงอาทิตย์รําไรอันเจิดจ้าแยงตา เมื่อโบกสะบัด ทํา
ให้ใจคนเกิดความรู้สึก ‘ชีวิตเฉกเช่นตะวันยามเย็น ชีวิตเหลืออยู่ไม่มาก ปณิธานสูญมลายสิ้น’ ขึ้นมาอย่างเสียมิได้ นี่ก็เป็นสมบัติแห่งเมืองตะวัน ลับฟ้าเช่นกัน
เสียงระเบิดสะเทือนหูครือครัน ดังลอดออกมาจากเวทีลอยฟ้า ขนาดมหึมาอย่างต่อเนื่อง
สองยอดฝีมือล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวงสวรรค์ ร่างกายเดี๋ยว ไวเดี๋ยวช้า เดี๋ยวหายเดี๋ยวโผล่ ขณะที่เร็วก็ประดุจลําแสงโฉบอากาศ ขณะที่ช้าก็ราวกับพยัคฆ์ซุ่ม ขณะหลบซ่อนเหมือนดั่งผีเสื้อแสงลอยขึ้น ฟ้า ขณะโผล่ออกมาก็เฉกเช่นกองทหารม้าบุกโจมตี กระบวนท่าแฝงไว้ ด้วยแก่นแท้ลึกล�า กฎแห่งเต๋าทะลักพรั่งพรู ความเป็นตายตัดสินได้ใน ชั่วพริบตา
ด้านตะวันตกของเวทีลอย คือกองทัพของเก้าสํานัก
เรือเหาะหนาแน่นคับฟ้าบังอาทิตย์ ธงแห่งชัยชนะโบกสะบัดอยู่ กลางอากาศราวกับมังกรตัวยาว เรือเหาะขนาดยาวนับร้อยจั้งก็มีอยู่นับ สิบลํา องอาจเกรียงไกร ยิ่งไปกว่านั้นยังมีค่ายกลไหลเวียนอยู่กลาง อากาศ เหล่าเจ้าสํานักต่างๆ ล้วนอยู่ที่หัวเรือของเรือเหาะตนเอง จับ จ้องการต่อสู้อย่างตั้งอกตั้งใจ
ทิศตะวันออกของเวทีลอยฟ้าเป็นค่ายของภูเขาสู่
กระสวยสมบัติเต๋าลําหนึ่ง ยาวกว่าสองลี้ รอบด้านไหวเวียนด้วย อักขระวิชาลับเป็นชั้นๆ รวมการโจมตีและป้องกันไว้ด้วยกัน ส่องสว่าง แสงเทพพาดอยู่บนอากาศ ด้านหลังกระสวยค่อนข้างเรียบ ราวกับเป็น ลานกว้างเล็กๆ ลานหนึ่ง เหล่ายอดฝีมือผู้แข็งแกร่งจากสายต่างๆ ของ ภูเขาสู่ล้วนยืนอยู่บนกระสวยลํานี้นับร้อยคน สีหน้าอยู่ในภาวะตึง เครียดเช่นกัน
เมื่อเทียบจากขบวนและจํานวนคน ภูเขาสู่นั้นด้อยกว่ากันมาก
ทว่าในความเป็นจริง พลังของฝ่ายธรรมะอธรรมนั้นไม่ได้แตกต่าง กันมาก เอาจริงๆ จํานวนคนก็ต่างกันไม่มากนัก จํานวนคนของเจ็ดสาย ภูเขาสู่ ล้วนยังคงปักหลักอยู่ที่เมืองไป๋ตี้ รักษาค่ายกลแต่ละจุดไว้อย่าง แน่นหนา เพื่อป้องกันคนของเก้าสํานักเข้ามาลอบโจมตีระหว่างศึกบน เวที
“ทําไมเจ้าเด็กนั่นถึงไม่ปรากฏตตัวออกมา?”
บนเรือเหาะขนาดยักษ์ของสํานักกระบี่ทะเลประจิม หญิงสาวชุด โปร่งสีดําที่มาจาก ‘หอสังหารอาภรณ์ดํา’ ได้แอบลอบสังเกตอยู่นาน พอควร บนกระสวยของภูเขาสู่ตรงหน้าไม่มีเงาของหลี่มู่อยู่เลย นี่ทําให้ นางร้อนใจอย่างมาก
“เจ้าเด็กนั่นทําการอย่างหยิ่งยโสโอหัง ไม่มีทางหลบซ่อนจนไม่ ยอมสู้แน่นอน แต่ว่าทําไมถึงต้องปิดบังร่องรอยด้วย? หรือว่ากําลังแอบ วางแผนอะไร?” หยิงสาวชุดโปรงสีดําแอบครุ่นคิดอยู่เงียบๆ
ครั้งนั้นในศึกสุสานเทพ หลี่มู่ได้วางค่ายกลเอาไว้ระหว่างทาง จน สังหารศิษย์ยอดฝีมือของวังประสานฟ้า สํานักมารฟ้าตายไปหลายคน วิธีการก็ช่างเจ้าเล่ห์ แผนการลึกล�าจนทําให้มันสลักลึกลงไปในความ ทรงจําของหญิงสาวชุดโปร่งดํา ต่อมาถึงแม้จะเป็นตอนที่เผชิญหน้ากับ การล้อมกรอบของยอดฝีมือ ก็ได้ใช้ ‘สากสะท้านใจ’ สังหารนักฆ่าจาก สํานักเงาไหลไปอีก เห็นได้ว่าคนผู้นี้ใม่ใช่พวกบุ่มบ่ามมุทะลุที่มีแต่ความ กล้าไม่มีแผนการเป็นแน่
หญิงสาวชุดโปร่งสีดํามาจาก ‘หอสังหารอาภรณ์ดํา’ ในเขตดารา เทพวีรชนก็เป็นกลุ่มมือสังหารที่มีชื่อเสียง ถนัดด้านการวางแผนและใช้ วิธีลอบสังหาร การว่าหลี่มู่เป็นพวกนักฆ่าจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งต้องระมัดระวังให้ดี
ดังนั้นท้ายสุด นางจึงทําตัวเงียบๆ ใช้ความนิ่งสยบการเคลื่อนไหว คอยจับตาดูว่าหลี่มู่วางแผนอะไรอยู่หลังฉากหรือไม่
ถึงอย่างไรโลกใบนี้ พลังของนางก็สมบูรณ์ดี สามารถบดขยี้หลี่มู่ได้ แน่ ไม่จําเป็นต้องเลือกหาวิธีอะไรใหม่ๆ อีก
ขณะอาทิตย์ตก ศึกแรกของศึกใหญ่ธรรมะอธรรมก็ได้ปิดม่านลง หัวหน้าเขาราชันมังกรหลงอู่ใช้กระบวนท่าที่ไวกว่า กรงเล็บมังกรม่วง ทองตบศีรษะของหร่านกวงเย่าจนกระจุย สังหาร ‘เจ้าเมืองตะวันลับ ฟ้า’ หรานกวงเย่าลงอย่างหมดจด เวลาเดียวกันตนเองก็ถูกกระบี่ตะวัน ลับฟ้าแทงเข้าที่หน้าอกด้วย…
ชนะอย่างสาหัส!
ดึงชั้นหนึ่งมาให้สํานักภูเขาสู่โดยการเอาชนะศึกแรกไปได้
บนกระสวยเหาะแสงเทพ บรรดาศิษย์ของภูเขาสู่ล้วนโห่ร้องด้วย ความยินดี
ทว่ากลับมายังกระสวยเหาะได้ไม่นาน หัวหน้าเขาราชันมังกรหลง อู่ตัวสั่นวูบ กระอักเลือดออกมาจนเลอะย้อมเคราะม่วง พลัง ‘แสงตะวัน ลับฟ้า’ ของกระบี่ตะวันลับฟ้าได้ทําลายต้นกําเนิดพลังของเขาอย่างไม่ หยุด จนตัวเขาทนรับไม่ไหวล้มลงไปกับพื้น ปราณเลือดเสื่อมลงอย่าง รวดเร็ว ตัวคนเองก็ชราลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ชีวิตเหมือนอยู่ในอาการ ร่อแร่เต็มที
“อาจารย์”
“เจ้าสํานัก…”
เสียงตกใจดังอื้ออึง
ท้ายสุด หลงอู่ได้ฝืนรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่ก็เข้าสู่อาการหลับลึกไม่ สามารถฟื้ นกลับมา
เรื่องนี้สําหรับผู้คนจากภูเขาสู่ที่โห่ร้องยินดีไปเมื่อก่อนหน้า ถือเป็น การทําร้ายขั้นรุนแรงอย่างไม่ต้องสงสัย ความยินดีของชัยชนะจากศึก แรกได้มีเงามืดปรากฏขึ้น เพียงแค่ศึกแรกยังน่าเวทนาเพียงนี้ จินตนาการได้เลยว่าหลังจากศึกใหญ่สิบสนาม จะเกิดความเลวร้ายขึ้น ระดับไหน
สู้ศึกจนถึงตอนท้าย เป็นไปได้ว่าจะเจ็บหนักกันทั้งสองฝ่าย
แล้วคนที่ได้รับผลประโยชน์ไปคือใครกัน? แสงอาทิตย์ยามเย็นราวกับสีเลือด ทั้งสองฝ่ายต่างถอยทัพทหาร ศึกที่สองคือวันพรุ่งนี้