จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 553 ศึกที่ห้า
ในโลกใบเล็กแห่งสระบัวคราม หลี่มู่กําลังดําดิ่งอยู่ในทะเลจิตกระบี่
แห่ง ‘จริยะบุรุษ’
ในฐานะที่เป็นกวีใหญ่แห่งจีนโบราณที่ยึดเอาอารมณ์และ
ความรู้สึกเป็นสิ่งสําคัญ ทั้งชีวิตของหลี่ไป๋ล้วนถูกคนมากมายเทิดทูน
และกราบกราน ในบทกวีของเขายังเต็มไปด้วยปัจจัยแห่งจินตนาการที่
สวยงาม ราวกับเทพเซียนบนฟ้าก็มิปาน บทกวีมากมายก็มีเพียงหลี่ไป๋
คนเดียวเท่านั้นที่จะเขียนความรู้สึกและท่วงทํานองอันสง่างามเช่นนั้น
ออกมาได้
‘จริยะบุรุษ’ เป็นผลงานตัวแทนของหลี่ไป๋
ปลิดชีพกลางธุลีแดง เร้นกายลับอย่างสง่า
กวีบทนี้ ปราณกระบี่น่าสะพรึง มีสีสันที่เต็มไปด้วยอารมณ์และ
ความรู้สึกอันเป็นเอกลักษณ์ของหลี่ไป๋
แก่นสารของจิตกระบี่จริยะบุรุษอยู่ในบทกวีบทนี้นั่นเอง
หากคิดจะเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ก็จําต้องซาบซึ้งในบทกวีเสียก่อนรอบกายของหลี่มู่ ทุกตัวอักษรของบทกวี ‘จริยะบุรุษ’ ไหลเวียน
ลอยล่อง อักษรสีเงินราวกับอักขระวิถีสวรรค์ ทุกขีดทุกเส้นล้วนแฝงไป
ด้วยจิตแท้แห่งวิถีกระบี่
หลี่มู่นั้นฝึกฝนวิชาดาบ
เขาชอบดาบมาตั้งแต่ยังเด็ก
ประเทศจีนโบราณสํานวนยุทธ์เคยว่าไว้ ‘กระบี่คือสุภาพบุรุษแห่ง
ศาสตราวุธ ดาบนั้นไซร์เป็นราชาแห่งศาสตราวุธ’
หลี่มู่ไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นสุภาพบุรุษอะไร เขาชื่นชอบความมี
อํานาจของราชามากกว่า วิชาดาบตรงไปตรงมา ฟาดลงฟันขวาง ไม่
อ้อมค้อมที่สุด
แต่สิ่งที่เรียกว่าสูงสุดสู่สามัญ ดาบและกระบี่บนขอบเขตยุทธจักร
ก็มีเพียงส่วนที่เหมือนกันเท่านั้น
หลี่ไป๋เองก็พูดไว้แล้ว อยากจะให้หลี่มู่ได้ดูดซับเอาแก่นสารในจิต
กระบี่จริยะบุรุษ แล้วผสานเข้าสู่วิชาดาบ ดังนั้นหลี่มู่จึงไม่ได้คิดที่จะทิ้ง
ดาบเพื่อฝึกกระบี่ เขากําลังทําความเข้าใจส่วนที่เหมือนกันของกระบี่
และดาบ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วหลี่มู่จมดิ่งอยู่ในโลกแห่งจิตกระบี่
‘จริยบุรุษ’ ทั้งบทมียี่สิบสี่วรรค หนึ่งร้อยยี่สิบตัวอักษร แต่ละ
ตัวอักษรได้กลายเป็นอักขระจิตกระบี่อันมหัศจรรย์ แฝงเอาไว้ด้วยจิต
แท้แห่งวิธีกระบี่ หลี่มู่ใช้งานเนตรสวรรค์ พลังจิตลอยขึ้นมาจับตัว
อักขระจิตกระบี่เหล่านี้อย่างต่อเนื่องราวกับหนวดปลาหมึก จากนั้นจึง
ตรัสรู้เข้าใจ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ร่างของหลี่มู่ กระตุ้น ‘วิชาก่อนกําเนิด’ ขึ้นเอง ดูซับเอาปราณ
สมบัติบัวคราม เวลาเดียวกันจิตใจได้ดําดิ่งอยู่ในโลกแห่งจิตกระบี่จริยะ
บุรุษ ซาบซึ้งต่อจิตแท้วิธียุทธ์เหล่านั้น ผสมผสานเข้าสู่วิถีดาบของ
ตนเอง
การฝึกอย่างไม่รู้วันคืน
เวลาผ่านไปราวสายน�าไหล
…
…
ริมสระบัวครามเจ้าสํานักชําระดาบเยี่ยเฮิ่นนั่งขัดสมาธิ ไม่ขยับเขยื้อน
นางถูกลอบโจมตีด้วยวิชาที่มีเฉพาะในภูเขาสู่ สกัดกั้นปราณแท้ใน
ร่างกายไม่ให้ขยับเขยื้อนได้
“เฮ้อ ช่างน่าทุกข์ทนเสียนี่กระไร”
เยี่ยเฮิ่นใช้วิธีมากมายแต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นออกมาได้ ในใจร้อน
รุ่ม
นางเข้าใจว่าเพราะอะไรตนเองถึงถูกลอบโจมตี
และเข้าใจว่า อีกฝ่ายโจมตีตนเองเพราะอะไร
นางไม่รู้สึกโกรธเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่รู้สึกเสียใจ
เสียใจอย่างมาก
เพื่อนเก่าแก่อีกคนกําลังจะตายลงอีกแล้ว
เป็นคนที่ไปตายแทนนางอีกด้วย
…
…
ฟ้ากลางวันราวกับสีเลือดสายลมหวีดหวิว
“ท่านพ่อ…”
‘คุณชายหยก’ โอวหยางอวี้ยืนอยู่บนกระสวยแสงเทพ สีหน้าหมด
หวังและโศกเศร้า น�าตาไหลอาบลงมาอย่างยั้งไว้ไม่อยู่ จากนั้นขาทั้ง
สองหมดเรี่ยวแรงทิ้งตัวลงคุกเข่าลงไปทางเวทีลอยฟ้า
ยอดฝีมือภูเขาสู่บนกระสวยแสงเทพ ล้วนมีสีหน้าโกรธขึ้นและ
เจ็บปวด
“ฮ่าๆๆ แค่ทีเดียวก็ทานไว้ไม่ได้”
‘หนึ่งกระบี่ทะเลประจิม’ ถานหรูซวงเงยหน้าหัวเราะร่า
การต่อสู้สิ้นสุดลง มือของเขาหิ้วศีรษะเปื้ อนเลือดเอาไว้ และใต้เท้า
ของเขา ร่างไร้ศีรษะของจ้าวศาลาเหนือฟ้าโอวหยางฮ่วนอวี่นอนจม
กองเลือดอยู่ ถูกเขาเหยียบเอาไว้ใต้ฝ่าเท้า
ศึกบนเวทีสิบสนามศึกที่สี่ได้ปิดฉากลงแล้ว
โอวหยางฮ่วนอวี่ตัวแทนฝ่ายภูเขาสู้จนตัวตาย
ชัยชนะอีกครั้งของเก้าสํานัก
ทั้งสองฝ่ายชนะสองแพ้สอง เสมอกันแต่สําหรับฝ่ายภูเขาสู่แล้วกลับอยู่ในสถานการณ์ที่เกือบจะสิ้นหวัง
ผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวงสวรรค์อย่างนิรนามและโอวหยางฮ่วนอวี่ รบจน
ตัวตายด้วยวิธีบดขยี้อย่างน่าอัปยศ และฝ่ายภูเขาสู่ก็ยังคงหาวิธีที่จะ
เอาชนะ ‘หนึ่งกระบี่ทะเลประจิม’ ถานหรูซวงที่ ‘จู่ๆ พลังได้ทะลวง
ออกมาอย่างกะทันหัน’
“ที่เหลืออีกหกสนาม ข้าคิดว่าคงไม่ต้องสู้แล้ว พวกเจ้าไม่มีคนที่จะ
มาเป็นคู่มือข้า สู้ยอมแพ้แล้วอัปเปหิตนเองออกจากเมืองไป๋ตี้เสียดีกว่า
ยังสามารถรักษาชีวิตของพวกเจ้าเอาไว้ได้นะ”
ถานหรูซวงเอ่ยขึ้นอย่างจองหอง
เขาโยนศีรษะของโอวหยางฮ่วนอวี่ลงบนพื้น ยกเท้าขึ้นเหยียบ เอ่ย
ขึ้นอย่างด้านชาไร้ความรู้สึก
โอวหยางอวี้คิดจะบุกเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง แต่ถูกพวกของสํานักเงา
จันทร์รั้งเอาไว้
ถานหรูซวงยังคงเหน็บแนมต่อ ต้องการจะกระตุ้นคนของภูเขาสู่ให้
ขึ้นมาบนเวทีลอย แล้วจัดการให้ตายอย่างอนาถ
“เหอๆ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าโกรธมาก และเจ็บปวดอย่างมาก เรียนรู้มัน
เสีย นี่คือความโศกเศร้าของผู้อ่อนแอ” ถานหรูซวงจงใจสาดเกลือลงบนบาดแผลของผู้คนจากภูเขาสู่ “ความตายก็ไม่ใช่การหลุดพ้น แต่เป็น
เพียงการเริ่มต้นของความอัปยศเท่านั้น”
ในที่สุดเขาได้สั่งคนให้นําเอาร่างของโอวหยางฮ่วนอวี่กลับไปบน
เรือเหาะ เสียบตะขอเข้ากับหัวไหล่ แขวนเอาไว้กับเสากระโดงเรือ
ภายใต้แสงตะวันอันร้อนแรง
“นี่คือจุดจบพวกศัตรูของเก้าสํานัก ตายไปก็ไม่สงบ”
ถานหรูซวงหัวเราะเย็นชา
คนจากภูเขาสู่โมโหจนอวัยวะภายในแทบแผดเผา
“ถานหรูซวง เจ้าจะมากเกินไปแล้ว เดิมทีเป็นศึกบนเวทีที่ยุติธรรม
เจ้ายืมพลังภายนอกมาก็เกินพอแล้ว ทําไมจะต้องสร้างความอัปยศ
ให้แก่คนตายอีก?” คุณชายเงาจันทร์เอ่ยขึ้นอย่างเดือดดาล “สํานัก
กระบี่ทะเลประจิมของเจ้าเรียกตัวเองว่าฝ่ายธรรมะ เป็นถึงหนึ่งในเจ็ด
สายธรรมะอันยิ่งใหญ่แห่งยุค แต่เจ้ากลับไม่แม้แต่จะรักษาเกียรติเอาไว้
เลยหรือ?”
ถานหรูซวงเมื่อได้ยินก็สีหน้าเย็นชา ใบหน้าร้อนฉ่า แต่ก็ยิ้มเย็นชา
ตอบกลับทันที “รับมือกับลัทธิมารอย่างพวกเจ้า ไม่จําเป็นต้องพูดเรื่อง
คุณธรรมเมตตาธรรม บดกระดูกโปรยขี้เถ้าสําหรับพวกเจ้าแล้วยังถือ
เป็นความเมตตากรุณาเสียด้วยซ�า”“เจ้า…” คุณชายเงาจันทร์โมโหจนสั่นไปทั้งตัว
พริบตานั้นเขาคิดที่จะบุกขึ้นไปบนเวทีลอยฟ้า คิดที่จะเปิดม่านศึก
ที่ห้าในทันที แต่ยังคงอดกลั้นเอาไว้
เหล่าสหายเก่าทยอยๆ กันรบจนตัวตาย ดับสูญ ยอดฝีมือแห่งภูเขา
สู่ตอนนี้เหลือไม่มากแล้ว คุณชายเงาจันทร์รู้อย่างชัดแจ้ง ว่าตนเอง
จําเป็นต้องควบคุมสถานการณ์เอาไว้ ต่อให้อยากจะขึ้นไปต่อสู้สักเพียง
ไหน แต่ก็ต้องรอให้ทุกอย่างเรียบร้อยก่อน ภายในของภูเขาสู่ตอนนี้จะ
วุ่นวายอีกไม่ได้แล้ว
“พวกเรากลับ”
คุณชายเงาจันทร์ควบคุมกระสวยแสงเทพ พาคนของภูเขาสู่กลับสู่
เมืองไป๋ตี้ คุณชายจากศาลาเหนือฟ้าโอวหยางอวี้ได้เป็นลมพับไปจาก
ความเจ็บปวดที่ยากจะเกินรับได้
ความโศกเศร้าที่ยากจะเอื้อนเอ่ย พัดรัดอยู่ในใจของทุกคน ขจัด
ออกไปได้อย่างยากเย็น
หันหลังกลับไป บนเรือเหาะของสํานักกระบี่ทะเลประจิม ศพของ
จ้าวศาลาเหนือฟ้าโอวหยางฮ่วนอวี่ยังคงถูกแขวนอยู่บนเสากระโดงเรือ
……
“แปลกจริง วันนี้ทําถึงขั้นนี้แล้ว ทําไมเจ้าหลี่มู่ยังไม่ปรากฏตัว
ออกมาอีก?”
มือสังหารสาวจาก ‘หอสังหารอาภรณ์ดํา’ ในที่สุดก็รู้สึกว่าเรื่องราว
เหมือนจะไม่เป็นไปอย่างที่นางคิด
หรือว่าหลี่มู่หนีไปแล้ว?
เป็นไปไม่ได้น่า
หลังจากผ่านศึกที่สุสานเทพมา หญิงสาวชุดโปร่งดํารู้สึกว่าความ
เข้าใจในตัวหลี่มู่ของตนเองอยู่ในระดับหนึ่งแล้ว นักโทษผู้ผิดบาปคนนี้
ไม่ใช่พวกรักตัวกลัวตาย มีความดุดันและกล้าหาญของเหล่าเซียน
นักโทษผู้ผิดบาปเหล่านั้น ไม่มีทางที่จะทอดทิ้งเพื่อนร่วมรบของตนเอง
อย่างแน่นอน
แล้วทําไมจนป่านนี้เขาก็ยังไม่ปรากฏตัว?
หญิงสาวชุดโปร่งดําใจไม่สงบ
“ต้องเร่งเวลาขึ้นแล้ว ถ้ารอจนถึงตอนท้ายของสิบศึกบนเวที
สํานักนอกพิภพยังมีผู้แข็งแกร่งคนอื่นลงมาเยือนอีก พอถึงตอนนั้นเพียงแค่พวกเขาจําตัวตนของหลี่มู่ได้ การจะรับรางวัลจากสํานักใหญ่ๆ
คนเดียวก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว”
นางไตร่ตรองวางแผน
ไม่นาน ถานหรูซวงได้ถูกเรียกมาอีกครั้ง
“พรุ่งนี้เจ้ายังต้องออกศึกอีกครั้ง ข้าจะให้เจ้าจัดการให้หนักข้อ
มากขึ้นในวันพรุ่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นภูเขาสู่คนไหนออกมา จงสังหารทิ้ง
อย่างโหดเหี้ยมเข้าใจไหม?” คําพูดของหญิงสาวชุดโปร่งดําทําเอาคน
ขนลุกซู่
ถานหรูซวงฟังอย่างหวาดกลัว และรีบร้อนรับคํา
สองวันมานี้ การสังหารนิรนาม โอวหยางฮ่วนอวี่ไปตามลําดับ ทํา
ให้เขาเกิดความรู้สึกอันยอดเยี่ยมถึงการมีพลังไร้เทียมทาน ราวกับดื่ม
สุราหัวราน�า จนทําให้ถานหรูซวงเคลิบเคลิ้มจนถอนตัวไม่ขึ้น
…
…
“ผู้อาวุโสเยี่ย ข้าผิดไปแล้ว”ผู้คุ้มกฎของศาลาเหนือฟ้าคนหนึ่ง เข้ามาปลดวิชาลับสกัดชีพจร
ในร่างกายให้กับเจ้าสํานักชําระดาบเยี่ยเฮิ่นด้วยความรู้สึกเสียใจ ทํา
การคารวะน้อมรับผิด
“พี่โอวหยางล่ะ?” เยี่ยเฮิ่นหันกลับจ้องเขม็งไปที่ผู้คุ้มกฎคนนั้น
ถามขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคํา
แต่ก่อนขณะที่ภูเขาสู่ยังไม่แตกแยกกระจัดกระจาย ทั้งเจ็ดสาย
เหมือนดวงตะวันกลางฟ้าอย่างไรอย่างนั้น พวกเยี่ยเฮิ่น โอวหยางฮ่
วนอวี่ เงาจันทร์ล้วนวัยหนุ่มสาวที่โดดเด่นแห่งยุค เคยร่วมสู้รบเคียงบ่า
ไหล่ ถึงแม้จะไม่ค่อยยอมกัน สู้รบกันก็มากครั้ง ทว่าความรู้สึกเกือบร้อย
ปีเช่นนี้ คนธรรมดามีหรือจะมาเข้าใจ?
ผู้คุ้มกฎคนนี้ก็เป็นคนเก่าแก่ ดวงตาแดงก�า น�าตาไหลนองหน้าพูด
อะไรไม่ออก
ร่างของเยี่ยเฮิ่นโซซัดโซเซ
นางพยุงร่างกับสระบัวเพื่อยืนให้มั่นคง พยายามปรับจิตใจของ
ตนเองให้สงบ
หางตาแดงระเรื่อ ทว่าน�าตาไม่ไหลออกมา
ไหลต่อไปอีกไม่ได้แล้วเยี่ยเฮิ่นออกมาจากสระบัวคราม มายังวิหารเซียนทะยาน
วิหารเซียนทะยานที่แต่ก่อนเคยมีคนคึกคัก บัดนี้มีแต่ความเงียบ
สงัด หลงอู่บาดเจ็บหนัก นิรนามสู้จนตัวตาย โอวหยางฮ่วนอวี่ก็สู้จน
ตาย คนเก่าแก่ขั้นทะลวงสวรรค์ก็เหลือเพียงแค่คุณชายเงาจันทร์
กับเยี่ยเฮิ่นเพียงสองคน
“เข้าใจแล้ว ข้าจะออกศึกเอง ถ้าข้าสู้จนตัวตาย ศึกใหญ่เวทีสิบ
สนามนี้ ภูเขาสู่ถือว่ายอมแพ้ ให้รีบออกจากเมืองไป๋ตี้ ไม่มีความจําเป็น
ที่จะต้องเสียสละอย่างไร้ค่า รักษาลมหายใจไว้เพื่อเฝ้ารอโอกาสการลุก
ขึ้นใหม่”
เยี่ยเฮิ่นพูดอย่างหนักแน่น ไม่ยอมให้ใครตั้งข้อสงสัย
คุณชายเงาจันทร์เดิมทีคิดจะพูดอะไร ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าของเยี่ย
เฮิ่น คําพูดที่มาถึงมุมปากก็ถูกกลืนกลับลงไปอีกครั้งโดยไม่คิดจะพูดอีก
ศึกพรุ่งนี้ ความหวังก็ไม่มากเท่าไรนัก
ติงอี้อยู่ในกลุ่มคน เลิกคิ้วขึ้น ดวงตามีประกายการดิ้นรน ทว่า
ท้ายสุดก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
บรรยากาศแห่งความโศกเศร้าถึงที่สุด ครอบคลุมลงมาทั่วทั้งเมือง
ไป๋ตี้เพียงพริบตา อาทิตย์สาดส่องวันต่อมา
ศึกเวทีที่ห้ากําลังจะเริ่มต้นขึ้น
คนของฝ่ายธรรมะอธรรมล้วนปรากฏตัวขึ้นบนเวทีลอยทั้งสอง
ด้าน และลั่วเสวียนซิน เซี่ยวตง ลู่ซุนและชิวสุ่ยหมิงที่มาจากดาวโลกทั้ง
สี่คน ก็ปรากฏตัวบนกระสวยแสงเทพเช่นกัน…พวกเขาได้รับอนุญาตให้
เข้าชมการประลอง และหวังว่าในฐานะที่พวกเขาเป็นกลุ่มยอดเยี่ยมรุ่น
หลัง จะสามารถจดจําฉากนี้เอาไว้ตลอดกาล และได้เข้าใจเสียทีว่าผู้
แข็งแกร่งที่แท้จริงเขาทําศึกกันอย่างไร
เจ้าสํานักชําระดาบเยี่ยเฮิ่น ร่างไหววูบประดุจลําแสงร่อนตัวลงบน
เวทีลอยฟ้า
ชุดเขียวราวกับฤดูใบไม้ผลิ ดาบโค้งประดุจสายอัสนี
“ถานหรูซวง รีบไสหัวออกมาสู้เดี๋ยวนี้”
เยี่ยเฮิ่นไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ท้าดวลซึ่งๆ หน้า
“เหอๆ เจ้าสํานักชําระดาบ? ลัทธิมารในที่สุดก็ถึงช่วงต้องพึ่งพาให้
หญิงสาวออกมาทําศึกแล้วหรือ? น่าสงสารเสียจริง” ท่ามกลางเสียง
หัวเราะ ร่างของถานหรูซวงปรากฏขึ้นมาบนเวทีลอยฟ้า ใบหน้าเต็มไป
ด้วยความเย้ยหยันและถากถาง……………………………………….