จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 555 หลี่มู่มาถึง
หลี่มู่ตกใจมาก
ครั้งนี้เขาเพียงแต่บรรลุ ‘จิตกระบี่ลํานําจอมยุทธ์พเนจร’ เท่านั้น นี่
เป็นการเข้าใจกระบวนท่า วีรกรรมและจิตสูงสุดวิถียุทธ์เท่านั้น ไม่เพิ่ม
พลังฝึกตน แต่เหตุใดกลับก้าวสู่ขั้นทะลวงสวรรค์โดยไม่รู้ตัวเล่า?
อีกทั้ง ก้าวสู่โลกทะลวงสวรรค์ว่ากันตามหลักแล้วจะต้องมีเคราะห์
สวรรค์ ทั้งยังเป็นเคราะห์สวรรค์ที่น่ากลัวมากๆ อีกด้วย
แล้วเคราะห์สวรรค์ขั้นทะลวงสวรรค์ของตนเล่า?
ไม่เกิดขึ้นนี่นา
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
หลี่มู่รู้สึกเลาๆ ว่า นี่อาจจะเกี่ยวกับที่ตนถูกฟ้าผ่าสิบวันสิบคืนที่
เขามังกรโฉดตอนนั้น นั่นเป็นเคราะห์สวรรค์ในการทะลวงขั้นอย่างนั้น
หรือ ตนผ่านมาได้โดยไม่รู้ตัวอย่างนั้นรึ?
เหมือนว่าจะเข้าใจได้แบบนี้เท่านั้นแล้วแต่ว่า สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สําคัญ ที่สําคัญคือ ตนเองในที่สุดก็ทะลวง
ขั้นทะลวงสวรรค์ได้แล้ว
นี่เป็นก้าวใหญ่ของเส้นทางวิถียุทธ์
ในโลกฝึกฝนวิถียุทธ์ห้วงดาราสมุทร หลังจากทะลวงสวรรค์แล้วถึง
จะนับว่าก้าวสู่ครรลองของผู้ฝึกฝนที่แท้จริง อีกทั้งยังเป็นเพียงการ
เริ่มต้นของการฝึกฝนเท่านั้น ประหนึ่งแมลงในสรรพชีวิตทั้งหลายแห่ง
จักรวาลเวิ้งว้าง แค่พอจะมีความสําคัญก็เท่านั้น ดังนั้นจึงเรียกว่าขั้น
แมลง
ก่อนจะเป็นโลกขั้นทะลวงสวรรค์ ในเส้นทางผู้ฝึกฝนเวิ้งว้าง แม้แต่
เป็นแมลงยังนับไม่ได้ หากใช้คําศัพท์ทางวิทยาศาสตร์บนโลกมาเรียก ก็
คงจะเป็น ‘เซลล์’ แค่นั้นล่ะมั้ง
หลี่มู่สัมผัสพลังในกายอย่างละเอียด กระตุ้นปราณแท้ วาดแขนไป
ในอากาศข้างๆ มั่วๆ
เสียงแคว่กดังขึ้น
อากาศเหมือนกระดาษถูกฉีก ขาดเป็นรอยสีดํามืดสนิททางหนึ่ง
แรงดึงดูดแปลกประหลาดกลุ่มหนึ่งแผ่ออกมาจากห้วงท้องฟ้า
เหมือนจะดูดหลี่มู่เข้าไปในรอยแยกนี่อย่างไรอย่างนั้นส่วนจุดลึกในใจของหลี่มู่ก็เกิดความรู้สึกอยากจะมุดเข้าไปในรอย
แยกสีดํานั้นขึ้นมาชั่ววูบ โลกเบื้องหลังรอยแยก มีแรงดึงดูดอย่างยากจะ
อธิบายต่อจิตวิญญาณของเขา
นี่ก็คือทะลวงสวรรค์อย่างนั้นหรือ?
ที่แผ่นดินใหญ่เสินโจว ทะลวงสวรรค์นั้นหมายถึงบรรลุเป็นเซียน
สามารถไปจากโลกเดิมได้ ประดุจวิหคโบยบินไปจากกรงพันธนาการ
บินไปสู่โลกใหม่ไร้ขอบเขต
ที่แท้ คําว่าบรรลุที่ว่าก็คือก้าวเข้าไปในรอยแยกที่แหวกออกนี่เอง
แต่ว่า ข้างหลังรอยแยกนี้จะมีอะไรอยู่นะ?
เป็นโลกใบใหม่? หรือว่า จะใช้วิธีนี้ออกไปจากดาวดวงเดิม เข้าไป
ยังเขตดาราเทพวีรชน?
ระหว่างที่หลี่มู่ครุ่นคิด รอยแยกมิตินั่นก็หายไปอย่างรวดเร็วจาก
ผลของกฎแห่งธรรมชาติ
ยังไปจากโลกดาวทุรกันดารไม่ได้
หลี่มู่ไปจากสระบัวมรกตเขาจะต้องรู้ก่อนว่า ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว ศึกประลองสิบยก
ระหว่างมารและธรรมะ ตอนนี้ดําเนินไปถึงขั้นไหนแล้ว
……
“ถึงเวลาแล้ว มันจบแล้ว”
ในที่สุดก็ถึงเวลาหนึ่งชั่วยาม
ถานหรูซวงหัวเราะเสียงเย็น กระบี่เงาทะเลในมือพลันประหนึ่งงู
พิษ เพียงสะบัด แค่เฉียดผ่าน พลังเหนือกว่าขั้นทะลวงสวรรค์ก็ระเบิด
ออกประหนึ่งน�าพุทะลักออกมา
บึ้ม!
กระบองดอกกุ้ยสะเทือนกระเด็นหลุดลอยออกไป
ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ
แสงกระบี่ราวงูพิษ ลากรอยเลือดเป็นทางๆ ไปบนร่างของเยี่ยเฮิ่น
เจ้าสํานักชําระดาบ
ร่างของเยี่ยเฮิ่นกระเด็นออกไปกระแทกเข้ากับขอบค่ายกลเกราะ
ป้องกันเวทีประลองลอยฟ้าเข้าอย่างจัง
เคร้ง!เสียงกระบองดอกกุ้ยร่วงกระทบพื้นดังขึ้น
ร่างของเยี่ยเฮิ่นไถลลงมาจากขอบค่ายกลป้องกัน เลือดไหลอาบ
ร่าง
มีใจหมายปราบโจร แต่สุดทานลิขิตสวรรค์
ใบหน้าของเยี่ยเฮิ่นแฝงรอยเจ็บใจ
ตอนนี้ สติของนางเริ่มรางเลือนเป็นระลอก ผลข้างเคียงของฝัน
มายาพรายเริ่มออกฤทธิ์ เลือดเริ่มบดบังครรลองสายตา ในช่วงราง
เลือนนางมองเห็นถานหรูซวงยิ้มเหี้ยมเกรียมพลางเดินทางหาตนราว
ภูตผีปีศาจ
“ยายแก่อายุร้อยกว่าปีแต่กลับงดงามได้ถึงเพียงนี้ เหอะๆ มาร
ลัทธิมารชอบพวกวิชาพรรค์นี้จริงๆ แต่ไม่รู้ว่าภายใต้ชุดเขียวของเจ้า
จะอ่อนเยาว์เหมือนกับใบหน้านี่รึเปล่า?”
ในดวงตาของถานหรูซวงฉายแววเหี้ยมโหด
กระบี่ของเขาเกี่ยวอาภรณ์ของเยี่ยเฮิ่นช้าๆ คิดจะกรีดเสื้อให้ขาด
ใช้วิธีนี้มาหยามหมิ่นเยี่ยเฮิ่น และจงใจท้าทาย ยั่วคนของภูเขาสู่
เยี่ยเฮิ่นอยากจะขัดขืนแต่ผลข้างเคียงของฝันมายาพรายทําให้สติของนางเลือนราง
ร่างกายเริ่มไม่ฟังคําสั่ง
“ไร้ยางอาย หยุดนะ” บนกระสวยแสงเทพ พวกอาจารย์สุ่ยเยวี่
ยดวงตาแทบจะทะลักออกจากเบ้า
คิดไม่ถึงเลยว่า ถานหรูซวงเป็นถึงผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวงสวรรค์แห่ง
ยุคแต่กลับไม่มีเกียรติและศักดิ์ศรีเลยแม้แต่น้อย ไร้ยางอายได้ถึงเพียงนี้
ต่อหน้าธารกํานัลยังกล้าใช้วิธีชั่วช้าสารเลวแบบนี้ออกมา
“ฮ่าๆ ผู้อ่อนแอไม่มีสิทธิ์ตําหนิคนอื่น”
ถานหรูซวงหัวเราะอย่างได้ใจ
กระบี่ยาวของเขาแตะไปบนกระโปรงของเยี่ยเฮิ่น กรีดมันทีละ
น้อยๆ
“ไร้ยางอาย เสียทีที่เป็นคน”
‘คุณชายกระบี่เพลงพิณ’ ผู้สืบทอดของสํานักเงาจันทร์อดทนไม่ได้
อีกต่อไป พุ่งตัวออกไปร่อนตัวลงต�าบนเวทีประลองลอยฟ้า ก่อนจะชัก
ดาบออกมาแล้วโรมรันออกไป
“ฮ่าๆ อดทนไม่ไหวแล้วอย่างนั้นรึ? นี่นับว่าเป็นยกที่หกแล้ว
กระมัง?” ถานหรูซวงเก็บกระบี่กลับมาจากเยี่ยเฮิ่น ก่อนจะมองไปทางคุณชายกระบี่เพลงพิณ หัวเราะหึๆ แล้วเอ่ยขึ้น “น่าเสียดาย อายุน้อยๆ
งดงามดุจมาลีดุจหยกเช่นนี้ กลับต้องมาตาย ลัทธิมารไม่มีใครแล้วหรือ
อย่างไร ถึงได้ส่งผู้หญิงออกมาให้ครบๆ จํานวนไปอย่างนั้น”
เขาเป็นคนในยุทธจักรเก่าแก่ มองปราดเดียวก็รู้ว่าคุณชายกระบี่
เพลงพิณผู้นี้เป็นสตรีปลอมเป็นชาย ที่จริงเป็นเด็กสาวอายุสิบแปด
“สู้ตายกับเจ้าแล้ว”
คุณชายกระบี่เพลงพิณพุ่งไปหาถานหรูซวงอย่างบ้าคลั่ง
“อ่อนแอเหลือเกิน ไม่ใช่คู่มือของข้าเลย”
ถานหรูซวงสะบัดกระบี่ไปง่ายๆ คุณชายกระบี่เพลงพิณก็กระเด็น
ออกไป บุคคลโดดเด่นในรุ่นคนหนุ่มสาว เมื่ออยู่ต่อหน้าถานหรูซวงที่
เล่นยาก็ยังอ่อนหัดเกินไป
คุณชายกระบี่เพลงพิณสายตาเหี้ยมเกรียม จ้องถานหรูซวงเขม็ง
“ไม่ต้องใช้สายตาแบบนั้นมองข้า ไม่มีประโยชน์อะไรแม้แต่น้อย
ผู้หญิงก็ไม่ควรกวัดไกวกระบี่อยู่แล้ว อยู่ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง แค่
คุกเข่าโค้งคํานับคอยรับใช้ปรนเปรอก็พอแล้ว”
ในแววตาของถานหรูซวงฉายแววชั่วร้ายสตรีชุดผ้าโปร่งบางสีดําสั่งให้เขาลงมือโดยไม่ต้องเลือกวิธี ยั่งยุค
นของลัทธิมาร และเขาก็ถลําลึกลงไปไม่หยุดจากการแอบทําลับหลัง
และรับคําสั่งเช่นนี้ จิตใจเริ่มบิดเบี้ยวโดยที่เขาก็ไม่รู้ตัว
แสงกระบี่ส่องประกายวูบ
แคว่ก
เสื้อตัวนอกของคุณชายกระบี่เพลงพิณขาดกระจุย เผยให้เห็นเสื้อ
ในตัวสีชมพู และผิวขาวเนียนประดุจเทียนไขสะดุดตา ผมดําขลับทิ้งตัว
ลงมา เป็นสาวงามเลิศล�าจริงๆ ด้วย
“หยุดนะ”
“สู้ตายกับพวกมันแล้ว”
“ฉินเอ๋อร์…” อาจารย์สุ่ยเยวี่ยคํารามอย่างคั่งแค้น ชักระบี่ออกมา
พุ่งออกไป เขากับ ‘คุณชายกระบี่เพลงพิณ’ ในนามแล้วคือศิษย์กับ
อาจารย์ แต่แท้จริงแล้วคือบิดากับบุตรสาว ‘คุณชายกระบี่เพลงพิณ’
คือบุตรสาวคนเดียวของเขา
บนกระสวยแสงเทพ คนภูเขาสู่ทั้งหลายต่างอดทนไม่ไหวอีกต่อไป
ไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้นพุ่งตัวออกไป
ตอนนี้เอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น——“ถอยกลับไป”
แสงดาบพร่างพรายแหวกท้องฟ้า
จิตดาบโหมทะลักสะเทือนพวกอาจารย์สุ่ยเยวี่ยกลับไปบนกระสวย
แสงเทพ
ในขณะเดียวกัน เงาร่างสีขาวทางหนึ่งก็มาถึง แล้วปรากฏตัวบน
เวทีประลองลอยฟ้าในชั่วพริบตา
แสงดาบส่องกะพริบ
ถานหรูซวงรู้สึกแค่ปราณดาบคมกริบมหาศาลไม่อาจควบคุมซัด
ปะทะหน้ามา ยังไม่ทันจะตั้งตัวใดๆ กระบี่เงาทะเลในมือก็ส่งเสียงดังบึ้
มแล้วกลายเป็นเศษชิ้นส่วนนับไม่ถ้วน พลังคุ้มกายก็เหมือนกับเนยที่ถูก
มีดร้อนๆ ผ่า หายไปในชั่วพริบตา
เสียงกระดูกหักกร๊อบๆ ดังขึ้น
เขากระอักเลือดกระเด็นออกไป
“ต้วนสุ่ยหลิว!”
เขาคํารามลั่น เซไปบนพื้น ความหวาดกลัวในใจยากจะใช้คํา
บรรยาย ทั่วร่างสั่นสะท้านคนที่จู่ๆ ปรากฏตัวขึ้นคนนี้ก็คือหลี่มู่
พรึ่บ!
หลี่มู่พลิกมือสะบัดเสื้อออกไปตัวหนึ่ง คลุมร่างอรชรของ ‘คุณชาย
กระบี่เพลงพิณ’ เอาไว้ ก่อนจะเอ่ยขึ้นโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
“ดูแลท่านย่าเยี่ยเอาไว้ให้ดี”
คุณชายกระบี่เพลงพิณถึงได้ตั้งสติกลับมา ถอนหายใจโล่งอก ก่อน
จะกระอักเลือดช�าในในอกออกมา นางใช้ชุดผู้ชายตัวนั้นคลุมปกปิด
ร่างกาย แล้วจึงรีบไปช่วยเยี่ยเฮิ่นที่สติเริ่มเลอะเลือน นางมองไปทางห
ลี่มู่แล้วเอ่ย “เจ้าระวังตัวด้วย”
อันที่จริงเมื่อหลายวันก่อนนางก็จําได้ว่าหลี่มู่ก็คือ ‘บัณฑิตอ่อนแอ’
ที่ตนได้เตือนว่าอย่าคลั่งไคล้ใหลหลงในเรื่องเล่าของยุทธจักรที่โรงเตี๊ยม
ในตอนนั้น
ตอนนั้นมองพลาดไปเสียแล้ว เดิมคิดว่าเป็นไก่อ่อนโง่งมไม่รู้จัก
ความอันตรายของยุทธจักร คิดไม่ถึงว่ากลับเป็นผู้แข็งแกร่งคมในฝักคน
หนึ่ง
เด็กสาวแต่เดิมยังรู้สึกว่าหลี่มู่จงใจปลอมเป็นหมูกินเสือ ความคิด
ลึกซึ้ง ดังนั้น ตอนที่อยู่ในเมืองไป๋ตี้จึงไม่ได้ไปทักทายหลี่มู่ แต่ตอนนี้สําหรับการปรากฏตัวกะทันหันของหลี่มู่ ในใจกลับเต็มไปด้วยความ
ยินดี
หลี่มู่โบกมือโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา นับว่าตอบรับแล้ว
บนกระสวยแสงเทพ คนภูเขาสู่ทั้งหลายต่างโห่ร้องอย่างอดไม่ได้
เสี้ยวขณะที่เห็นเงาร่างของหลี่มู่ปรากฏขึ้น ไม่รู้ว่าทําไมทุกคนต่าง
พลันโล่งอก ความรู้สึกแบบนั้นเหมือนภูเขาที่พังทลายลงมากลับพลัน
เปลี่ยนกลับไป และเหมือนน�าป่าที่จู่ๆ ก็ไหลปะทะมา
อย่างไรเสีย ก็เป็นความรู้สึกพึ่งพิงโดยไม่มีเงื่อนไขอย่างหนึ่ง
“อาจารย์…”
“ที่ปรึกษาหลี่!”
คนในโลกยุทธจักรและกองทัพของโลกต่างโบกมือตื่นเต้น ใบหน้า
แดงก�า
“เป็นเขา ต้วนสุ่ยหลิว!”
“เขาปรากฏตัวแล้ว”
ในเก้าสํานัก เหล่าเจ้าสํานักที่พ่ายแพ้ให้กับหลี่มู่ ในใจต่างสั่น
สะท้าน หวาดหวั่นพรั่นพรึงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายเห็นร่างเงาสีขาวนี่ เบื้องหน้าเหมือนมีแสงดาบน่ากลัววันนั้น
ปรากฏขึ้นอีก ความคมและจิตสังหารที่ฟันมาทําให้เกิดความหวาดกลัว
ในใจของพวกเขาเหมือนโรคระบาด
ส่วน สตรีชุดผ้าโปร่งบางสีดํา ‘หอสังหารอาภรณ์ดํา’ ในที่สุดก็
ลิงโลดขึ้นมาทันที
ปรากฏตัวขึ้นแล้ว
หลี่มู่ในที่สุดก็เกิดขึ้นแล้ว
โอกาสมาแล้ว
นางเหมือนงูพิษที่แอบอยู่ในที่มืดอยู่นาน เริ่มแลบลิ้นที่เต็มไปด้วย
พิษอย่างเงียบงัน
ในเสี้ยวขณะนี้ สายตาแทบจะทุกคู่ต่างจับจ้องอยู่ที่หลี่มู่
ส่วนหลี่มู่ก็มองมาทางถานหรูซวง
“เศษสวะชั้นต�าอย่างเจ้าก้าวเข้าสู่ขั้นทะลวงสวรรค์ได้อย่างไร?”
เขาเดินประชิดคู่ต่อสู้มาอย่างรวดเร็ว
ถานหรูซวงโคจรพลังคลานขึ้นมา ใบหน้าเหี้ยมเกรียม เอ่ยคําราม
“มาได้พอดี กําลังจะล้างแค้นดาบนั้นเมื่อวันนั้นพอดี ข้า…”แสงดาบทอประกายวูบ
หัวของถานหรูซวงขาดกระเด็น
หลี่มู่เหยียบหัวของเขาไว้ใต้ฝ่าเท้า “พูดกับเจ้ามากประโยคหนึ่ง
ล้วนทําให้ข้ารู้สึกขยะแขยง…แต่ให้ฆ่าเจ้าง่ายๆ สบายๆ ก็ยากจะคลาย
โทสะในใจข้า เจ้าว่าข้าจะจัดการก้อนขยะอย่างเจ้าอย่างไรดี?”
“เจ้า…” หัวของถานหรูววงอ้าปากเอ่ย ใบหน้าหวาดกลัว
เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ภายใต้สภาวะที่ตนกินโอสถเซียนก็ยังจะน่า
อนาถเช่นนี้
ต้วนสุ่ยหลิวเปลี่ยนมาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้ว?
หรือว่าก่อนหน้านี้เขาปกปิดพลัง?
“แต่ไหนแต่ไรมา ข้าไม่ชอบใช้ความชั่วร้ายมาตัดสินความเป็น
มนุษย์ แต่เจ้ากลับนิยามความชั่วร้ายของข้า” สีหน้าของหลี่มู่นิ่งจนน่า
กลัว “ความโหดเหี้ยมที่เจ้าทํากับผู้อื่น จะต้องสนองกับเจ้าสิบเท่าร้อย
เท่า เริ่มนับจากนี้เป็นต้นไป…”
เขายกเท้าถีบ เตะร่างของถานหรูซวงลงไปจากเวทีประลอง ไปยัง
กระสวยแสงเทพ สะเทือนจนเสื้อผ้าทั้งตัวแหลกสลาย“แขวนมันไว้!”
หลี่มู่เอ่ย
ร่างเปลือยเปล่าอัปลักษณ์ของเจ้าสํานักกระบี่ทะเลประจิมผู้นี้ถูก
ตะขอเกี่ยวแขวนไว้กลางอากาศ
ส่วนหัวของเขากลับถูกแขวนไว้อีกด่านหนึ่ง มีไฟจุดขึ้นกลาง
อากาศเผาสังเวย ร่างของถานหรูซวงดิ้นอย่างบ้าคลั่ง หัวส่งเสียงร้อง
ครวญครางน่าสังเวชเหมือนสัตว์ใกล้ตาย…
ความเจ็บปวดยากจะบรรยายทําให้เขาทุกข์ทรมาน
“ฆ่าข้า เจ้าฆ่าข้าเสียเถอะ”
เขากรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ความเจ็บปวดเช่นนี้แม้แต่ผู้แข็งแกร่งขั้น
ทะลวงสวรรค์ก็ยากจะรับได้
“ต้วนสุ่ยหลิว เจ้าทําให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวไป อ๊าก…”
“ไม่ เจ้าไว้ชีวิตข้าเถอะ!”
ถานหรูซวงร้องครวญครางเหมือนหมูโดนเชือด
หลี่มู่ไม่สนใจเขามองไปยังร่างของโอวหยางฮ่วนอวี่ เจ้าศาลาเหนือฟ้าที่แขวน
อยู่บนเสากระโดงเรือบนเรือบินพรรคกระบี่ทะเลประจิม ก็อดเศร้าโศก
ไม่ได้ นี่คือชายชราที่เปี่ ยมเมตตาคนหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับ…
“ข้าพาท่านกลับบ้าน”
เขาบินขึ้นกลางอากาศมาถึงยังเรือเหาะพรรคกระบี่ทะเลประจิม
ประดุจลําแสง
………………………………