จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 557 ปัญญาเทพ
กลับมาถึงเมืองไป๋ตี้ ข่าวได้แพร่ออกไป ผู้คนภูเขาสู่ทั่วทั้งเมืองจึง
ได้ผ่อนลมหายใจลง
แต่ว่าสถานการณ์ยังคงไม่สามารถมองในแง่ดีได้
เพราะพลังของโอสถ ‘ฝันมายาพราย’ ในกายของเจ้าสํานักชําระ
ดาบเยี่ยเฮิ่นได้เริ่มกําเริบ จนสติปัญญาเลือนๆ ไม่ชัดเจนใกล้จะเป็นบ้า
อยู่แล้ว อยู่ในสภาพที่ไม่มั่นคงเอามากๆ ผู้สืบทอดเขาหลี่หลี่เนี่ยนเห่า
เข้ามาตรวจการรักษาในทันที ใช้โอสถให้เยี่ยเฮิ่นอยู่ในสภาพหลับใหล
เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้
ส่วนหลี่มู่ก็สาละวนไปมาอยู่ในเมืองไป๋ตี้ เริ่มวางค่ายกลเรียก
วิญญาณ เตรียมทดลองเรียกวิญญาณ ดูว่าสามารถที่จะดึงเอาวิญญาณ
ของโอวหยางฮ่วนอวี่ที่ตายไปหลายวันแล้วกลับมาได้หรือไม่
ข่าวดีก็คือ ภูเขาสู่ในโลกทุรกันดารนี้ เดิมทีก็เป็นพื้นที่ของพลัง
วิญญาณฟ้าดินอยู่แล้ว มิเช่นนั้น เซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่หลี่ไป๋คงไม่เลือก
ที่นี่แล้วก่อตั้งพรรคภูเขาสู่ขึ้น และเมืองไป๋ตี้ก็ถือว่าเป็นแดนเซียน
ศักดิ์สิทธิ์ของภูเขาสู่อยู่แล้ว ชีพจรแผ่นดินรวมตัวกัน เป็นแผ่นดินฮวง
จุ้ยที่สร้างขึ้นโดยธรรมชาติหลี่มู่วางค่ายกล ใช้เวลาไปถึงสามชั่วยามเต็ม
ตาค่ายกลอยู่ใจกลางวิหารเซียนทะยาน
บรรยากาศเคร่งขรึม พลังแห่งชีพจรแผ่นดินไหลเวียน อักขระ
โบราณแปลกประหลาดลอยวนอยู่กลางอากาศ
พวกของ ‘คุณชายอวี้’ โอวอยางอวี้ล้วนรออยู่ด้านนอกวิหารด้วย
ความร้อนรน
กลิ่นอายที่ลอดออกมาจากกลางวิหารเซียนทะยาน ช่างแปลก
ประหลาดอย่างอธิบายไม่ได้ ราวเป็นเสียงต�าของเหล่าวิญญาณที่มา
จากนรกอเวจี และเหมือนกับเป็นเสียงขับขานของเทพมารโบราณ เต็ม
ไปด้วยความลี้ลับและดํามืด
หนึ่งชั่วยามเต็มต่อมา หลี่มู่เดินออกมาจากวิหารใหญ่
“จ้าวลัทธิ เป็นอย่างไรบ้าง?” โอวหยางอวี้เข้ามารับด้วยสีหน้าเฝ้า
รอ
หลี่มู่พยักหน้า “โชคดีที่ไม่ทําเจ้าผิดหวัง วิญญาณของจ้าวศาล
เหนือฟ้าได้รวมตัวกันแล้ว แต่ยังต้องใช้เวลาชุบเลี้ยงสักระยะในโลง
เพาะวิญญาณ จึงสามารถฟื้ นฟูปัญญาเทพกลับมาได้” หลี่มู่ยื่นตราหยกโลงศพออกมาส่งให้กับโอวหยางอวี้ จากนั้นได้ถ่ายทอดวิชาเพาะ
วิญญาณบางส่วนให้แก่เขา
“ขอบคุณท่านจ้าวลัทธิ” โอวหยางอวี้รับตราหยกโลงศพมา ดีใจ
จนน�าตาไหล
ศิษย์ของศาลาเหนือฟ้า คุกเข่าลงแสดงความขอบคุณที่ได้รับ
กรุณาจากจ้าวลัทธิคนใหม่อย่างหลี่มู่ บารมีของโอวหยางฮ่วนอวี่นั้นสูง
มากในสํานัก ตอนนี้มีโอกาสที่จะรอดชีวิตกลับมา คนทั้งหมดจึงมองห
ลี่มู่เป็นเหมือนผู้มีบุญคุณ
หลี่มู่ไปต่อยังสํานักชําระดาบ เพื่อไปดูอาการของเจ้าสํานักชําระ
ดาบเยี่ยเฮิ่นที่ยังไม่ได้สติอยู่
เพียงแต่ว่าอาการบาดเจ็บของเยี่ยเฮิ่น เป็นอาการตกค้างหลังจาก
ที่กินโอสถ ‘ฝันมายาพราย’ ลงไป ไม่เหมือนกับอาการบาดเจ็บภายนอก
อาการบาดเจ็บจากวิชา อาการบาดเจ็บจากพลังจิตทั่วไป
ดังนั้นหลี่มู่ถึงแม้จะพอรู้เรื่องการแพทย์อยู่บ้าง ปราณไม้จักรพรรดิ
เขียวแห่งคัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะก็เป็นพลังแห่งชีวิต ทว่าสําหรับ
สถานการณ์เช่นนี้ก็ยังต้องยกมือยอมแพ้จากการนําพาของผู้อาวุโสสํานักชําระดับและสาวใช้ของเยี่ยอู๋เหิน
ฉิงเอ๋อร์ หลี่มู่ได้มาถึงด้านหน้าของสระบัวคราม และได้ตรวจสอบที่ศพ
ของดาบรับใช้นิรนามที่จมอยู่ในสระบัวคราม
“เหมือนกับของท่านโอวหยาง ยังมีวิญญาณอยู่ สามารถรวมเข้า
ด้วยกันได้”
หลี่มู่ตรวจสอบไปรอบหนึ่งจึงถอนใจโล่งออกมา
หลังจากเข้าสู่ขั้นทะลวงสวรรค์ ชีวิตของผู้แข็งแกร่งวิถียุทธ์ได้เกิด
การเปลี่ยนแปลงบางอย่าง โดยเฉพาะทางด้านวิญญาณที่แข็งแกร่งขึ้น
อย่างมาก นี่อาจจะเกี่ยวข้องกับการหล่อหลอมโดยทัณฑ์สวรรค์ก็เป็นได้
ดังนั้นหลังจากที่ร่างกายตายไป กลับยังสามารถคงอยู่วิญญาณได้อีก
ระยะหนึ่ง เรื่องนี้คุ้มค่าให้หลี่มู่ค่อยๆ ไปทําการค้นคว้าวิจัย
ค่ายกลเรียกวิญญาณกลางวิหารเซียนทะยานเป็นแบบสําเร็จรูป
หลี่มู่นําร่างของดาบรับใช้นิรนามกลับไปยังวิหารเซียนทะยาน
หลังจากที่ทําการเรียกวิญญาณแล้ว ก็ได้ทําการควบรวมวิญญาณของ
นิรนามนําใส่เข้าไปในโลงเพาะวิญญาณ จากนั้นมอบให้กับสาวน้อยฉิง
เอ๋อร์ ให้นางดูแลมันอย่างดี จําเป็นต้องใช้ระยะเวลาช่วงหนึ่ง วิญญาณ
ของนิรนามจึงจะควบรวมกันสมบูรณ์ ฟื้ นฟูความทรงจําและจิตใต้
สํานึกของวันวานกลับมาสําหรับคนของสํานักชําระดาบ ไม่มีอะไรดีไปกว่าผลลัพธ์นี้แล้ว
หลังจากบํารุงขวัญคนของสํานักชําระดาบเรียบร้อย หลี่มู่ได้ตรงไป
ยังเขาราชันมังกรต่อ เพื่อดูอาการบาดเจ็บของหลงอู่
หลี่มู่สัมผัสได้ถึงงานที่รัดตัวของเจ้าลัทธิได้อย่างชัดเจน เป็นการ
ทํางานหามรุ่งหามค�าอย่างแท้จริง
ดีที่อาการบาดเจ็บของหลงอู่ ถูกจิตกระบี่ ‘ตะวันลับฟ้า’ จากการ
ทําศึกกับเจ้าเมืองตะวันลับฟ้าหร่านกวงเย่าจนได้รับบาดเจ็บ อาการ
บาดเจ็บนี้สําหรับหลี่มู่แล้วไม่ใช่ปัญหาใหญ่ หลังจากผ่านการรักษา
หลงอู่เมื่อฟื้ นขึ้นมาก็ลุกเดินเหินได้ปกติ
เขาราชันมังกรเต็มไปด้วยความยินดีปรีดา
เสี่ยวหลงโส่วรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาต่อหลี่มู่จ้าวลัทธิคนใหม่อย่างสุด
หัวจิตหัวใจ
และเมื่อได้รู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นมาในช่วงที่เขาสลบไสลไปหลายวันนี้
หลงอู่ได้ทอดถอนใจอย่างสุดแสน
“โชคดีที่จ้าวลัทธิออกจากด่านทันเวลา มิเช่นนั้นผลลัพธ์คงจะ
เลวร้ายกว่าที่คิด” คุณชายเงาจันทร์ก็รู้สึกสั่นสะพรึงในตอนหลัง วันนี้
บุตรสาวของตนเองก็เกือบที่จะตายบนเวทีลอยไปแล้ว“รีบแจ้งแก่ลัทธิทั้งหมดให้ชัดเจน จ้าวลัทธิรับตําแหน่งแล้ว นับ
จากนี้ไป ต้วนสุ่ยหลิวคือจ้าวลัทธิภูเขาสู่ของพวกเรา เพียงแต่หากจะยึด
ตามประเพณีที่สืบทอดมา การจะจัดพิธีสืบทอดตําแหน่งในตอนนี้ก็
ค่อนข้างจะฉุกละหุกเกินไป” หลงอู่ขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น
หลี่มู่เอ่ยตอบ “ศัตรูอยู่ต่อหน้าเช่นนี้ ใช้วิธีที่รวบรัดที่สุด ไม่
จําเป็นต้องมีพิธีซับซ้อน”
หลงอู่พยักหน้า
คุณชายเงาจันทร์เอ่ยต่อ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อาจจะเอิกเกริกไป
หน่อย แต่ว่าพรุ่งนี้ก็จะมีศึกใหญ่แล้ว…” เขามองไปยังหลี่มู่ ในน�าเสียงมี
แววกังวล เอ่ยต่อว่า “พลังของถานหรูซวงที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก จะต้อง
ควบคุมโดยผู้บําเพ็ญนอกพิภพเป็นแน่ ตอนนี้เขาถูกท่านจ้าวลัทธิ
สังหารไป พวกผู้บําเพ็ญนอกพิภพเหล่านั้นจะต้องมีแผนการอะไรต่อ
แน่นอน น่ากลัวว่าอีกสี่ศึกที่เหลือต่อจากนี้จะไม่ได้ง่ายดายนัก ท่านจ้าว
คงต้องระมัดระวังให้มาก”
หลงอู่พยักหน้าเอ่ยต่อ “เป็นจริงเช่นนั้น ผู้บําเพ็ญนอกพิภพเหล่านี้
ไร้ยางอายที่สุด ตอนที่รับมือกับท่านจ้าวตอนแรก ก็ใช้แผนการกลับ
กลอกมากมาย ตนเองใช้ชื่อว่าฝ่ายธรรมะ แต่จริงๆ แล้วก็เป็นเพียงพวก
คนไร้ค่าที่จะเอ่ยถึงทั้งนั้น เรื่องเลวแค่ไหนก็ทําออกมาได้”หลี่มู่หัวเราตอบกลับ “ไม่เป็นไร ทหารมาก็รับมือ น�ามาก็กั้นคันดิน
เสีย(มาอย่างไรก็รับมืออย่างนั้น)”
เขาเข้าสู่ขั้นทะลวงสวรรค์ ความมั่นใจเต็มร้อย
แต่ว่า ผู้ยิ่งใหญ่เคยสั่งสอนพวกเรามา ในขั้นยุทธศาสตร์ให้เหยียด
หยามศัตรู บนวิชาการรบจงให้ความสําคัญกับศัตรู
ดังนั้นก่อนหน้าทําศึก หลี่มู่จึงจําเป็นต้องปิดด่านเพื่อปรับ
สถานการณ์
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพิ่งเข้าสู่ขั้นทะลวงสวรรค์ หลี่มู่ยังต้องทํา
ความเข้าใจและใช้งานพลังที่ได้มาใหม่อย่างละเอียดอีกหน่อย
…
…
“ดีจริงๆ เหยื่ออย่างหลี่มู่ในที่สุดก็ปรากฏตัวขึ้น”
ในวิหารใหญ่ดํามืด หญิงสาวชุดโปร่งสีดํารู้สึกยินดีอย่างมาก
วันนี้ที่นางยังไม่ลงมือทันที เป็นเพราะในฐานะที่เป็นมือสังหารแห่ง
‘หอสังหารอาภรณ์ดํา’ ภายใต้สถานการณ์ที่ยังควบคุมไม่ได้ทั้งหมดจะไม่มีทางลงมือ มิเช่นนั้นอาจจะสังหารไม่ได้ในทีเดียว และอาจจะตกอยู่
ในสถานการณ์ถูกกระทําแทน
อย่างน้อยจากการที่หลี่มู่สังหารถานหรูซวง และล้างบางสํานัก
กระบี่ทะเลประจิมไป นางได้มองเห็นถึงเงื่อนงําบางอย่าง…พลังของห
ลี่มู่ได้แข็งแกร่งขึ้นแล้ว
แต่ว่าก็เป็นเพียงแค่ขั้นแมลงเท่านั้น
ในฐานะที่เป็นขั้นสามัญที่ผ่านสะพานเป็นตายมาแล้ว การรับมือผู้
แข็งแกร่งขั้นแมลงคนหนึ่ง หญิงสาวชุดโปร่งสีดําจัดการได้สบาย
แต่ หลี่มู่ถึงอย่างไรก็เป็นหลี่มู่ คนที่สร้างความมหัศจรรย์ขึ้นในศึก
ครั้งสุสานเทพ
ความหวาดกลัวที่มาจากผลการรบอันน่าเหลือเชื่อของหลี่มู่ นางจึง
ตัดสินใจที่จะคอยสังเกตต่อ
ถึงอย่างไรหลี่มู่ก็อยู่ที่แจ้ง แต่นางอยู่ในความมืด จะสังเกตต่ออีก
เสียหน่อยก็ถือเป็นเรื่องดี
กฏเกณฑ์มือสังหารบอกกับนางว่า ยิ่งอยู่ใกล้ความสําเร็จมากเท่าไร
ก็ยิ่งต้องอดทนให้มากขึ้น ต้องยิ่งระมัดระวังรอบคอบ การเรือล่มเมื่อจอดตาบอดเมื่อแก่ เป็นสิ่งที่จะไม่เกิดขึ้นกับมือสังหารที่ประสบการณ์
มากล้นอย่างนางแน่นอน
จากการคิด ในใจของนางก็ได้มีแผนการขึ้นมาแล้ว
เพียงไม่นาน เจ้าสํานักอีกเจ็ดคนนอกเหนือจากหร่านกวงเย่าที่ถูก
ตัดแขนไปข้างหนึ่ง ก็ได้ถูกหญิงสาวชุดโปร่งดําเรียกมารวมในวิหาร
ใหญ่ และเริ่มวางแผนรับมือในเวลาเริ่มของศึกวันพรุ่งนี้
อันดับแรกแน่นอนว่าคือการมอบ ‘ลูกกลอนวาสนาหยกแดง’
ให้กับคนเหล่านี้เพื่อเพิ่มพลัง
แค่นี้ยังไม่พอ
“ที่นี่ยังมีอาวุธสังหารนอกพิภพบางส่วนอยู่อีก ในช่วงเวลาที่สําคัญ
สามารถพลิกแพ้เป็นชนะได้”
หญิงสาวชุดโปร่งดํามอบอาวุธลับที่เรียกว่า ‘อัสนีความมืดเก้าชั้น
ฟ้า’ บางส่วนให้
“จําเอาไว้ ลัทธิมารภูเขาสู่มีเพียงต้วนสุ่ยเพียงคนเดียว พวกเจ้าแค่
คอยบั่นทอนกําลังเขา หาโอกาสใช้ ‘อัสนีความมืดเก้าชั้นฟ้า’ ทําให้เขา
บาดเจ็บหนัก แค่นี้ภูเขาสู่ก็จบสิ้นแล้ว ไม่จําเป็นต้องปะทะซึ่งๆ หน้าใครสามารถทําให้หลี่มู่บาดเจ็บได้ ข้าจะรับคนผู้นั้นเป็นศิษย์แล้ว
ถ่ายทอดวิชาเซียนนอกพิภพให้ รับคนผู้นั้นเข้าสํานักเซียน”
ในน�าเสียงของหญิงสาว เต็มไปด้วยความยั่วยวนและปลุกระดม
เจ้าสํานักทั้งเจ็ดล้วนตาเป็นประกาย
พวกขเมองเห็นความหวังและโอกาสที่จะได้เข้าสํานักเซียนแล้ว
…
…
ในห้องสมาธิ
“พลังจิตรู้สึกว่าแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก ราวกับกลายเป็นของเหลว
ก็มิปาน เทียบกับสภาพก่อนหน้าแล้วไม่เหมือนกันเลย”
หลี่มู่นั่งขัดสมาธิอยู่
เขาพยายามทําความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงของพลังใน
ร่างกายอย่างละเอียดหลังเข้าสู่ขั้นทะลวงสวรรค์
นอกจากมีการเปิดเส้นชีพจรอย่างมากมาย นอกเหนือจากปราณ
แท้บริสุทธิ์ที่ไหลเวียนอยู่ภายในเส้นชีพจรที่อําพรางและไม่ให้คนรับรู้
ได้บางส่วนแล้ว หลี่มู่ยังค่อยๆ พบว่า พลังจิตของตนเองได้เกิดการเปลี่ยนแปลง แตกต่างจากก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง สามารถควบคุมได้
ตามใจนึกมากขึ้น เพียงแค่คิดก็สามารถเรียกออกมาได้ทันที
“นี่ไม่ใช่พลังจิตธรรมดาแล้ว ถ้าหากข้าจําไม่ผิดล่ะก็ ถ้าดูจาก
คําศัพท์การบําเพ็ญของพวกผู้บําเพ็ญนอกพิภพพูดกัน นี่ก็คือปัญญา
เทพ”
หลี่มู่รู้สึกเข้าใจอย่างชัดแจ้ง
เขาเคยเห็นวิชาลับและวิชาของพวกสํานักนอกพิภพมากมายอย่าง
สํานักมารฟ้า สํานักอาทิตย์ทอง สํานักกระบี่ลอยลม วังประสานฟ้า
มาแล้ว โดยเฉพาะการแบ่งขั้นบําเพ็ญของขั้นทะลวงสวรรค์ เค้าโครง
และทฤษฎีได้เข้าใจบางส่วนแล้ว
ในนั้นเกี่ยวกับพลังจิต ก็มีการแบ่งขั้นเช่นกัน ในขั้นที่ต�ากว่าทะลวง
สวรรค์จะถูกเรียกว่าพลังจิต แต่เมื่อเข้าสู่ขั้นทะลวงสวรรค์ก็จะถูก
เรียกว่าปัญญาเทพ
ในสํานักนอกพิภพ มีวิชาลับบางส่วนที่ฝึกฝนปัญญาเทพ
โดยเฉพาะ
ปัญญาเทพก็เหมือนกับพลังปราณแท้ เป็นพลังของผู้บําเพ็ญ
ประเภทหนึ่ง มีพลานุภาพและความสามารถแตกต่างจากพลังปราณแท้อย่างสิ้นเชิง อุปกรณ์หลอม ยาลูกกลอน ยันต์ ค่ายกลต่างๆ มากมาย
ล้วนจําเป็นจะต้องมีปัญญาเทพที่แข็งแกร่ง
ในด้านนี้ ซินแสเฒ่าก็เหมือนจะเคยพูดไว้เหมือนกัน
หลี่มู่พยายามทําความเข้าใจผลอันมหัศจรรย์ของปัญญาเทพ
ค่อยๆ เคลิบเคลิ้มไป
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งคืน
ขณะที่อาทิตย์สาดแสงออกมาจากชั้นเมฆฝั่ งตะวันออก ย้อมเมือง
ไป๋ตี้ทั้งเมืองจนเป็นสีแดงฉาน หลี่มู่ได้สิ้นสุดการปิดด่านระยะสั้นลง
ด้านนอกห้องสมาธิ
เหล่าผู้แข็งแกร่งภูเขาสู่อย่างหลงอู่ คุณชายเงาจันทร์ เสี่ยวหลงโส่ว
คุณชายกระบี่เพลงพิณ ล้วนเฝ้ารออย่างเงียบๆ ด้วยความเคารพ
หลี่มู่ในตอนนี้ แบกรับความหวังทั้งหมดของภูเขาสู่เอาไว้
“ออกศึก”
หลี่มู่ไม่ต้องการพูดปลุกใจอะไรมากมาย เดินขึ้นไปบนกระสวยแสง
เทพทันที
การจะทําภูเขาสู่ให้รุ่งเรือง ต้องพึ่งพาพลังที่แท้จริง ไม่ใช่ลมปากวันนี้จะเป็นวันลบล้างความอับอาย
หลี่มู่จะทําให้ดาวทุรกันดารทั้งดวงรู้ว่า ภูเขาสู่จะกลับมาปกครอง
ฟ้าดินอีกครั้ง และจะทําให้บดขยี้ให้เก้าสํานักกลายเป็นฝุ่นธุลีใน
ประวัติศาสตร์ไป และจะทําให้พวกผู้บําเพ็ญนอกพิภพที่หลบซ่อนอยู่
ในเงาเหมือนผีจากแดนมืดได้ลิ้มลองรสชาติของพลังความโกรธที่มา
จากดาวโลก
กระสวยบินแหวกอากาศ เพียงพริบตาได้มาอยู่ตรงหน้าเวทีลอย
เวทีลอยนี้ หลี่มู่ตอนนั้นก็เคยขนหินเข้ามาก่อสร้างอยู่
ในตอนนี้ เขาเดินออกจากเกราะแสงคุ้มกันกระสวยทีละก้าวๆ
เหยียบลงบนอากาศ ก้าวขึ้นสู่เวที
“จ้าวลัทธิภูเขาสู่ต้วนสุ่ยหลิวอยู่ที่นี่แล้ว ใครจะเข้ามารับความ
ตาย?”
หลี่มู่มองไปยังขบวนเรือเหาะของเก้าสํานักที่หนาแน่นเป็นชั้นๆ ฝั่ ง
ตรงข้าม พูดขึ้นอย่างช้าๆ
ความมั่นใจและพลังที่ไร้เทียมทาน ปะทะขยี้ออกไปเพียงแค่ประโยคเดียว สายตาของคนๆ เดียว ก็ทําให้เหล่าผู้
แข็งแกร่งเก้าสํานักนับพันรู้สึกราวกับบนศีรษะถูกหินขนาดมหึมากดทับ
เอาไว้จนแทบจะหายใจไม่ออก
………………………………………