จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 561 สะพานเทพ
หากจะพูดจากระดับ ตัวเขาสามารถเรียกว่า ‘ดาบหอกแทงไม่เข้า’
ได้แล้ว
จากการแช่อยู่ในกระแสวิญญาณบัวคราม เข้าสู่ทะลวงสวรรค์ เป็น
การเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะของพลังชีวิต ไม่ว่าจะเป็นปราณแท้ กาย
เนื้อหรือว่าจะเป็นจิตสํานึก ล้วนยกระดับขึ้นจากการเปลี่ยนแปลง ด้วย
พลังบําเพ็ญระดับต้นขั้นสามัญของสาวชุดโปร่งสีดํา ต่อให้มือถืออาวุธ
สมบัติเต๋าก็ยังยากที่จะทําอันตรายหลี่มู่ได้
แน่นอน ถ้าหากเจอกับผู้แข็งแกร่งขั้นสูงกว่าขั้นสามัญหรือขั้น
นักรบ ก็คงจะไม่กล้าอวดเบ่งถือดีเช่นนี้
แต่อย่างน้อยขณะที่เผชิญหน้ากับคู่มือระดับสาวชุดโปร่งดํานี้ หลี่มู่
จึงอยู่ในตําแหน่งที่ไร้พ่าย
ลมพัดเสื้อผ้ากะรุ่งกะริ่งของหลี่มู่ไปมา ทว่าผิวหนังภายใต้รอยขาด
จากกระบี่ กลับไม่มีรอยแผลแม้แต่น้อยสีหน้าของหญิงสาวชุดโปร่งดําทั้งเขียวทั้งแดง เต็มไปด้วยความไม่
ยินยอม แต่ก็เหมือนกับ ‘พยัคฆ์กินเม่น’ ไม่สามารถลงกรงเล็บได้ ไม่มี
วิธีการจัดการ
ผลลัพธ์เช่นนี้ทําเอาแผนการทั้งหมดตั้งแต่นางลงมาเยือน
กลายเป็นเรื่องขําขันไปเลย
นางรู้สึกว่าตนเองเหมือนกับตัวตลกที่มาทําการแสดง ตนเองคิดว่า
กําลังเย้าหยอกคนอื่นอยู่ ทว่าท้ายสุดคนที่ถูกหยอกกลับเป็นนางเสียเอง
“เจ้าอย่าพึ่งรีบดีใจเกินไป” นางสงบใจลงมาได้ จ้องมองที่หลี่มู่
ค่อยๆ เดินถอยหลัง เอ่ยขึ้นว่า “ต่อให้ข้าสังหารเจ้าไม่ได้ แต่ว่าเจ้าก็ทํา
อะไรข้าไม่ได้เช่นกัน วิชาของ‘หอสังหารอาภรณ์ดํา’ ที่ซ่อนเร้นอําพราง
ไว้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะต้านทานได้ ข้าเปลี่ยนความคิดแล้ว ข้าจะส่งข่าวเรื่อง
ที่เจ้าอยู่บนโลกใบนี้ออกไป พอถึงตอนนั้น ผู้แข็งแกร่งทั่วทั้งเขตดารา
เทพวีรชนก็จะลงมาเยือนและไล่ล่าสังหารเจ้าอย่างไม่หยุด จะช้าหรือ
เร็วเจ้าก็ตายอยู่ดี”
ในเมื่อสังหารหลี่มู่ไม่ได้ ก็หนีก่อนแล้วกัน
ถึงอย่างไรขอแค่ขายข่าวที่หลี่มู่อยู่บนดาวทุรกันดารดวงนี้ออกไป
ก็ยังสามารถรับเงินรางวัลก้อนใหญ่ได้
กําขี้ดีกว่ากําตดหลี่มู่เมื่อได้ยิน หัวเราะเหอตอบกลับ “หนี? เจ้าจะหนีไปไหนได้
กัน?”
พอเสียงหาย
ใต้เท้าหลี่มู่มีวงแสงแผ่ออกมาเป็นชั้น จากนั้นส่วนในเวทีลอย
ทั้งหมดราวกับมีคลื่นพลังบางอย่างถูกกระตุ้นขึ้น พลังมหัศจรรย์ยอด
เยี่ยมวูบหนึ่งหลั่งไหลออกมากะทันหัน เปล่งแสงขึ้นฉับพลัน ลําแสง
หลายสายพุ่งขึ้นมาจากรอบๆ เวทีจนรวมกันเป็นกรงขนาดยักษ์ ครอบ
ทับลงมาบนเวทีลอยทั้งหมดราวกับกรงนก
“อะไรกัน?”
หญิงสาวชุดโปร่งดําหน้าถอดสี ตระหนักได้ว่าแย่แล้ว
ร่างของนางค่อยๆ จางลงเปลี่ยนเป็นกระแสอากาศ ทดสอบ
หลบหนี ทว่าก็ถูกพลังของกรงแสงดีดลอยกลับเข้ามาในพริบตา
ไม่สามารถทําการล่องหนได้
นี่เป็นพลังของค่ายกล
ค่ายกลแฝงไว้ด้วยพลังแห่งฟ้าดิน มีปราณแห่งมรรคาอันยิ่งใหญ่
ไหลเวียนอยู่ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นนักรบหรือสูงกว่า ขอแค่ตกอยู่ในค่ายกลก็
ล้วนมีอันตรายถึงขั้นดับสูญทั้งสิ้น
“เจ้า…เจ้า…ตั้งแต่เมื่อไร…” หญิงสาวชุดโปร่งดําจ้องมองหลี่มู่ ใน
ดวงตามีทั้งความตกตะลึงและลุกลี้ลุกลน
หลี่มู่ถนัดค่ายกล เรื่องนี้ขณะที่อยู่ในศึกสุสานเทพก็ได้ถูกพิสูจน์ไป
แล้ว
กระทั่งคนจากสํานักค่ายกลสวรรค์ก็ยังน�าลายสอต่อวิชาค่ายกล
ของเขา
แต่ต่อให้เป็นนักค่ายกลที่แข็งแกร่งเพียงใด การจะวางค่ายกลก็ยัง
ต้องใช้เวลา แล้วหลี่มู่ใช้เวลาไหนจึงสามารถเข้ามาวางค่ายกลกักขังอัน
น่ากลัวนี้ได้อย่างไร้ซุ่มเสียง?
ค่ายกลนี้สามารถกักขังนาง จะต้องเป็นค่ายกลระดับสูงมาก
แน่นอน ทว่ายิ่งเป็นค่ายกลระดับสูง การจะวางมันก็ต้องใช้เวลาและ
ประสบการณ์มากไปด้วย เป็นไปไม่ได้ที่จะแค่ร่ายก็มีค่ายกลออกมา
หลี่มู่เอ่ยขึ้นจางๆ “ก่อนหน้านี้จูน่งจากตระกูลค่ายกลเคยบอกว่า
เวทีลอยนี้ เขาเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง แต่จริงๆแล้วเขาพูดผิดไปถนัด
เลย”สมองของหญิงสาวชุดโปร่งดํามีประกายแวบผ่าน จากนั้นก็มีการ
ตอบสนองขึ้นทันที
ให้ตายเถอะ!
เจ้าโง่เอ๊ย!
สารเลว!
นางสบถคําด่าทั้งหมดออกมาในใจ
เจ้าพวกขยะสํานักกระบี่ทะเลประจิม
ก่อนหน้านี้ หลี่มู่ได้แฝงเข้าไปอยู่ในสํานัก ปลอมตัวเป็นผู้ใช้
แรงงาน ทุกวันไปย้ายก้อนหินเพื่อมาสร้างเวทีลอย
แล้วหลี่มู่เป็นใครกัน?
สํานักใหญ่ๆ ในเขตดาราเทพวีรชนตั้งมากมายก็ถูกเขาไล่สังหาร
จนเกือบหมด
เจ้าพวกโง่อย่างสํานักกระบี่ทะเลประจิมดันให้เขาไปเป็นคนสร้าง
เวทีลอย เดิมทีเป็นแผนการสุดท้ายที่เอาไว้รับมือกับพวกลัทธิมารภูเขา
สู่ ตอนนี้กลับกลายมาเป็นอาวุธสังหารขนาดยักษ์ในมือหลี่มู่เสียแล้ว
แล้วจะเป็นเรื่องดีได้อย่างไร? หญิงสาวชุดโปร่งดําทั้งโกรธทั้งร้อนรนและหวาดกลัวจนถึงขีดสุด แต่กลับไม่ยอมคิดเลย ว่าคนระดับอย่างหลี่มู่
สํานักกระบี่ทะเลประจิมจะไปป้องกันได้อย่างไรกัน?
“เดิมทีคิดจะใช้จับปลาหลายตัวหน่อย ไม่คิดเลยว่าความละโมบ
ของเจ้า จะทําให้การเตรียมการของข้าทั้งหมดเสียแรงเปล่า เช่นนั้นเจ้า
ก็ใช้ความตายมาชดใช้แล้วกัน”
หลี่มู่พูดพลางลงมือ
ค่ายกลนี้เขาวางไว้เพื่อรับมือกับผู้ฝึกฝนนอกพิภพ
หลี่มู่ในตอนนั้นที่ยังไม่เข้าสู่ขั้นทะลวงสวรรค์ ดังนั้นจึงยังรู้สึกเกรง
กลัวต่อผู้ฝึกฝนนอกพิภพอย่างมาก
หลี่มู่ในตอนนั้นที่แฝงตัวเข้ามาอยู่ในสํานักกระบี่ทะเลประจิม ก็
เพื่อที่จะเข้ามาหาข่าวสาร และแอบทําเรื่องอะไรบางอย่างเตรียมการ
ไว้ล่วงหน้า เพื่อที่จะรับมือกับผู้ฝึกฝนนอกพิภพ ไม่คิดเลยว่า ด้วยความ
ละโมภของหญิงสาวชุดโปร่งดํา จึงจงใจต้องตัดขาดข่าวสารจากโลก
ภายนอก รวมไปถึงไม่ให้พวกผู้ฝึกฝนนอกพิภพลงมาเยือน ตอนรวบแห
จึงติดแหมาเพียงแค่หญิงสาวชุดโปร่งดําคนเดียว
หญิงสาวชุดโปร่งดําสะดุ้งผวา รีบใช้วิชาพรางตัวเพื่อหลบหนีอย่าง
บ้าคลั่งทว่าหลี่มู่ทีต่หยิบยืมพลังของค่ายกล ได้แข็งแกร่งเกินระดับที่จะ
จินตนาการได้ไปแล้ว ภายในค่ายกลทั้งหมดไม่มีจุดไหนที่จะอําพรางตัว
ได้ เขายื่นมือออกไปคว้าอากาศ จับเอาคอของหญิงสาวชุดโปร่งดํา
ออกมาบิดเบาๆ กร๊อบ คอขาวนวลของหญิงสาวถูกเด็ดจนหัก
“เจ้า….อั่ก….” หญิงสาวชุดดําดิ้นรนถีบเท้ากระโดด แต่ก็ไม่
สามารถสลัดให้หลุดได้
พริบตานี้เองราวกับเวลาหมุนกลับ กลับไปอยู่ในช่วงครั้งศึกสุสาน
เทพ หลี่มู่ในตอนนั้นทําให้นางรู้สึกว่าแข็งแกร่งจนเหมือนเหลวไหล อยู่
ในระดับแทบจะไร้พ่าย
จังหวะได้กลับมาอยู่ในวงโคจรอันคุ้นเคยของหลี่มู่อีกครั้ง
เมื่อค่ายกลบนเวทีลอยทํางาน หลี่มู่ที่อยู่ด้านในก็เหมือนกับเป็น
เทพเจ้า
หญิงสาวชุดโปร่งดํากระตุ้นพลังขั้นสะพานเป็นตายอย่างไม่หยุด
คิดที่จะดิ้นรน ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังจากกายเนื้อบริสุทธิ์ราวกับสัตว์
ประหลาดของหลี่มู่ การดิ้นรนของนางก็เหมือนกับสัตว์ที่ตกอยู่ในกับดัก
อย่างไรอย่างนั้น ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง กระทั่งแค่นิ้วของหลี่มู่ก็ยังไม่สามารถ
เขย่าโยกได้พลังแห่งเปลวไฟจักรพรรดิจากการกระตุ้นปราณแท้บริสุทธิ์
แผ่ซ่านออกมาจากกลางฝ่ามือของหลี่มู่
ในดวงตาของหญิงสาวชุดโปร่งดําปรากฏความหวาดกลัวและ
ความสิ้นหวัง
เปลวไฟนี้ทําให้นางรู้สึกถึงการคุกคาม
“ไม่ หลี่มู่ มีเรื่องค่อยพูดค่อยจา เจ้าปล่อยข้าก่อน…” นางเริ่มใช้
คําพูดอ้อนวอน เอ่ยต่อว่า “อย่าสังหารข้า ไว้ชีวิตข้ายังมีคุณค่ากับตัว
เจ้ามากกว่า ข้ารู้ถึงข้อมูลความลับมากมายในเขตดาราเทพวีรชน พวก
เราแลกเปลี่ยนกันได้ ทําธุรกิจกันได้…”
กร๊อบ!
หลี่มู่หักคอของนางที่พึ่งฟื้ นฟูขึ้นมาอีกครั้ง “ไม่จําเป็น”
หญิงสาวคนนี้ลอบวางแผนอยู่เบื้องหลังตั้งมากมาย การที่เจ้า
สํานักสายใหญ่ของภูเขาสู่ต้องมาบาดเจ็บล้มตาย ล้วนมีเงามือของมือ
นางทั้งสิ้น แล้วหลี่มู่ทําไมจะต้องมาทําการค้ากับนาง
ภายใต้การพันรัดของเปลวเพลิง ความเร็วการฟื้ นฟูของหญิงสาว
ชุดโปร่งดําค่อยๆ ช้าลงไฟจักรพรรดิบุกริกเข้าไปตามเส้นชีพจรในร่างกายของนางอย่าง
ไม่หยุด ทําลายร่างกายของนาง ต่อให้เป็นพลังของขั้นสะพานเป็นตาย
และการฟื้ นฟูความเร็วสูง เมื่ออยู่ใต้การกดดันของหลี่มู่ก็ยังคงตามไม่
ทัน
“ทําอย่างไรเจ้าจึงจะยอมปล่อยข้า?” หญิงสาวชุดโปร่งดําร้อนรน
อย่างมาก
หลี่มู่ไม่ตอบ
นางเอ่ยต่อเสียงสูง “ข้าเป็นถึงมือสังหารแห่ง ‘หอสังหารอาภรณ์
ดํา’ เจ้าสังหารข้า ‘หอสังหารอาภรณ์ดํา’ จะไม่ละเว้นเจ้าแน่นอน
จะต้องมีมือสังหารมากมายเข้ามาสังหารเจ้าตอนกินข้าว มาสังหารเจ้า
ตอนหลับ มาสังหารเจ้าตอนดื่มน�า มาสังหารเจ้าตอนงีบ…ต่อให้เจ้า
แข็งแกร่งสักเพียงไหน ก็ไม่สามารถระวังได้ตลอดกาลหรอก การจะ
สังหารข้า สําหรับเจ้าแล้วมันได้ไม่คุ้มเสีย”
หลี่มู่ขี้เกียจที่จะสนทนาพาทีต่อกับหญิงสาวคนนี้แล้ว
ปล่อยนางไปสิถึงจะเป็นรนหาที่ตาย
เปลวไฟจักรพรรดิบุกรุกเข้าไปในร่างกายนาง ไหลเวียนไปตามเส้น
ชีพจรเผาผลาญปราณแท้ จนหลี่มู่สัมผัสได้ถึงแก่นแท้การบําเพ็ญของขั้นสะพานเป็นตาย เส้นชีพจรที่ขั้นทะลวงสวรรค์ไม่สามารถสัมผัสและ
เปิดออกได้ เวลานี้กลับมองทะลุได้อย่างชัดเจน
“หลี่มู่ เจ้ามันโหดร้ายนัก…ข้าจะไปรอเจ้าในยมโลก เจ้าอยู่รอดไป
ได้อีกไม่นานนักหรอก ทั่วทั้งเขตดาราเทพวีรชนล้วนไล่ล่าสังหารเจ้า
ฮ่ะๆๆ…”
หญิงสาวชุดโปร่งดําก็เป็นคนโหดร้ายเช่นกัน เมื่อเห็นว่าอ้อนวอน
ไม่ได้ผล ประกายในดวงตาเปลี่ยนเป็นเหี้ยมโหด ตะโกนสาปแช่ง
ออกมา
ท้ายสุดร่างกายของนาง ได้ถูกเปลวไฟจักรพรรดิแผดเผากลายเป็น
ฝุ่นควันสลายหายไปในอากาศ
เสี้ยวพริบตาสุดท้าย หลี่มู่ได้เห็นสะพานหินที่เกือบจะสร้างเสร็จ
ขึ้นมาในทะเลความรู้สึกอย่างเลือนราง พาดอยู่ที่หน้าประตูจุดหนีหวาน
กง ด้านหนึ่งเชื่อมต่อกับหนีหวานกง อีกด้านหนึ่งพาดอยู่ด้านบนทะเล
ความรู้สึก มองแล้วดูกว้างใหญ่มโหฬาร สงบและยิ่งใหญ่ ส่วนหมอก
ปราณสีดําที่พันวนอยู่บนสะพาน น่าจะเกี่ยวข้องกับวิชาบําเพ็ญของ
หญิงสาวชุดโปร่งดําหลี่มู่เหมือนจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง และตระหนักขึ้นมาได้ว่านี่น่าจะ
เป็นช่วงที่ผู้บําเพ็ญขั้นสามัญกําลังจะสําเร็จสะพานเป็นตาย เป็นลางที่
ปรากฏขึ้นในทะเลความรู้สึก
ในระบบทฤษฎีวิถียุทธ์ของผู้บําเพ็ญทางช้างเผือก ทะเลความรู้สึก
ถูกเรียกอีกชื่อว่าทะเลทุกข์
วิถียุทธ์โบราณเคยว่าไว้ โลกอันกว้างใหญ่ประดุจทะเลทุกข์ สรรพ
ชีวิตมากมาย จอมยุทธ์จะต้องก้าวออกจากทะเลทุกข์ก่อนจึงจะ
สามารถทวนย้อนความเป็นตาย เหล่าปรัชญาเมธีในอดีตที่บุกเบิก
ระบบบําเพ็ญวิถียุทธ์ จึงใช้วิธีการก้าวข้ามทะเลทุกข์ที่เรียบง่ายและดู
สอดคล้องกับความเป็นจริงอย่างมาก นั่นก็คือการสร้างสะพานขึ้น
แน่นอน ว่าการสร้างสะพานนี้กับการสร้างสะพานบนโลกนั้นไม่
เหมือนกัน
เหล่าผู้บําเพ็ญได้เรียกสะพานนี้ว่าสะพานเทพ
เนื่องจากก้าวข้ามสะพานนี้ไปได้ ก็จะสามารถผ่านประตูเป็นตาย
ก้าวข้ามออกจากทะเลทุกข์ ทวนย้อนความเป็นตาย ดังนั้นจึงเรียกว่า
สะพานเป็นตาย
พริบตาสุดท้ายที่กายเนื้อของหญิงสาวชุดโปร่งดําสลายไป หลู่
มองเห็นการคงอยู่ของสะพานนี้ ถึงแม้จะแค่พริบตาเดียว แต่ก็ชี้แนะให้กับหลี่มู่อย่างมหาศาล ที่น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวก็คือ ‘สะพาน
เทพ’ ของหญิงสาวชุดโปร่งดําคนนี้ ยัง ‘เก็บงาน’ ไม่เสร็จ สร้างไว้เพียง
ครึ่งเดียวเท่านั้น อีกด้านของสะพานยังไม่ได้ก้าวข้ามทะเลทุกข์ออกไป
เห็นได้ชัดว่าสาเหตุคือนางยังบําเพ็ญไปไม่ถึง อยู่ในระดับต้นของขั้น
สะพานเป็นตายเท่านั้น
สําหรับหลี่มู่แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสะพานเทพของผู้บําเพ็ญ
ถือว่ามีความหมายต่อการศึกษาค้นคว้าในเส้นทางการบําเพ็ญของเขา
มาก
ย้อนทวนความเป็นตาย ค่อนข้างจะเรียบง่าย เป็นการพูดถึง
คุณลักษณะเดิมของชีวิต
การสําเร็จสะพานเป็นตาย ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถถูก
สังหารได้
เมื่อพบกับการคงอยู่ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า ก็ยังถูกสังหารได้อยู่ดี
แสงดําไหลเวียน วิญญาณของหญิงสาวชุดโปร่งดําปรากฏออกมา
แปรเปลี่ยนเป็นลําแสงคิดจะหลบหนี ทว่าภายใต้ค่ายกลบนเวทีลอยที่ห
ลี่มู่แอบลอบวางไว้อย่างยากลําบาก นางไม่สามารถหนีไปไหนได้หลี่มู่ใช้วิชาเต๋า ขังวิญญาณของหญิงสาวชุดโปร่งดําเอาไว้ในตรา
หยก เตรียมไว้สําหรับการไต่สวนข้อมูลที่เกี่ยวกับเขตดาราเทพวีรชน
อย่างละเอียดภายหลัง
“สังหาร!”
หลี่มู่จับดาบ พุ่งทะลวงตรงไปยังขบวนที่กระเจิดกระเจิงของเก้า
สํานัก
แสงดาบสว่างวาบ
เจ้าสํานักของเก้าสํานักอย่างลู่เทียนฮว่า กงซุนเปี๋ ยหลี เหล่ายอด
ฝีมือทยอยๆ ถูกสังหารจนสิ้น ไม่หลุดรอดออกไปแม้แต่คนเดียว
……………………………………