จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 564 ครึ่งคนครึ่งมังกร
“สู้ตายกับพวกเจ้าปีศาจลัทธิมารชั่วร้ายเหี้ยมโหดพวกนี้แล้ว”
มีผู้อาวุโส คนของสํานักเก่าแก่ขั้นเทวะสูงสุดคนสองคนพุ่งมา คํารามพร้อมลงมือ แต่ก็ไม่มีประโยชน์
หลี่มู่นั่งอยู่บนเรือเหาะ เพียงแค่คิด ‘ฤดูทั้งยี่สิบสี่’ จิตดาบไหลวน ออกมา เส้นสีขาวเล็กบางเส้นหนึ่งกลางอากาศลากผ่านไปร้อยลี้ ฟาด ฟันจนทุกสรรพสิ่งสูญสลาย สังหารในพริบตา
เมืองล่ม
สํานักสูญสลาย
ทรัพยากร ทรัพย์สินและตํารา เคล็ดตําราลับต่างๆ ของสมาพันธ์สี่ เมืองขนขึ้นไปเรือเหาะของภูเขาสู่ ลําเลียงสู่เมืองไป๋ตี้
หลังจากนั้นก็เป็นสามสํานักกระบี่
หลังศึกต่อสู้วันที่สามสิบสํานักกระบี่ทะเลประจิมล่มสลาย
หลังศึกต่อสู้วันที่สามสิบสองสํานักกระบี่ค�าฟ้าล่มสลาย
หลังศึกต่อสู้วันที่สามสิบสี่สํานักกระบี่คีรีบูรพาล่มสลาย
หลังศึกต่อสู้วันที่สามสิบห้าสกุลจูตระกูลค่ายกลล่มสลาย
หลังศึกต่อสู้วันที่สามสิบเจ็ดสกุลกงซุนตระกูลหุ่นกลไกล่มสลาย
เพียงชั่วเวลาสั้นๆ เดือนกว่าๆ ขั้วอํานาจที่หลงเหลือของเก้าสํานัก ก็ถูกกําจัดเกลี้ยง พินาศย่อยยับโดยสิ้นเชิง
ส่วนสํานักเล็กๆ ที่พึ่งพาเก้าสํานักพวกนั้นก็ต้นไม้ล้มวานรลี้หนี หาย ต่างประกาศตัดความสัมพันธ์กับค่ายเก้าสํานัก ยื่นไมตรีให้กับ ภูเขาสู่อย่างร้อนรน
ในโลกดาวทุรกันดาร พลังอํานาจของลัทธิภูเขาสู่ถึงขั้นสูงสุด ในทันที
หัวหน้าเขาราชันมังกรหลงอู่นําคนทําไปทําลายสํานักขนาดกลาง ยี่สิบกว่าสํานักที่ขึ้นกับเก้าสํานักในอดีต ตั้งตัวเป็นศัตรูกับภูเขาสู่หลาย ครั้งหลายครา ทําร้ายลูกศิษย์ของภูเขาสู่ด้วยตัวเอง ถึงจะหยุดการล้าง บางขุดรากถอนโคนครั้งนี้ลง
อาจารย์สุ่ยเยวี่ยส่งทูตออกไปปลอบประโลมเมืองและสํานักอื่นๆ อีกทั้งยังประกาศ ‘นโยบายใหม่ภูเขาสู่’ ด้วยท่าที ‘ปราศจากการทําลาย ล้าง ย่อมไร้การประกอบสร้าง’ เริ่มเปลี่ยนแนวคิดและวัฒนธรรมของ
สํานักยุทธ์โลกดาวทุรกันดาร และเริ่มเปลี่ยนแปลงแนวคิดและ วัฒนธรรมของโลกธรรมดาของโลกดาวทุรกันดาร ท่ามกลางความตื่น ตะลึงและหวาดกลัว ไม่นานแคว้นและเมืองในโลกธรรมดาหลายเมือง อีกทั้งสํานักเล็กและกลางทั้งหลายต่างค้นพบอย่างตกใจว่ากฎระเบียบ ที่ภูเขาสู่ผลักดันนั้นผ่อนคลายกว่าเก้าสํานักในอดีตมาก สําหรับพวก เขาแล้ว ‘การผันเปลี่ยนของฟ้า’ ของโลกดาวทุรกันดารครั้งนี้กลับเป็น เรื่องดี
หลี่มู่กลับมายังเมืองไป๋ตี้แห่งภูเขาสู่
เขาจมอยู่ในคลังอาวุธและหอคัมภีร์ของเก้าสํานักทั้งวัน ย้ายมาอยู่ ในกองหนังสือที่ขนย้ายมาเพื่อสะดวกต่อการอ่านเคล็ดตําราลับและ คัมภีร์โบราณต่างๆ
เจ้าสํานักและยอดฝีมือของเก้าสํานักเมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่มู่แล้วต่าง อ่อนด้อยสิ้นดี แต่อันที่จริงแล้วมรดกวิถียุทธ์ของพวกเขากลับไม่ด้อย เลย มีวิชาที่สามารถฝึกจนถึงขั้นทะลวงสวรรค์ กระทั่งว่ามีวิชาฝึกฝน ขั้นสะพานเทพที่เหนือขั้นทะลวงสวรรค์ขึ้นไปด้วยซ�า สําหรับหลี่มู่แล้ว การอ่านเคล็ดวิชาวิถียุทธ์และตําราลับต่างๆ ไม่ใช่เพียงแค่เปิดโลกให้ กว้างขึ้นเท่านั้น แต่ยังสามารถชดเชยช่องว่างทั้งหลายในเส้นทางการ ฝึกฝนของเขา ทั้งยังสามารถทําให้เขาสามารถขบคิดได้ลึกลงไปอีก ทํา ให้เส้นทางวิถียุทธ์ของตนสมบูรณ์
หินจากเขาลูกอื่นสามารถเจียระไนหยกได้
ในขณะเดียวกัน เขาก็กําลังจัดระเบียบวิชาฝึกฝนที่เหมาะกับคนใน ยุทธจักรของโลกบางวิชาออกมาอย่างพากเพียร
เซียวตง ชิวสุ่ยหมิง ลู่ซวิ่นและลั่วเสวียนซินมาถึงดาวทุรกันดาร ดวงนี้ได้เดือนกว่าๆ แล้ว หากคาดการณ์อย่างละเอียดแล้วเกรงว่าแดน เซียนภูเขาสู่ก็ใกล้จะปิดตัวลงแล้วเต็มที ดังนั้น เวลาที่พวกเขาต้องจาก ไปใกล้จะมาถึงแล้ว หลี่มู่ไม่มีแผนจะกลับโลก จึงคิดจะยืมมือของพวก เขานําเคล็ดวิชาและตําราบางอย่างนําไปเผยแพร่ที่โลก ยกระดับ มาตรฐานของโลก
ดีที่ผ่านการฝึกฝนภูเขาสู่ครั้งนี้ ความสามารถของคนในยุทธจักร และคนในกองทัพจากโลกต่างยกระดับขึ้นเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะผู้มีพรสวรรค์คนหนุ่มสาวทั้งสี่อย่างพวกเซียวตง ลู่ซวิ่น ต่างก้าวเข้าสู่ขั้นฟ้าประทานแล้ว กลับไปยังโลกก็นับได้ว่าเป็นผู้ที่ สามารถต้านทานปัญหาได้เพียงลําพังแล้วอย่างแน่นอน ไม่ด้อยไปกว่า ผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสอย่างลู่เฮ่าหรานเลย จะกลายเป็นบุคคลชั้นยอดใน อารยธรรมวิถียุทธ์ของโลก
หลังจากนั้นสามวัน หลี่มู่ก็จัดการได้ใกล้เรียบร้อยแล้ว
และในตอนนี้ หมอกมิติสีขาวเป็นกลุ่มๆ เส้นๆ ก็เริ่มปรากฏข้าง กายคนจากโลกทั้งหลาย
เวลาที่จะต้องจากไปมาถึงแล้ว
หลี่มู่เรียกรวมคนจากโลกมนุษย์ทั้งหลายมายังตําหนักเซียนโบย บิน
“ความเหี้ยมโหดและการเข่นฆ่าในห้วงดาราสมุทร พวกนายก็เห็น แล้ว การฝึกฝนจากแดนเซียนภูเขาสู่ครั้งนี้สําหรับพวกนายแล้วก็ เหมือนกับเป็นการผจญเคราะห์ครั้งหนึ่ง นําสิ่งที่พวกนายได้เห็น ได้ยิน กลับไปที่โลก” หลี่มู่มองคนทั้งหลาย เอ่ยด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “หากผม เดาไม่ผิดแล้วล่ะก็ ในอนาคตอันใกล้จะมีการเปิดออกของดินแดนลี้ลับ และแดนเซียนมากขึ้นเรื่อยๆ มันอาจจะเชื่อมกับดาวดวงอื่นๆ ในเขต ดาราเทพวีรชน การเปิดออกของแดนเซียนก็ใช่ว่าจะเป็นโอกาสเสียทุก ครั้ง มันอาจจะเป็นเคราะห์ทําลายล้างก็ได้ ในเขตดาราเทพวีรชน สํานัก ที่เป็นปฏิปักษ์กับโลกมีมากมายเหลือเกิน พวกเราก็เหมือนกับสัตว์ตัว เล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าลึกอย่างระมัดระวัง หากเพียงตําแหน่งเปิดเผย ออก สิ่งที่ต้องเผชิญหน้าคือชะตากรรมถูกล้างสังหาร หากอยากมีชีวิต ต่อไปก็ต้องแข็งแกร่งขึ้น”
สีหน้าของคนทั้งหลายจากโลกต่างตึงเครียดเป็นที่สุด
หลี่มู่พูดไม่ผิดเลย สําหรับพวกเขาแล้ว การเดินทางมายังแดน เซียนภูเขาสู่ครั้งนี้เป็นการฝึกฝนที่น่าตื่นตะลึงครั้งหนึ่ง
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ทําให้พวกเขาสัมผัสได้ถึงอันตรายลึกๆ
และพวกเขาก็รู้อย่างลึกซึ้งแล้วว่า หลี่มู่ใช้พลังของตนเพียงลําพัง แบกค�าความปลอดภัยของโลกทั้งใบนี้ไว้อย่างไร
ไม่กล้าจินตนาการเลยว่า หากไม่มีหลี่มู่แล้วล่ะก็ ในแดนเซียนภูเขา สู่ครั้งนี้ พวกเขาจะเจอกับชะตากรรมเช่นไร โลกทั้งใบจะเจอกับภัย พิบัติแบบใด
คนคนหนึ่งแบกค�าโลกทั้งใบ
ประโยคนี้นํามาใช้กับหลี่มู่ในตอนนี้ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย
หลี่มู่มอบเคล็ดวิชาและตําราลับให้กับคนทั้งหลาย
ทรัพยากรที่มอบให้คนในยุทธจักรบนโลกนําไปใช้ได้บางอย่าง ภูเขาสู่ก็จัดเตรียมใส่ไว้ให้ในมิติเก็บของเอาไว้เรียบร้อยนานแล้ว แล้ว มอบมันให้กับทุกคน
หมอกมิติที่พันล้อมรอบกายพวกเซียวตงหนาขึ้นเรื่อยๆ
“อาจารย์!” จู่ๆ เซียวตงก็เอ่ยขึ้น โค้งคํานับอย่างเคารพนอบน้อม “ขอบคุณครับ”
คนอื่นๆ ก็ล้วนทําความเคารพหลี่มู่อย่างพร้อมเพรียงกัน
คนในยุทธจักรโค้งคํานับ
ทหารทําวันทยาหัตถ์
มีเพียงได้เห็นกับตาเท่านั้น ถึงจะเข้าใจความยิ่งใหญ่ของเขา
ที่เรารู้สึกว่าวันคืนสุขสงบเป็นเพราะมีคนแบกภาระฝ่าไปข้างหน้า แทนเราอยู่
และหลี่มู่ในตอนนี้ก็คือคนที่แบกภาระฝ่าไปข้างหน้าคนนั้นอย่างไม่ ต้องสงสัย
ความหนักหน่วงของมัน คนอื่นยากจะจินตนาการได้
ชิวสุ่ยหมิง ลั่วเสวียนซิน เซียวตงและลู่ซวิ่นทั้งสี่คน นอกจากลู่ซวิ่น ที่มีวิชามรดกตกทอดจากตระกูลแล้ว คนอื่นๆ ทั้งสามคนล้วนเป็นคน ที่หลี่มู่ปั้ นขึ้นมากับมือ ความนับถือบูชาของทั้งสี่ที่มีต่อหลี่มู่พูดได้ว่าลึก ลงไปถึงกระดูก แต่ละคนต่างแอบสาบานในใจว่าจะต้องตั้งใจเพียร พยายามฝึกฝน พยายามไปถึงขอบเขตทะลวงสวรรค์ของวิชาฝึกลม
หายใจสิบสองขั้นให้ได้เร็วๆ มีพลังไปจากห้วงดาราสมุทร แบ่งเบาภาระ และความกดดันของอาจารย์ สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา หมอกค่อยๆ หนาขึ้น สุดท้ายมันก็ล้อมคนทั้งหลายเอาไว้โดยสมบูรณ์ เมื่อหมอกขาวสลายไป คนจากโลกทั้งหลายก็หายไปหมดแล้ว
ตําราลับเคล็ดวิชาและทรัพยากรฝึกฝนที่เตรียมเอาไว้เรียบร้อย พวกนั้น พวกเขาก็เอากลับไปสําเร็จแล้วเช่นกัน
นี่ได้ประโยชน์จากที่ฆ่ามังกรร้ายสีดําตัวนั้นที่ตะวันออกกลาง หลี่มู่ ได้สิ่งของในมิติลี้ลับแดนเซียนและวิชาที่สิ่งมีชีวิตบางอย่างนํามาทําให้ สําเร็จบนโลกได้จากความทรงจําของมัน มิฉะนั้น ของพวกนี้จะนํากลับ โลกไปได้ทั้งหมดหรือไม่ก็ยังไม่รู้
ในตําหนักเซียนโบยบินวังเวงไปในทันที กลับไปแล้ว
หลี่มู่รู้สึกเศร้าหมอง คนอยู่ข้างนอก ทําไมจะไม่คิดถึงบ้านเล่า? บ้านของเขาคือโลก เขาเองก็อยากกลับไปเหมือนกัน
หวังว่าครั้งหน้ายามที่กลับโลก จะมีผู้แข็งแกร่งบนโลกที่เหมือนกับ ลู่เฮ่าหราน กู่ลั่ง อัจฉริยะคนหนุ่มสาวทั้งสี่เติบโตพัฒนาขึ้นอีกมากมาย ยามเผชิญหน้ากับผู้ฝึกฝนนอกพิภพก็ต่างสามารถสู้ได้ซึ่งหน้า รักษา เกียรติและศักดิ์ศรีของระบบสุริยะจักรวาลได้
ในยามที่หลี่มู่กําลังทอดถอน ติงอี้ก็เข้ามาอย่างเร่งร้อน
เขาเอ่ยอย่าลึกลับ “ข่าวดี ข้าบอกเจ้าทันทีเลยนะเนี่ย เจ้าได้ยิน แล้วจะต้องยิ้มหน้าบานแน่”
หลี่มู่สัมผัสเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย “ธิดาเทพอู๋เหินออกจากด่านแล้ว” ติงอี้เบ้หน้า “แอบโกงใช่ไหมนี่”
……
ข้างสระบัวมรกต อักขระตัวอักษรจีนสีเงินค่อยๆ หม่นแสงจางลงไป
ค่ายกลคุ้มกันสีเขียวค่อยๆ หายไปเหมือนกับน�าแข็งแผ่นบาง ละลายท่ามกลางแดดกล้า
กลิ่นอายแข็งแกร่งและจิตกระบี่เหี้ยมโหดทะลักล้นออกมาจาก กลิ่นอายสมบัติบัวมรกตในสระ ทําเอาคนทั้งหลายที่รออยู่รอบๆ ต่าง หน้าเปลี่ยนสี ถอยหลังกรูด
หนึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ สระบัวมรกตแห่งนี้มีสภาวะผิดปกติ ทหาร ยามรายงานต่อหลงอู่และสุ่ยเยวี่ย ผู้นําระดับสูงของภูเขาสู่ต่างพอจะรู้ ว่านี่น่าจะเป็นเยี่ยอู๋เหินออกจากด่านแล้ว ดังนั้นจึงมารวมตัวกันที่นี่ รอ คอยอย่างใจเย็น และตอนนี้ ในที่สุดก็รอคอยถึงช่วงเวลานั้นแล้ว
ในบันทึกลับของภูเขาสู่มีตํานานเกี่ยวกับ ‘กลายร่างเป็นมังกร’ ใน สระบัวมรกต
แต่เดิมทุกคนคิดว่าเจ้าลัทธิต้วนสุ่ยหลิวเข้าไปในนั้นจะเป็นการ พิสูจน์ตํานาน ‘กลายร่างเป็นมังกร’ แต่ภายหลังหลี่มู่ออกจากด่าน พลัง พุ่งเพิ่ม ก้าวสู่ขั้นทะลวงสวรรรค์ สยบโลกดาวทุรกันดาร ไร้ผู้เทียบเทียม แต่กลับไม่ได้แสดงพลังที่เกี่ยวกับ ‘กลายร่างเป็นมังกร’ ที่บันทึกเอาไว้ ในบันทึกลับ ไม่ค่อยเหมือนกับในตํานานสักเท่าไหร่ ดังนั้น โอกาส ‘กลายร่างเป็นมังกร’ นี้น่าจะพิสูจน์ที่เยี่ยอู๋เหิน ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงยิ่ง วาดหวังต่อการออกจากด่านของเยี่ยอู๋เหินมากกว่า
กลิ่นอายในสระบัวมรกตตอนนี้ถาโถมทะลักล้นไม่เป็นรองกลิ่น อายขั้นทะลวงสวรรค์เลย จิตกระบี่เหี้ยมโหดแต่ละทางๆ วิ่งพุ่ง มีเสียง มังกรคํารามอย่างรางๆ
ท่ามกลางหมอกสีเขียวเหมือนว่ามีกรงเล็บมังกร ทั้งยังมีเกล็ดมังกร ปรากฏขึ้นรางๆ วารีดอกบัวมรกตในสระเดือดพล่าน พลังกดดันที่ยาก จะบรรยายแผ่มา ทําเอาคนทั้งหลายต่างมีความคิดอยากจะลงไป คุกเข่าหมอบเคารพชั่ววูบ
หลี่มู่และติงอู่ตามมาอย่างรีบร้อน
“เจ้าลัทธิ”
คนทั้งหลายทําความเคารพ
หลี่มู่โบกมือ สายตามองไปยังสระบัวมรกต
เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ทําให้เขาหวาดระแวงเป็นอย่างมาก
“นี่ก็คือ ‘กลายร่างเป็นมังกร’ หรือ?”
หลี่มู่ตกใจ
มรดกที่หลี่ไป๋ทิ้งไว้ให้แข็งแกร่งเช่นนี้เชียว เยี่ยอู๋เหินเป็นแค่จอม ยุทธ์พลังฝึกตนขั้นมหาเทวะเท่านั้น สุดท้ายนี่แค่ไม่กี่วันเอง กลับ ยกระดับจนถึงขั้นทะลวงสวรรค์แล้ว?
อีกทั้ง จิตกระบี่ถาโถมไหลวนเช่นนี้ คือจิตกระบี่จอมยุทธ์พเนจร วิชากระบี่ที่หลี่ไป๋เชี่ยวชาญที่สุด ดูแล้วคงจะถ่ายทอดให้เยี่ยอู๋เหินจน
หมดสิ้น อีกทั้งเยี่ยอู๋เหินยังศึกษามันได้ในเวลาสั้นแค่นี้ ความแข็งแกร่ง ของพลัง ผู้แข็งแกร่งทะลวงสวรรค์ทั้งไปไม่กล้าต้านทานเลย… นี่ก็คือ ‘กลายร่างเป็นมังกร’ ที่ว่า ค่อนข้างร้ายกาจแฮะ
ในขณะที่เขากําลังขบคิด หมอกสีเขียวก็เกิดเป็นระลอกซัด ร่างสูง โปร่งร่างหนึ่งเดินออกมาจากในนั้น
อัตราส่วนรูปทรงที่สมบูรณ์แบบ ขาที่เรียวยาว เอวบางกิ่ว หน้าอก ที่อิ่มตึง ผมยาวสีเขียวมรกต เป็นเยี่ยอู๋เหินที่ปิดด่านไปนานนั่นเอง
เพียงแต่ตอนนี้ สภาพของนางแปลกออกไปเล็กน้อย เกล็ดมังกรสี เขียวอ่อนปกคลุมทั่วร่างกาย แผ่ประกายแสงน่าอัศจรรย์ ประหนึ่งชุด เกราะแบบนั้น ทําให้คนดูแล้วไม่เหมือนของจริง แม้แต่แก้ม ขอบตาต่าง มีเกล็ดมังกรละเอียดสีเขียวสว่างปกคลุม ผมยาวสีเขียวสยายลงมาปรก หน้าผาก มีเขาขนาดนิ้วโป้งงอกออกมา มีความงดงามแบบร้ายกาจ เหมือนเป็นเทพธิดาครึ่งคนครึ่งมังกร
ธิดามังกร?
หลี่มู่อึ้งไปเล็กน้อย
ติงอี้พึมพําอยู่ข้างๆ “นี่น่าสนใจแฮะ ไม่รู้ว่าต้งเสวียนจื่อวิชาร่วม หอสามสิบหกท่าจะมีผลต่อธิดามังกรหรือไม่…”
……………………………………………………