จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 566 ทรัพย์สมบัติ
วันที่สอง เยี่ยอู๋เหินมายังวิหารเซียนทะยานตั้งแต่เช้า
“ขอบคุณท่านมาก” นางเอ่ยกับหลี่มู่อย่างตั้งใจ
นี่เป็นการขอบคุณที่หลี่มู่ช่วยชีวิตนิรนาม รวมไปถึงการคอยดูแล คุณย่าเยี่ยก่อนที่นางจะออกจากด่าน
หลี่มู่ยิ้มๆ ตอบกลับว่า “ทําไมต้องเกรงใจขนาดนั้น ตอนแรกเจ้าก็ ไปช่วยข้าที่ยอดเขาโต๊ะอย่างไม่คิดชีวิตจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด เช่นกัน…ในบ้านเกิดของข้ามีประโยคหนึ่งว่าไว้ ใครดีด้วยจงดีตอบ ใคร ดีกับข้า ข้าก็จะดีกับเขากลับเช่นกัน”
ใบหน้าของเยี่ยอู่เหิน ปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะได้เห็นขึ้น เจิดจ้าราว แสงฤดูใบไม้ผลิ
ชั่วครู่ เหล่าระดับสูงของภูเขาสู่ล้วนมารวมตัวกันที่วิหารเซียน ทะยาน
สีหน้าของเยี่ยอู๋เหิน ได้กลับไปเป็นเรียบสงบตามเดิมอีกครั้ง นําพา กลุ่มคนตรงไปยังคลังยุทธ์อําพรางที่หลี่ไป๋ทิ้งเอาไว้
หลังจากที่เปิดเส้นทางลับที่กระทั่งเจ้าสํานักสายใหญ่ก็ยังไม่รู้ออก บางส่วน ใจกลางยอดเขาไป๋ตี้ใต้สระบัวคราม ประตูคลังยุทธ์ขนาดใหญ่ ถูกอู่เยี่ยเหินใช้วิชาลับเปิดออก โลกมิติขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ค่อยๆ เปิด ออกต่อหน้าคนทุกคน ด้านในกองเต็มไปด้วยอัญมณี ชุดเกราะ อาวุธ และยังมีเงินทองล�าค่าของโลกทั่วไปอยู่ด้วย รวมไปถึงแผนการลับ ตําราลับแตกแยกอีกหลายสาย กองรวมกันเหมือนภูเขาอย่างไรอย่าง นั้น จนทําให้คนต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อมอง
เวลาเดียวกัน กลางอากาศยังมีเงาแสงเป็นสายๆ กําลังส่องแสง ระยิบระยับ เป็นเงาสะท้อนภาพวิถียุทธ์ของวิชาและกระบวนท่ายุทธ์ ต่างๆ มากๆมาย
ทุกคนล้วนรู้สึกลานตาไปหมด “พระเจ้า” “ข้าไม่เคยรู้เลยว่ามีสถานที่นี้อยู่ด้วย” “ไม่น่าเชื่อเลย”
ต่อให้เป็นพวกของจ้าวเขาราชันมังกรอย่างหลงอู่ นั่งแท่นอยู่ใน เมืองไป๋ตีมาหลายปีก็ยังไม่เคยรู้มาก่อน ว่าใต้ยอดเขาไป๋ตี้จะมีคลัง สมบัติเช่นนี้อยู่ด้วย
นั่งอยู่บนภูเขาสมบัติแท้ๆ แต่กลับไม่รู้ตัวเลย
“ถ้าเกิดเปิดคลังสมบัตินี้ไวกว่านี้ ภูเขาสู่ของพวกเราไยต้องไปกลัว เจ้าพวกเก้าสํานัก เราคงบดขยี้พวกเขาไปนานแล้ว” หลงอู่เอ่ยขึ้นอย่าง ตื่นเต้น
มีทรัพยากรมากมายเช่นนี้ อนาคตของภูเขาสู่สามารถเข้าสู่ยุคการ พัฒนาอย่างโจนทะยานแน่นอน
คุณชายเงาจันทร์ “ก็ไม่แน่ ถ้าหากคลังสมบัติถูกเปิดขึ้นมาก่อน หน้า น่ากลัวว่าพวกเรายังไม่ทันจะได้ใช้ คงจะถูกสํานักนอกพิภพบดขยี้ เสียก่อนแล้ว”
เยี่ยอู๋เหินพยักหน้า เอ่ยต่อว่า “ท้านจ้าวลัทธิเก่าแก่ก็พูดไว้เช่นนั้น ก่อนหน้าที่ท่านจะจากไป ภูเขาสู่แตกระแหงกระจัดกระจาย ไม่สามารถ ร่วมมือกันได้อย่างจริงใจ ถ้าหากข่าวของคลังสมบัติถูกเผยออกไป การ กระตุ้นให้สายต่างๆ เข้ามาแย่งชิงกันเองยังไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่เลวร้าย ที่สุด ถ้าหากข่าวแพร่ออกไปจนเก้าสํานักก็เข้ามาร่วมแย่งชิง พวกเรา คงรักษาคลังสมบัตินี้ไว้ไม่ได้แน่นอน”
เมื่อพูดเช่นนี้ เจ้าสํานักสายต่างๆ ล้วนใบหน้าร้อนฉ่ากันขึ้นมา
ก่อนหน้านี้ พวกเขาก็โต้เถียงช่วงชิงกันจริงๆ จนทําให้ภูเขาสู่ เหมือนเม็ดทรายที่กระจัดกระจายตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบ ภูเขาสู่ใน
วันวานน่าเกรงขามขนาดไหน แต่เมื่อเก้าสํานักมาอยู่ต่อหน้าภูเขาสู่ ก็ ทําได้เพียงตัวสั่นงันงกเท่านั้น ภายในถดถอยแต่ต้องรับมือกับแรงกดดัน ภายนอก ส่งผลให้ภูเขาสู่แย่ลงทุกวัน ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะจ้าวลัทธิต้ วนสุ่ยหลิวมาออกหน้า น่ากลัวว่าภูเขาสู่คงได้กลายเป็นชื่อใน ประวัติศาสตร์ไปแล้ว และพวกเขาก็จะกลายเป็นคนผิดบาปแห่งภูเขาสู่ ไป
ในใจหลี่มู่เห็นพ้องกับความเห็นนี้
ครั้งนี้เพียงแค่มีการทะลักของปราณสมบัติบัวคราม ก็ยังดึงดูดเอา ความอยากครอบครองของเก้าสํานักและสํานักนอกพิภพ จินตนาการ ได้เลย ถ้าหากข่าวคราวคลังยุทธ์ของเซียนกระบี่บัวครามหลี่ไป๋หลุด ออกไป จะต้องดึงดูดเอาคลื่นลูกใหญ่เข้ามาเป็นแน่ ด้วยพลังของภูเขาสู่ ในปัจจุบันไม่มีทางป้องกันอยู่
เซียนกระบี่บัวครามหลี่ไป๋หกคํานี้ ในเขตดาราเทพวีรชนถือว่ามี พลังในการสยบและแรงดึงดูดเป็นอย่างมาก
หลี่มู่เดินเข้าไปในส่วนลึกของคลังยุทธ์
ปราณสมบัติบัวครามอันข้นหนาปะทะหน้าเข้ามา อากาศล้วนเปลี ย่นเป็นสีเขียวสด
“ปราณแห่งชีพจรดินถูกพ่นออกมาจากที่นี่”
เขาเดินเข้าไปถึงส่วนกลางของคลังยุทธ์ มองเห็นแท่นบูชาเก้าชั้น แท่นหนึ่ง ผิวหน้าและบนกําแพงของแท่นบูชา เต็มไปด้วยอักษรจีน ล้วนเป็นบทกวีของหลี่ไป๋
บทกลอนเหล่านี้ ทุกอักษรล้วนแฝงไว้ด้วยจิตกระบี่ของวิถีกระบี่บัว คราม แท่นบูชาจิตกระบี่เก้าชั้นนี้สูงประมาณสามจั้ง กดอัดอยู่ที่ใจกลาง ของคลังยุทธ์ และด้านใต้แท่นบูชาก็เป็นพื้นที่ที่ชีพจรดินรวมตัวกัน ปราณแห่งชีพจรดินที่ราวกับเป็นเสาแสงเขียวต้นหนึ่ง หลังจากแล่น ผ่านแท่นบูชาจิตกระบี่บัวครามได้ถูกกลั่นจนแปรสภาพเป็นปราณ สมบัติบัวคราม พุ่งตรงไปยังส่วนยอดของคลังยุทธ์ ผ่านค่ายกลและพุ่ง ขึ้นไปยังเมืองไป๋ตี้
พลังวิญญาณชีพจรดินใต้ภูเขาสู่อันยิ่งใหญ่ ทําเอาหลี่มู่รู้สึกตก ตะลึงเช่นกัน
ถูกจิตกระบี่บัวครามกดอัดเอาไว้กว่าหนึ่งร้อยปี ราวกับเป็นพลังที่ สะสมอยู่ใต้ภูเขาไฟนับร้อยปี ยิ่งใหญ่ทรงพลังถึงขีดสุด
นี่คือวิธีการของหลี่ไป๋
เช่นเดียวกับการปิดซ่อนของคลังยุทธ์ใต้พื้นดิน พลังแห่งชีพจรดิน ถูกกดทับอยู่ด้านล่างจนรวมตัวกัน หลังจากที่ภูเขาสู่รวมกันเป็นหนึ่ง แล้วจึงค่อยปลดปล่อยออกมา สร้างความผาสุกแก่ชาวภูเขาสู่ ไม่กี่เดือด
มานี้แท่นบูชาจิตกระบี่บัวครามแทบจะสะกดพลังแห่งชีพจรดินที่ รวมตัวกันเข้ามาไม่ไหวแล้ว ดังนั้นจึงมีสถานการณ์การพ่นทะลักของ ปราณสมบัติบัวครามเกิดขึ้น จนดึงดูดความสนใจของเก้าสํานัก
ปราณแห่งชีพจรดินที่ถูกบีบอยู่ใต้ดิน เวลานี้ได้ตกผลึกจน กลายเป็นอัญมณี
เพียงแค่ขุดมันออกมา จะพบว่าด้านในแฝงไว้ด้วยพลังวิญญาณ ศิษย์แห่งภูเขาสู่สามารถดูดซับได้ และรวดเร็วยิ่งกว่าการฝึกฝนแบบ ธรรมดาหลายเท่าตัว เพียงในระยะเวลาสั้นๆ ก็สามารถที่จะเพาะบ่มผู้ แข็งแกร่งขึ้นมาได้มากมาย
นี่คือโอกาสที่หลี่ไป๋ทิ้งไว้ให้ภูเขาสู่
พวกของหลงอู่เริ่มที่จะจัดระเบียบทรัพยากรต่างๆ ที่กระจัด กระจายอยู่ภายในคลังยุทธ์ ทําการลงทะเบียนเป็นเล่ม
หลี่มู่ใช้เนตรสวรรค์ ตรวจสอบทั่วทั้งคลังยุทธ์นี้อีกครั้ง และก็พบ กับเงื่อนงําบางส่วน
“จริงๆ ด้วย สิ่งที่หลี่ไป๋ทิ้งไว้ไม่ได้มีเพียงแค่นี้”
เขาค้นพบว่ายังมีค่ายกลกระบี่ที่อยู่ในสภาวะ ‘หลับลึก’ อยู่อีก มากมาย กระจัดกระจายอยู่ทั่วคลังยุทธ์ กระทั่งทะละออกไปทาง
กําแพงภูเขา ยื่นยาวออกไปหลายพันลี้ ครอบคลุมรัศมีภูเขาสู่กว่าพันลี้ เอาไว้ อักขระกระบี่แน่นขนัดซ่อนอยู่ในส่วนเล็กๆ ยอดเยี่ยมลึกลับไร้ เทียมทาน รวมกันเป็นหนึ่งกับตัวภูเขา
หลี่มู่แอบตกตะลึงทอดถอน
ถ้าหากไม่มีวิธีสอดแนมพิเศษแล้วล่ะก็ อย่าว่าแต่ขั้นทะลวงสวรรค์ เลย ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นสะพานเป็นตายหรือขั้นนักรบก็ไม่สามารถ ค้นพบการคงอยู่ของค่ายกลกระบี่นี้ได้
“ประหยัดวิธีกับเวลาของข้าไปได้มากเลย”
หลี่มู่เดิมทีตัดสินใจว่าจะหยิบยืมพลังฮวงจุ้ยมาวางค่ายกลขนาด ใหญ่ขึ้นในภูเขาสู่ เพื่อให้เป็นสิ่งคุ้มกายของลัทธิภูเขาสู่เสีย ภายภาค หน้าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกฝนนอกพิภพก็ยังพอมีทางหนีทีไล่ ทว่า ตอนนี้ดูแล้วไม่ได้จําเป็นเลย หลี่ไป๋ในอดีต จะต้องพิจารณาไว้ทั้ง หมดแล้ว โชคดีที่มีการคงอยู่ของค่ายกลกระบี่นี้ ดังนั้นคลังยุทธ์จึงถูกอํา พรางไว้จนไม่มีคนภายนอกค้นพบ
การเตรียมตัวของหลี่ไป๋ในอดีตสมบูรณ์เต็มที่อย่างมาก
ฉับพลันนั้น หลี่มู่ราวกับมองเห็นเงาของตนเอง
หลี่ไป๋ในอดีต สร้างภูเขาสู่ขึ้นบนดาวทุรกันดาร ส่วนหลี่มู่ก็สร้าง เมืองขาวพิสุทธิ์ขึ้นบนแผ่นดินใหญ่เสินโจว เนื้อหาแตกต่างกันแต่โดด เด่นเช่นเดียวกัน
ผู้คนที่เดินทางออกจากดาวโลก ล้วนกําลังพยายามสร้างพื้นที่ ดินแดน โปรยเอาอารยธรรมและเชื้อไฟของดาวโลก หวังว่าในอนาคตที่ ไม่รู้ว่าเมื่อไร เมื่อพลังแห่งมรรคาอันยิ่งใหญ่ของระบบสุริยะไม่สามารถ ที่จะต้านทานพลังกระบี่และเรือเหาะของเหล่าผู้ฝึกฝนนอกพิภพได้จน ดาวโลกถูกเปิดเผยต่อทางช้างเผือก เมื่อถึงเวลานั้น สหายร่วมรบบน ดาวโลกก็จะไม่ต้องออกศึกอย่างเดียวดาย แต่สามารถมี ‘สหายการรบ’ ในทางข้างเผือกร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ ป้องกันรักษาอํานาจการคงอยู่ ของเผ่าพันธุ์เอาไว้ได้
เหล่าผู้เดินทางในอดีตที่เดินทางออกจากดาวโลกอย่างเดียวดาย ทุกคน ล้วนกําลังแบกภาระหนักเพื่อเดินหน้าต่อ ในใจเต็มไปด้วย จินตนาการและเลือดร้อนในอก
หลี่มู่ตรวจสอบค่ายกลกระบี่นี้อย่างละเอียด
วิถีของค่ายกล เมื่อสัมผัสก็เข้าใจด้านอื่นตามไปด้วย
หลี่มู่ได้เรียนรู้เค้าโครงค่ายกลเต๋ามาจากซินแสเฒ่า และค่ายกล ของหลี่ไป๋ ถึงแม้จะใช้วิชากระบี่กับค่ายกลผสมผสานกันจนมีประโยชน์
ร่วมกัน แต่ก็ยังมีส่วนที่พอเสาะหาได้อยู่ ยิ่งไปกว่านั้นหลี่มู่กับหลี่ไป๋ ปัจจุบันถือว่าเป็นศิษย์ร่วมสํานักกันแล้ว…เพราะล้วนเป็นศิษย์ของ ซินแสเฒ่าที่ไม่ค่อยจะได้เรื่องได้ราวคนนี้ ถือว่าเป็นศิษย์พี่น้อง ดังนั้นห ลี่มู่จึงเข้าใจค่ายกลกระบี่ของหลี่ไป๋ได้อย่างไม่เปลืองแรงอะไรมาก
เขานั่งอยู่ในคลังยุทธ์นี้ถึงสามวันสามคืน เยี่ยอู๋เหินคอยอยู่ข้างๆ เป็นผู้คุ้มกฎของหลี่มู่โดยตลอด หลังจากผ่านไปสามวันสามคืน หลี่มู่ได้ลุกขึ้น เขาค่อยๆ ขึ้นไปยืนบนแท่นบูชาจิตกระบี่บัวครามเก้าชั้น
ฉับพลันอักขระบทกวีบนแท่นบูชาได้เริ่มเปล่งแสง คลื่นพลัง มหัศจรรย์ส่องสว่าง
ทุกตัวอักษรล้วนแยกออกจากกัน ทุกลายเส้นขีดของอักษรราวกับ เป็นเป็นดาบกระบี่ขวานไปอย่างไรอย่างนั้น มีจิตกระบี่บัวคราม ไหลเวียนออกมา จากนั้นเสียงวู่มดังขึ้น พุ่งทะยานออกไปยังทิศทางที่ แตกต่างกัน ผสานเข้ากับยอดเขาแต่ละยอดของแนวเขา น�าตกแต่ละ สาย แม่น�าแต่ละสาย ภูเขาแต่ละแนว…
จิตกระบี่ไหลเวียน ค่ายกลกระบี่ถูกกระตุ้นแล้ว
พริบตานี้เอง ศิษย์ภูเขาสู่ทั้งหมดล้วนสัมผัสได้ถึงจิตอันสนิทแน่น แฟ้นที่ไม่รู้ที่มาที่ไป จากนั้นจึงได้เห็นแสงกระบี่หลายสายราวกับมังกร ทะยานฟ้า แหวกพุ่งผ่านอากาศหายเข้าไปยังส่วนต่างๆ ของภูเขาสู่ จากนั้นทั่วทั้งภูเขาสู่ก็เหมือนเปลี่ยนแปลงไป ระหว่างฟ้าดินมีเมฆบัง หมอกคลุมอย่างหนาทึบ ประดุจปราณเซียนพันรอบ คล้ายกับว่าใน พริบตานั้นภูเขาสู่ได้เปลี่ยนจากแดนมนุษย์กลายเป็นแดนเซียนก็มิปาน
หลี่มู่ยืนอยู่บนแท่นบูชาจิตกระบี่บัวครามเก้าชั้น กวักมือเรียกเยี่ยอู๋ เหิน
เยี่ยอู๋เหินตะลึง เดินขึ้นมาหาทันที
หลี่มู่ยื่นมือจับฝ่ามือของเยี่ยอู๋เหินเอาไว้ “ลองสัมผัสอย่างละเอียด ดู”
เยี่ยอู๋เหินดิ้นออกด้วยสัญชาติญาณ ทว่าก็ได้สติกลับมาในพริบตา หลับตาลงทันที จิตใต้สํานึกไหลเวียน ถูกจิตใต้สํานึกของหลี่มู่รับเข้า มายังโลกแห่งค่ายกลจิตกระบี่อันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง
ในสมองของนาง ค่ายกลกระบี่บัวครามปรากฏขึ้นมา แสงกระบี่ หลายสายไหลเวียน ลอยล่องอยู่ในที่ต่างๆ ของภูเขาสู่ เส้นโคจรของ แสงกระบี่แฝงไว้ด้วยแก่นแท้ของค่ายกลกระบี่
หลี่มู่อธิบาย เพื่อให้นางได้เข้าใจถึงแก่นแท้ของค่ายกลกระบี่ ชี้แนะให้นางลองควบคุมค่ายกลกระบี่
ผ่านไปอีกสิบวันสิบคืน เยี่ยอู๋เหินถึงสามารถพอที่จะควบคุมค่าย กลกระบี่บัวครามนี้ได้
นางก่อนหน้านี้ไม่เคยเล่าเรียนค่ายกลมาก่อน ในสํานักชําระดาบที่ ใช้ดาบเป็นหลัก หลังจากที่ถูกหลี่ไป๋ข้ามยุคมารับเป็นศิษย์ จึงได้ละทิ้ง ดาบเพื่อร�าเรียนกระบี่ ดังนั้นการเข้าใจจึงช้าอยู่บ้าง
…
…
ภูเขาสู่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่
ทุกคนล้วนเห็นได้ด้วยตา
การเตรียมงานในแผนของหลี่มู่ก็ล้วนเสร็จสมบูรณ์หมดแล้ว
เขาค่อยๆ ส่งต่อหัวใจอํานาจของลัทธิให้กับเยี่ยอู๋เหิน ระดับสูงของ ภูเขาสู่ล้วนรู้สึกว่าหลี่มู่นั้นให้ความสําคัญและไว้วางใจเยี่ยอู๋เหินมาก
ซึ่งอยู่บนเหตุผลและน�าใจ
เยี่ยอู๋เหินได้รับการสืบทอดจากจ้าวลัทธิเก่าแก่ สามารถบอกได้ว่า เปลี่ยนไปในชั่วพริบตา กลายเป็นคนที่อยู่ระดับเดียวกับหลงอู่ คุณชาย เงาจันทร์ไปเรียบร้อย ยิ่งไปกว่านั้นพลังก็ยังมากเพียงพอ ความสําเร็จ ในอนาคตจะไปได้ไกลกว่าผู้อาวุโสเหล่านี้อย่างแน่นอน จะต้องเป็นหนึ่ง ในคานหลักของภูเขาสู่ที่กุมอํานาจอย่างแท้จริง
ไหนจะเรื่องที่ในสายตาผู้คนบนภูเขาสู่ ยังมองเยี่ยอู๋เหินและจ้าว ลัทธิต้วนสุ่ยหลิวเป็นคู่แท้บําเพ็ญที่ฟ้ากําหนดราวกับเป็นกายเดียวกัน อีก
หลี่มู่รู้สึกจําใจต่อความคิดเช่นนี้
ตนเองที่เป็นผู้สืบทอดของฝืนชะตา จริงๆ แล้วก็แค่สวมรอยเข้ามา
ไหนจะยังเรื่องที่เยี่ยอู๋เหินเป็นศิษย์ข้ามยุคของหลี่ไป๋ ส่วนตนเอง เป็นผู้สืบทอดของซินแสเฒ่า มีความสัมพันธ์เป็นศิษย์พี่น้องกับหลี่ไป๋ เมื่อเป็นเช่นนี้ เยี่ยอู๋เหินจึงอยู่ในระดับแค่ศิษย์ของตนเอง ระหว่างกันยัง ห่างถึงหนึ่งรุ่นเลยนะ
เขาคิดว่าจะหาเวลาและโอกาส เอาเรื่องนี้มาพูดให้ชัดเจน เข้าใจ ผิดอย่างนี้ต่อไปคงไม่ดีเท่าไรนัก
เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้ด้วยตนเอง
ต้องให้ติงอี้มาพูดให้ชัดเจนเสียแล้ว ขณะที่หลี่มู่กําลังจะไปหาติงอี้ อีกฝ่ายก็กลับเคาะประตูเข้ามาหา เสียก่อน เอ่ยขึ้นอย่างลึกลับ “จ้าวลัทธิ เจ้าจะไปแล้วใช่ไหม?” “หือ?” “เจ้ากําลังจะออกจากดาวทุรกันดารนี่ไปยังเขตดาราเทพวีรชนใช่ ไหม?”
“เอ่อ…”
โดนอีกฝ่ายมองออกเสียแล้วหรือ? หลี่มู่ตกตะลึง “เจ้าโกหกข้าไม่ได้หรอก พาข้าไปด้วยได้ไหม?” “หา?” “ข้าก็อยากออกไปดูโลกภายนอกเหมือนกันน่ะ” “เอ่อ…ให้ข้าพิจารณาสักครู่” หลี่มู่ลูบคาง
ติงอี้เอ่ยต่อ “ขอแค่เจ้ายินให้ข้าไปด้วย ข้าจะรับปากเจ้าทุกอย่าง เลย”
หลี่มู่หัวเราะออกมาทันที “เช่นนั้นก็ดีเลย”
………………………………………