จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 567 แต่งงาน
ดูท่าทางของหลี่มู่ ในใจของติงอี้ก็มีความรู้สึกไม่ค่อยดีเกิดขึ้น
“เจ้าไปหาเยี่ยอู๋เหิน อธิบายเรื่องผู้สืบทอดฝืนชะตาให้เรียบร้อย” หลี่มู่เอ่ย
“เอ่อ…” ติงอี้คิดอย่างจริงจัง “จู่ๆ ข้าก็เหมือนไม่อยากไปนอก พิภพแล้ว…เรื่องนี้พวกเราค่อยว่ากันทีหลังก็แล้วกัน” พูดจบก็หมุนตัว เผ่นแนบ
หลี่มู่กําลังจะตามไป หัวหน้าเขาราชันมังกรหลงอู่ก็เดินลูบเครา ตัวเองเข้ามา
“คารวะเจ้าลัทธิ” ชายชราตรงไปตรงมาผู้นี้ทําความเคารพ เอ่ย ขึ้นด้วยท่าทางตื่นเต้น “ข่าวดี สติสัมปชัญญะของเจ้าสํานักเยี่ยกลับคืน มาแล้วเล็กน้อย”
“เอ๋?” หลี่มู่ได้ยินดังนั้นก็ดีใจทันที เอ่ยขึ้นว่า “นี่เป็นข่าวดี ไป ไปดู กันสักหน่อย”
……
“อาจจะเป็นเพราะการหล่อเลี้ยงจากกลิ่นสมบัติบัวมรกต สติสัมปชัญญะของเจ้าสํานักเยี่ยมีแนวโน้มฟื้ นฟูดีขึ้นอย่างช้าๆ” หัวหน้าแพทย์แห่งภูเขาสู่หลี่เนี่ยนห่าวงามสง่า ทรงภูมิยิ่งนัก เอ่ย อธิบายให้กับพวกหลี่มู่ เหล่าผู้นําระดับสูงของภูเขาสู่ “หากเป็นเช่นนี้ ต่อไปเรื่อยๆ ถึงแม้จะจําเรื่องในอดีตไม่ได้ แต่สติสัมปชัญญะของเจ้า สํานักเยี่ยน่าจะฟื้ นฟูถึงระดับคนทั่วไปได้ภายในสิบปี”
ข่าวดี!
บนใบหน้าของคนทั้งหลายต่างฉายรอยยิ้ม
อู๋หมิงที่อยู่ในสภาวะวิญญาณก็ยิ้มอย่างดีใจเป็นที่สุดอยู่ข้างๆ
หลี่มู่พยักหน้า เช่นนั้นนี่ก็ง่ายแล้ว
ถึงแม้ไม่อาจฟื้ นฟูความจําได้ทั้งหมด แต่ขอแค่สติปัญญาฟื้ นฟูถึง ระดับคนปกติ เช่นนั้นค่อยอธิบายเรื่องก่อนหน้านี้ให้นางฟังก็ได้แล้ว
หลี่เนี่ยนห่าวเอ่ย “สิ่งเดียวที่ต้องระวังคือ ในช่วงเวลานี้ห้ามเจ้า สํานักเยี่ยกระทบกระเทือนจิตใจเป็นอันขาด มิฉะนั้น อาการอาจจะ กําเริบ หากเป็นเช่นนั้น อาการจะยิ่งย�าแย่เข้าไปอีก”
เขาเอ่ยเตือนอย่างจริงจัง
พลังของ ‘ฝันมายาพราย’ น่ากลัวเพียงใด มิฉะนั้น ตอนนั้นเจ้า เขาหลี่ยุคแรกคงไม่ทําลายตํารับยานี่ในช่วงสุดท้ายของชีวิต
หลี่เนี่ยนห่าวอัจฉริยะเก่งกาจเลิศล�า ด้านการแพทย์มีพรสวรรค์ที่ ไร้ผู้เทียบเทียม เขาฟื้ นตํารับยา ‘ฝันมายาพราย’ จากความอยากรู้ อยากเห็นของแพทย์ ทําให้เยี่ยเฮิ่นเกิดผลข้างเคียง ในใจรู้สึกผิดติดค้าง เป็นอย่างมาก
หลายวันมานี้เขาแทบจะไม่กินไม่นอนไม่พักผ่อน ศึกษาค้นคว้า ตํารับยาทั้งวันทั้งคืนเพื่อหายารักษา พยายามหาทางรักษาเยี่ยเฮิ่นที่ดี ที่สุด ได้ผลกลับมา แต่ยังห่างจากขั้นรักษาให้หายสนิทอยู่อีกเล็กน้อย
คนทั้งหลายได้ยินแล้วต่างพยักหน้าหงึกๆ
ใครจะกล้าทําให้ท่านผู้นี้กระทบกระเทือนจิตใจอะไรอีกเล่า
นี่คือท่านย่าของเมียท่านเจ้าลัทธิเชียวนะ
พวกหลี่มู่มายังโถงใหญ่เยี่ยมเยี่ยเฮิ่นจากการนําของหลี่เนี่ยนห่าว
เยี่ยเฮิ่นนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างหน้าต่างอย่างเงียบสงบ พลางมองไป นอกหน้าต่าง
เยี่ยอู๋เหินนั่งข้างกายนาง นวดไหล่ให้นางเบาๆ
“ต่อไปเจ้าอย่าใช้ชื่ออู๋เหินเลย” เยี่ยเฮิ่นจู่ๆ เอ่ยปากขึ้น น�าเสียงที่ พูดปกติเป็นที่สุด
เยี่ยอู๋เหินพยักหน้า “เจ้าค่ะ ท่านย่าว่าอย่างไรก็อย่างนั้น”
เยี่ยเฮิ่นเอ่ย “ลมพัดทิ้งไว้ซึ่งเสียง ห่านป่าบินผ่านทิ้งร่องรอย คน จากไปแล้วทิ้งชื่อเอาไว้ หลานสาวของข้าเป็นเทพธิดาบนสวรรค์ จะ ชื่ออู๋เหิน(ไร้ร่องรอย)ได้อย่างไร”
น�าเสียงที่พูดจาและท่าทางของนางเหมือนกับคนปกติทุกประการ อีกทั้งตรรกะยังชัดเจน เหมือนว่าฟื้ นตัวแล้วโดยสมบูรณ์
“ชื่อที่ตั้งให้เจ้าในตอนนั้นเป็นบิดาและมารดาของเจ้าตั้ง เดิมชื่อว่า เยี่ยอู๋เฮิ่น(ไร้ความเกลียดชัง) พวกเขาหวังว่าเจ้าอยู่บนโลกใบนี้จะไม่ เคียดแค้น ไม่เกลียดชัง มีความสุข อิสระเสรี น่าเสียดายที่ภายหลังพวก เขารบจนตัวตาย สํานักชําระดาบมีความแค้นบัญชีเลือด เจ้าเองก็มี แค้นบัญชีเลือดเช่นกัน จะไร้ซึ่งความเกลียดชังไปได้อย่างไร? ย่าชื่อเยี่ย เฮิ่นไปแล้ว ดังนั้นจึงเปลี่ยนชื่อเจ้าเป็นเยี่ยอู๋เหิน”
เยี่ยอู๋เหินตะลึงไปเล็กน้อย
นี่เป็นเรื่องที่นางไม่รู้จริงๆ
เพียงแต่อาการของท่านย่าตอนนี้ค่อนข้างพิเศษ จึงไม่รู้ว่าที่พูดมา นั้นเป็นเรื่องจริงหรือปลอม
“แต่ว่าตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เก้าสํานักสูญสลาย ความแค้นของสํานักชําระดาบ ความแค้นของปู่เจ้า ความแค้นของบิดา มารดาเจ้าต่างแก้แค้นได้แล้ว นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าไม่ต้องแบก ความแค้นใช้ชีวิต เช่นนั้นก็เปลี่ยนชื่อเดิมของเจ้ากลับมาเป็นเยี่ยอู๋เฮิ่น เถิด”
ยามเยี่ยเฮิ่นพูดน�าเสียงสงบราบเรียบ มุมปากยกยิ้ม “เจ้าค่ะ นับแต่นี้เป็นต้นไป ข้ามีชื่อว่าเยี่ยอู๋เฮิ่น” เยี่ยอู๋เหินพยักหน้า นับจากวันนี้เป็นต้นไป นางชื่อว่าเยี่ยอู๋เฮิ่น อย่างไรเสีย นางก็ชอบชื่อนี้มากเหมือนกัน
ที่หน้าประตูโถง พวกหลี่มู่มองไปยังหลี่เนี่ยนห่าวด้วยสายตางุนงง สงสัย
ไม่ถูกสิ ดูจากท่าทางของหญิงชรานี่ฟื้ นฟูโดยสมบูรณ์แล้วชัดๆ นี่ นา
ไม่ใช่แค่นึกถึงเรื่องในอดีตได้อย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังพูดจาได้โดย แนวความคิดชัดเจน ตรรกะเป็นเหตุผล เป็นคนปกติชัดๆ
หลี่เนี่ยนห่าวเอ่ยเสียงเบา “เจ้าสํานักเยี่ยจําเหตุการณ์เมื่อก่อนได้ บ้าง ล้วนแต่เป็นเรื่องที่สําคัญมากสําหรับนาง โดยเฉพาะเมื่อธิดา เทพเยี่ยอยู่อารมณ์จะค่อนข้างสงบ แต่ระยะเวลาไม่นานหากถูก กระทบกระเทือน อารมณ์จะถูกกระตุ้นอยู่ในสภาวะคุ้มคลั่ง ยาก ควบคุม”
หลี่มู่คล้ายครุ่นคิดอะไร
อันที่จริงเยี่ยเฮิ่นในสภาวะเช่นนี้ก็แค่ดีกว่านอนเป็นผักเล็กน้อย เท่านั้น ด้านจิตใจก็เป็นหนึ่งในโรคที่ยากจะรักษา
ตอนนี้เอง เยี่ยเฮิ่นได้ยินเสียงข้างนอกจึงหันมามองคนทั้งหลาย สายตาสงบราบเรียบ เหมือนกําลังมองคนแปลกหน้ากลุ่มหนึ่ง เพียงแค่ กวาดมอง ไม่หยุดจับจ้องเลยแม้แต่น้อย ต่อให้เป็นหลงอู่ หรืออาจารย์ สุ่ยเยวี่ย สหายเก่าในอดีตก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย
มีเพียงแค่เมื่อมองมาทางหลี่มู่ ในดวงตาจึงได้ฉายประกายวับขึ้น
เหมือนว่านึกอะไรขึ้นได้ นางกวักมือพลางเอ่ยขึ้น “เด็กน้อย เจ้า มาแล้ว มานี่เร็วเข้า!”
หลี่มู่ยิ้มพลางเดินไปหา
“เด็กน้อย เจ้าวางใจงานแต่งของเจ้ากับอู๋เฮิ่น ข้าจําได้ พรุ่งนี้ข้าจะ จัดงานแต่งให้พวกเจ้าเอง” เยี่ยเฮิ่นเอ่ยยิ้มตาหยี
หลี่มู่อึ้งไปทันใด ไม่ใช่สิ ท่านย่า ทําไมท่านยังจําเรื่องนี้ได้อยู่เล่า? ท่านความจําเสื่อมไม่ใช่หรือ? คราวนี้จะตอบอย่างไรดี หลี่มู่มองไปทางเยี่ยอู๋เฮิ่น
ฝ่ายหลังใบหน้าสงบ สายลมอ่อนๆ พัดต้องผมสีเขียวของนาง ใบหน้างดงามปราณีตประดุจหยกขาวไม่เห็นร่องรอยตื่นเต้นหรือเสียใจ ไม่เห็นคลื่นอารมณ์ เหมือนว่าไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเองอย่างนั้น
หลี่มู่หันกลับไปมองติงอี้ ติงอี้พยักหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย พูดอะไรบางอย่างอย่างไร้เสียง
หลี่มู่วิเคราะห์จากรูปปากออกมาได้ว่า สิ่งที่ติงอี้พูดออกมาคร่าวๆ ก็คือ “จําเอาไว้ จะกระทบกระเทือนจิตใจไม่ได้”
หลี่มู่ “…”
เยี่ยเฮิ่นกระทบกระเทือนจิตใจไม่ได้
หากตนบอกเรื่องที่แอบอ้างเป็นผู้สืบทอดฝืนชะตาตอนนี้ หรือหา ข้ออ้างปฏิเสธงานแต่งครั้งนี้ จากการกระทบกระเทือนจิตใจ เยี่ยเฮิ่นคุ้ม คลั่งขึ้นมาจะทําอย่างไรเล่า? หลี่เนี่ยนห่าวก็เคยกําชับไว้อย่างจริงจัง แล้วว่า หากเยี่ยเฮิ่นได้รับการกระทบกระเทือนอะไร อาจจะหมดหวังที่ จะฟื้ นฟูอย่างสมบูรณ์โดยสิ้นเชิง
หลี่มู่ทําได้แค่พยักหน้า
เยี่ยเฮิ่นก็ดีใจเป็นอย่างยิ่งตามคาด
ถึงวันที่สอง ความหวังสุดท้ายที่แอบคิดว่าจะโชคดีของหลี่มู่ก็หาย วับ
ความยึดติดในเรื่องนี้ของท่านย่าเยี่ยเฮิ่นเหนือจินตนาการนัก ถึงแม้หลี่เนี่ยนห่าวจะบอกว่านางจําเรื่องอะไรไม่ได้ แต่เรื่องนี้กลับจําได้ ดีนัก บอกว่าวันที่สองก็คือวันที่สอง ไม่ใช่วันที่สามเด็ดขาดแน่นอน
แต่เดิมหลี่มู่ยังหวังว่าท่านย่าผู้ชราจะลืมเรื่องนี้ สุดท้าย วันที่สอง สิ่งก่อสร้าง ห้องหับในเขตสํานักชําระดาบก็ตบแต่งอลังการชื่นมื่น เริ่ม จัดงานแต่งงานอย่างครึกครื้น
ทั่วทั้งเมืองไป๋ตี้ต่างลือกันจนทั่ว
หลี่มู่ปวดหัวนัก
ทีแรกเขาคิดว่าไปๆ เสียให้มันจบๆ แต่ภายหลังคิด เช่นนี้แล้วเกรง ว่าน่าจะทําให้เยี่ยเฮิ่นกระทบจิตใจหนักกว่าที่จะปฏิเสธเยี่ยเฮิ่นที่ห้อง โถงเสียอีก ผลที่จะเกิดขึ้นคงเลวร้ายจนไม่กล้าคาดคิด สําหรับเยี่ยอู๋เฮิ่น แล้วก็เป็นการโหดร้ายเกินไป
ในเมื่อทั่วทั้งภูเขาสู่ล้วนคิดว่าทั้งสองคนเป็นคู่บุพเพวาสนา หาก จากไปก็เท่ากับเป็นการทอดทิ้ง ภายหลังสาวน้อยจะทําเช่นไร ถูกคนชี้ หน้าตีตราบาป ว่าเยี่ยอู๋เฮิ่นที่ต้วนสุ่ยหลิวจะต้องแต่งงานด้วย เป็นเรื่อง ที่ทําให้แม้แต่เจ้าลัทธิยังต้องหนีกระเจิดกระเจิง?
เรื่องนี้ทําได้ไร้ซึ่งศีลธรรมเกินไป
หลี่มู่คิดไปคิดมา ใช้เวลาอยู่ครึ่งวันในที่สุดก็หาติงอี้ที่ซ่อนอยู่ใต้ ยอดเขาจัวเฟิงเจอ อัดเสียจนยับ สุดท้ายติงอี้หน้าปูดหน้าบวม ถึงได้ ยอมปล่อยเขาไปก่อน
หลังจากกลับมาเขาก็ไม่ได้พูดอะไร เข้าพิธีแต่งงานกับเยี่ยอู๋เฮิ่น ภายใต้การจับตามองของผู้นําระดับสูงและลูกศิษย์ของภูเขาสู่ ภายใต้ สายตาที่เมตตาของท่านย่าเยี่ย
ทั่วทั้งเมืองไป๋ตี้อยู่ในบรรยากาศครึกคื้นเป็นมงคล
สําหรับสํานักภูเขาสู่แล้ว นี่เป็นเรื่องมงคลเสริมมงคล
กองไฟ ดอกไม้ไฟ และสุราเลิศรสเป็นสิ่งที่แสดงถึงการเฉลิมฉลอง และความน่ายินดีที่ดีที่สุด
ส่วนหลี่มู่และเยี่ยอู๋เฮิ่นก็ถูกส่งตัวเข้าห้องหอ
แสงเทียนสีส้มทั้งอบอุ่นทั้งสว่างจ้า
ตัวอักษรมงคลสีแดงภายใต้แสงสาดส่องจากแสงเทียนทอประกาย มงคลออกมา
เยี่ยอู๋เฮิ่นในชุดสีแดงสด ที่ศีรษะคลุมไว้ด้วยผ้าคลุมสีแดงนั่งอยู่บน เตียงหงส์และมังกร นิ่งเงียบเหมือนรูปแกะสลัก หลี่มู่ยืนอยู่ข้างโต๊ะ ดื่ม เหล้าจอกแล้วจอกเล่า อยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก ไม่รู้ว่าควรจะพูด อย่างไรดี
บรรยากาศในห้องหอแปลกประหลาดนัก
เยี่ยอู๋เฮิ่นจู่ๆ ยกมือปลดผ้าคลุมสีแดงออกเอง ผมยาวสีเขียวภายใต้ การขับเน้นจากชุดแต่งงานสีแดงสดงดงามชวนให้คนงงงวย นางมองห ลี่มู่ ก่อนเอ่นขึ้นด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนบ่อน�าโบราณไร้ระลอกคลื่น “ขอบคุณ”
“นี่หมายความว่าอย่างไร?” หลี่มู่มองนาง
เยี่ยอู๋เฮิ่นตอบ “ขอบคุณที่เจ้าให้ความร่วมมือกับข้าแสดงละคร ฉากนี้เพื่อท่านย่า”
หลี่มู่มองนางอย่างตกใจ
“เจ้าไม่ใช่ผู้สืบทอดของฝืนชะตา” เยี่ยอู่เฮิ่นเอ่ย “ข้ารู้ตั้งนาน แล้ว”
หลี่มู่แปลกใจเป็นอย่างมาก “ติงอี้เป็นคนบอกหรือ?”
เยี่ยอู๋เฮิ่นส่ายหน้า “ข้าทาย”
หลี่มู่ไม่ได้ถามว่านางทายได้อย่างไร พูดได้แค่ว่า เยี่ยอู๋เฮิ่นเป็นสตรี ที่ฉลาดและยอดเยี่ยมมาก มิฉะนั้นหลี่ไป๋ก็ไม่มีทางเลือกนางจากคน ลัทธิภูเขาสู่มากมายถึงเพียงนั้นเป็นผู้สืบทอด ด้วยความคิดและจิตใจ อันละเอียดอ่อนของนาง จากเบาะแสบางอย่างอนุมานว่าหลี่มู่ไม่ใช่คน ของฝืนชะตา ก็เหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
อีกทั้งความสัมพันธ์ของเยี่ยอู๋เฮิ่นกับพวกคนของโลกอย่างเซี่ยวตง ลั่วเสวียนซินพวกนี้ไม่เลวเลย
นางจะต้องได้รู้อะไรบางอย่างจากปากของคนหนุ่มสาวพวกนี้แน่
มองใบหน้าที่งดงามหยาดเยิ้มแต่ก็เรียบนิ่ง หลี่มู่ไม่รู้ว่าควรจะพูด อะไร
เยี่ยอู๋เฮิ่นเอ่ย “เจ้าวางใจ ข้าไม่มีทางบอกคนอื่นแน่ การแต่งงาน ระหว่างเราก็แค่เพื่อให้ท่านย่าดีใจเท่านั้น ข้าไม่คิดจริงจัง เจ้าก็อย่า จริงจัง ดีหรือไม่?”
หลี่มู่พยักหน้าอย่างงงงัน “ดี”
ใจของเขาแอบโล่งอกจริงๆ
หากนับตามอายุบนโลก ตอนนี้เขาก็อายุยี่สิบเอ็ด ไม่ใช่ช่วงอายุที่ เหมาะสมที่จะแต่งงานที่สุด แน่นอน ประเด็นสําคัญก็คือ เขากับเยี่ยอู๋ เฮิ่นรู้จักกันหลายเดือน หากบอกว่าไม่ถูกความสวยของเยี่ยอู๋เฮิ่นดึงดูด นั่นโกหก แต่ถ้าจะบอกว่าถึงขั้นไม่ใช่เธอไม่แต่ง นั่นก็โกหกเหมือนกัน
แต่งงานเช่นนี้มักง่ายเกินไป ล้วนไม่รับผิดชอบทั้งต่อคนอื่นและ ตัวเอง
สาอะไรกับในใจของเขาตอนนี้ยังมีเงาของสตรีคนอื่นๆ อีกหลาย คน เงาของทุกคนล้วนรางเลือนไม่ชัดเจน หลี่มู่ไม่เคยคิดเรื่องนี้อย่าง จริงจังมาก่อนเลย
…………………………………………………