จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 568 ข้าอยู่ ภูเขาสู่อยู
พูดจบทั้งสองก็เหมือนสูญเสียความสามารถในการพูดจา แสง เทียนส่องสว่างทั่วทั้งห้องหอ บรรยากาศค่อนข้างเงียบงัน
เยี่ยอู๋เฮิ่นมายังข้างโต๊ะมงคล รินสุรามงคลจอกหนึ่งเอง ก่อนจะดื่ม มันลงไป พลางเอ่ย “เจ้าจะไปแล้วหรือ?”
นางสัมผัสได้ถึงการเตรียมการของหลี่มู่ในหลายวันมานี้
หลี่มู่พยักหน้า “ใช่แล้ว”
“ไปนอกพิภพ?”
“อืม”
“คิดจะดึงศูนย์กลางของลมพายุจากโลกดาวทุรกันดารออกไปยัง เขตดาราเทพวีรชนหรือ” เยี่ยอู๋เฮิ่นถาม
หลี่มู่มองเด็กผู้หญิงคนนี้อย่างแปลกใจ
นางมองความคิดของเขาออก
“ในเขตดาราเทพวีรชน ข้าคือนักโทษฉกรรจ์ค่าหัวสูงของบรรดา สํานักใหญ่ต่างๆ ข่าวที่ข้าอยู่ที่นี่ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องแพร่ไปถึงเขตดารา เทพวีรชนแน่ หากอยู่ที่นี่ต่อไป กลับจะทําให้ภูเขาสู่พลอยลําบากไป ด้วย หากข้าจากไป เข้าไปยังเขตดาราเทพวีรชน ความสนใจของสํานัก ใหญ่ต่างๆ จะอยู่ที่ข้า ไม่ค่อยสนใจโลกดาวทุรกันดารเท่าไหร่ มีค่ายกล กระบี่บัวมรกตอยู่ ความกดดันของพวกเจ้าก็จะลดลงมาก”
หลี่มู่ไม่ได้ปกปิด เล่าแผนการของตนออกมา
“อ้อ” เยี่ยอู๋เฮิ่นพยักหน้า “แต่นี่อันตรายมาก”
หลี่มู่หัวเราะก่อนจะเอ่ย “ข้าอยู่ที่นี่ก็อันตรายมากเช่นกัน ทุกคน ล้วนตกอยู่ในอันตราย”
เยี่ยอู๋เฮิ่นไม่พูดอะไรแล้ว
เงียบไปนาน นางมองไปยังหลี่มู่ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ “ให้ข้า ไปเป็นเพื่อนไหม ตอนนี้ข้าก็พลังฝึกตนขั้นทะลวงสวรรค์แล้ว ไม่เป็น ภาระของเจ้า”
บนใบหน้าขาวเนียนที่ทั้งงดงามเลิศล�า ทั้งนิ่งสงบไม่เห็นร่องรอย คลื่นอารมณ์เหมือนมีผ้าโปร่งบางคลุมเอาไว้ ดวงตาสีเขียวประหนึ่ง หยกที่งดงามที่สุดในโลก ไร้ซึ่งราคีใดๆ บริสุทธิ์จนชวนให้วิญญาณสั่น สะท้านมองมายังหลี่มู่ รอคอยคําตอบจากเขา
หลี่มู่ยิ้มพลางส่ายหน้า “อย่าเลย” ขั้นทะลวงสวรรค์ของเขากับขั้นทะลวงสวรรค์ของนางต่างกัน “อ้อ” เยี่ยอู๋เฮิ่นพยักหน้า ไม่พูดอะไรต่อ นางก็รู้ พลังของหลี่มู่เหนือกว่าตัวเองมากนัก “อยู่ที่ภูเขาสู่เถอะ มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่สามารถควบคุมค่ายกล กระบี่บัวมรกตได้” หลี่มู่เอ่ย “สําหรับเจ้าลัทธิชรา สําหรับข้า สําหรับ หลายๆ คนแล้ว ภูเขาสู่ตระหง่านไม่ล้มสําคัญยิ่งนัก” เยี่ยอู๋เฮิ่นรับคํา แล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “ข้าอยู่ ภูเขาสู่อยู่” มองดวงตาของนาง ใจของหลี่มู่ก็พลันสั่นสะท้าน อย่างไรเสีย เยี่ยอู๋เฮิ่นปีนี้ก็เพิ่งจะสิบแปดเท่านั้นเอง เด็กผู้หญิงอายุสิบแปดบนโลกทําอะไร? ความรักความเอ็นดูจากที่บ้าน การปกป้องจากเพื่อนพ้อง ประตูรั้ว ของมหาวิทยาลัยเพิ่งจะเปิดออก ชีวิตที่งดงามยิ้มกวักมือเรียก ส่วนเยี่ยเฮิ่นนั้นกลับเดินออกมาจากกองศพทะเลเลือดไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง
หลี่มู่หวังว่านางจะดูแลภูเขาสู่ เป็นด่านหน้าปกป้องในวันที่โลกเดิน ออกจากระบบทางช้างเผือก ภาระหนักหน่วงเช่นนี้กดดันไว้กับ เด็กผู้หญิงอายุสิบแปดที่ไม่ใช่คนของโลก หลี่มู่ถามตัวเองว่าทําเช่นนี้ เห็นแก่ตัวไปหรือไม่?
“เพื่อท่านย่า ท่านปู่ และท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าจะปกป้องภูเขาสู่” เยี่ยอู๋เฮิ่นเอ่ย
นางเหมือนมีพลังที่มองทะลุจิตใจอย่างหนึ่ง สัมผัสได้ถึงความรู้สึก ขอบคุณและรู้สึกผิดที่ซ่อนลึกในใจของหลี่มู่รางๆ จึงชิงพูดขึ้นเสียก่อน
หลี่มู่มองมายังนาง
นางเอ่ยอย่างสงบ “ภูเขาสู่คือบ้านของข้า”
หลี่มู่พยักหน้า เขาเข้าใจแล้ว
เยี่ยอู๋เฮิ่นไม่ใช่คนพูดเก่ง อาจเป็นเพราะการประสบพบเจอในอดีต ผ่านความเป็นตายและการพลัดพรากในโลก เห็นเลือดและโครงกระดูก ขาวโพลนจนเคยชิน เดินผ่านระหว่างความเป็นตายไม่รู้ต่อกี่ครั้ง ตัว นางมีความเย็นชาและความสงบนิ่งที่ไม่เหมาะกับอายุ ค่อนข้างปิดกั้น ตัวเอง ดังนั้นจึงทําให้คนรู้สึกเหมือนผลักไสผู้คนออกไปไกล แต่แท้ที่ จริงเล่า? นางเป็นเด็กสาวที่ภายนอกเฉยชา แต่ภายในกระตือรือล้น
หลี่มู่สัมผัสได้ว่า นางสงสัยใคร่รู้ที่มาที่ไปของเขาและโลกนัก
อาจเป็นเพราะจากการสัมผัสกับพวกเซียวตง ลั่วเสวียนซินพวก นั้น ต่างได้รับผลกระทบทางด้านความคิด โดยเฉพาะกับลั่วเสวียนซิน มี ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับเยี่ยอู๋เฮิ่นที่สุด สนิทกันมาก คุยกันมากที่สุด แต่ว่า ต่างจากเด็กสาวทั่วไป เยี่ยอู๋เฮิ่นสามารถควบคุมความสงสัยใคร่รู้ เช่นนี้ของตนเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย หรือจะบอกว่าความสงสัยใคร่รู้ เช่นนี้สําหรับนางไม่สําคัญ ในชีวิตช่วงสั้นๆ สิบแปดปีของเยี่ยอู๋เฮิ่นแบ่ง ออกเป็นสองช่วง ช่วงแรกนั้นเต็มไปด้วยการต่อสู้รบราและความแค้น ส่วนครึ่งหลังนั้นในที่สุดก็ได้มีบ้านที่สุขสงบ นางจะปกป้องบ้านของ ตัวเอง
บ้านหลังนี้ก็คือภูเขาสู่
สําหรับหลี่มู่ ท่ามกลางเด็กสาวที่เขาได้สัมผัสและรู้จัก เยี่ยอู๋เฮิ่น เป็นคนที่พิเศษที่สุด
แตกต่างจากคนอื่น
“ข้าค่อนข้างเหนื่อย ข้าจะนอนแล้ว”
เยี่ยอู๋เฮิ่นลุกขึ้นเดินมายังข้างเตียงมงคล นอนลงไปทั้งชุดอย่าง เรียบนิ่ง
ผมยาวสีเขียวปูแผ่ไปบนผ้าปูที่นอนสีแดง เหมือนกับแหนที่แผ่ เติบโต ทั้งงดงามและสุขสงบ ปลดปล่อยเสน่ห์ที่ชวนให้ตกตะลึงอย่าง เงียบงัน ขนตายาวกะพริบ หลับตาลง มองจากด้านข้าง กรอบหน้ารูป ไข่ประหนึ่งหยกมันแพะดูสุขสงบและอ่อนโยน นางเหมือนว่าไม่ได้ พักผ่อนดีๆ เช่นนี้มานานมากแล้ว เหมือนว่าเหน็ดเหนื่อยมากนัก ไม่ นานก็หลับไปจริงๆ
หลี่มู่นั่งอยู่ที่โต๊ะมงคล เท้าคาง รู้สึกง่วงเช่นกัน บรรยากาศเช่นนี้กํากวมเหลือเกิน
แต่หลี่มู่รู้ว่าตัวเองต้องอยู่ในห้องหอแห่งนี้ รอจนฟ้าสว่าง จากนั้น ออกไปด้วยกันกับเยี่ยอู๋เฮิ่น
ในเมื่อเปิดอกบอกแล้วว่าจะแสดงละคร เช่นนั้นก็ต้องแสดงให้จบ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ท่ามกลางความมึนๆ งงๆ หลี่มู่ก็ฟุบหลับไปบนโต๊ะ ราตรีรายล้อม เมืองไป๋ตี้ ภูเขาสู่สงบเงียบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เสียงครึกครื้นยินดีรอบๆ เงียบลงไปช้าๆ
ฉิงเอ๋อร์เฝ้าอยู่หน้าประตูหอ นั่งกอดเข่าอยู่ที่บันได เงยหน้ามอง ดวงจันทร์
ในหัวของนางมีภาพใบหน้ายิ้มของคนคนหนึ่งผุดขึ้นไม่สลายไป
เวลามักผ่านไปเร็วเสมอ น่าเสียดายที่คนคนนั้นกลับไปยังบ้านเกิด ของตัวเองแล้ว และก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้พบเขาอีกครั้ง ในเมื่อห่าง กั้นด้วยห้วงดาราสมุทร เขาบอกว่าครั้งหน้าเมื่อแดนเซียนเปิดออก จะต้องมาหาตนอีกอย่างแน่นอน แต่นั่นมันเมื่อไหร่กันเล่า? มิต้องรอกัน จนตนผมขาวโพลนหรือ?
ส่วนที่หน้าประตูโถงใหญ่สํานักชําระดาบ
เยี่ยเฮิ่นนั่งอยู่บนเก้าอี้คนเดียวอย่างเงียบๆ สายตาอ่อนโยน พลาง มองไปยังดวงจันทร์บนฟ้า ไม่รู้ว่ากําลังคิดอะไรอยู่
อู๋หมิงยืนอยู่ข้างหลังเยี่ยเฮิ่นด้วยสีหน้าพึงพอใจ แสงจันทร์สาด ส่องเข้ามามีเพียงเงาของเก้าอี้และเยี่ยเฮิ่นเท่านั้น ไร้ซึ่งเงาของอู๋หมิง
วิญญาณไม่มีเงา
สภาพครึ่งเป็นครึ่งตาย ไม่อาจฝึกฝน นอกจากพูดแล้ว แม้แต่ถ้วย ชาหนึ่งใบ ผลไม้หนึ่งผลก็ไม่อาจหยิบขึ้นมาได้ แต่เขาก็พอใจมากแล้ว
อย่างน้อยๆ เขาก็ยังสามารถมองสตรีที่ตนรักอยู่เคียงข้างกายของ ตน
ความทุกข์ยากลําบากในอดีตผ่านไปหมดแล้ว
ท่ามกลางห้วงเวลาอันเงียบงัน เวลาที่สุขสงบเช่นนี้ สําหรับคนใน ยุทธจักรแล้วหายากยิ่งเพียงใดกัน
ดวงจันทร์ลับขอบฟ้า
หลี่มู่ตกใจพลันลืมตาตื่นขึ้น ยามเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าตัวเอง ยังคงนั่งฟุบอยู่บนโต๊ะมงคล แสงอาทิตย์ยามเช้าสีทองด้านนอกส่องเข้า มา สาดไปยังพื้นสีแดง เหมือนปูไว้ด้วยทองชั้นหนึ่ง งดงามยิ่งนัก
“เจ้าตื่นแล้ว?” เสียงของเยี่ยอู๋เฮิ่นดังมา
นางยืนอยู่ที่หน้าต่าง แสงอาทิตย์สีทองวาดเค้าร่างอันสมบูรณ์แบบ ของนางได้น่าหลงใหล ผมยาวสีเขียวมรกตทุกเส้นเหมือนว่าพันล้อมไป ด้วยแสงทอง สวยจนทําให้คนอึ้งตะลึง ประหนึ่งเทพธิดาอาบแสง ศักดิ์สิทธิ์
“หลับไปนานเพียงนี้เชียวรึ?” หลี่มู่รู้สึกไม่อยากเชื่อ ด้วยพลังฝึก ตนของเขา กลับนอนจนถึงขั้นไม่รู้ความเคลื่อนไหวข้างนอก นี่หาได้ยาก
ยิ่งนัก หรือว่าจะเป็นเพราะช่วงนี้ตนตรากตรําและเหน็ดเหนื่อยเกินไป จริงๆ หลังจากที่วางทุกอย่างได้โดยสมบูรณ์ก็เลยหลับได้อย่างจริงจัง? “บางทีเจ้าเองก็เหนื่อยเกินไปเช่นกัน ผ่านฤกษ์ไปแล้ว ข้าไม่ได้ เรียกเจ้า” เยี่ยอู๋เฮิ่นเอ่ย หลี่มู่ลูบๆ หน้าแล้วยืนขึ้น “เหนื่อยเกินไปจริงๆ นั่นแหละ…พวก เราไปเถอะ” ยามทั้งสองเดินออกมาจากห้องหอ หลายๆ คนก็รออยู่ข้างนอก แล้ว ต่างส่งเสียงหัวเราะอย่างยินดี ค�าคืนแห่งวสันต์แม้จะผ่านไปอย่างรวดเร็วแต่ก็ล�าค่า ต่อให้เป็นสองคนที่พลังฝึกตนถึงขั้นทะลวงสวรรค์ ดูแล้วก็ยังตกอยู่ ในห้วงรักใคร่สุดซึ้งเมื่อคืนวาน พลาดช่วงเวลาคารวะผู้อาวุโส ท่าทาง ความสัมพันธ์ของคู่แต่งงานใหม่คู่นี้จะไม่เลวเลย ติงอี้ยิ่งขยิบหูขยิบตาท่ามกลางผู้คน “ต้งเสวียนจื่อวิชาร่วมหอสามสิบหกท่าไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย ตาม เวลาที่คํานวณ หากข้าไม่ได้คํานวณผิดแล้วล่ะก็ เกรงว่าเมื่อคืนวานเจ้า ลัทธิดอกเหมยคงจะบานหกรอบได้กระมัง” เขาพึมพําอย่างตื่นตะลึงในใจ
คําๆ เดียวเลย——
แข็งแกร่ง!
สมกับเป็นผู้ชายที่ฝึกฝนจนถึงขั้นทะลวงสวรรค์
ต่อไปก็เป็นพิธีของคู่แต่งงานใหม่หลังจากพิธีแต่งงานของดาว ทุรกันดาร
เนื่องจากหลี่มู่มีความรู้สึกติดค้างต่อเยี่ยอู๋เฮิ่น ดังนั้นในด้านพิธีการ จึงยืนหยัดทั้งหมดจนเสร็จสิ้น
ท่ามกลางพิธีการทั้งหมด สติของท่านย่าสํานักชําระดาบดีมาก อารมณ์ก็ดีมากเช่นกัน
หลี่เนี่ยนห่าวบอกกับคนทั้งหลายอย่างยินดีเป็นการส่วนตัวว่า บาง ทีนี่อาจจะเป็นผลของ ‘ล้างเรื่องอัปมงคลด้วยเรื่องมงคล’ จริงๆ ก็ได้ ดังนั้นสภาวะการฟื้ นฟูของนางเหมือนว่าจะดีกว่าสองวันที่แล้วมาก หากเป็นไปตามแนวโน้มเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ อาจจะไม่ต้องถึงสิบปี อย่าง มากแค่ห้าปี สามปี เยี่ยเฮิ่นก็จะสามารถฟื้ นฟูสู่สภาวะคนปกติได้
ในภูเขาสู่ล้วนแต่มีเรื่องน่ายินดี
กลางวัน หลี่มู่จัดงานเลี้ยงขนาดใหญ่ในตําหนักเซียนโบยบินตอบ แทนลัทธิทั้งหลายในนามของเจ้าลัทธิ
นี่ก็เป็นเรื่องที่เตรียมเอาไว้เรียบร้อยก่อนแล้ว
ในตอนนี้หลี่มู่มีชื่อเสียงและบารมีสูงสุดในลัทธิเทพ ประหนึ่งเทพ เช่นนั้น ได้รับการเคารพบูชาอย่างสูงสุดจากลัทธิทั้งหลาย ยามหลี่มู่ยก จอกเหล้าแสดงความเคารพต่อลัทธิทั้งหลาย ทั่วทั้งเมืองไป๋ตี้ก็ดังก้องไป ด้วยเสียงโห่ร้องยินดีราวคลื่นยักษ์ขุนเขากึกก้อง
นอกจากลัทธิทั้งหลายของภูเขาสู่แล้วยังมีตัวแทนจากอาณาจักร แคว้น และสํานักทั้งหลายในโลกดาวทุรกันดารมาร่วมงานแต่งงานครั้ง นี้ด้วย
คนนับไม่ถ้วนมองเด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งงามสง่า มองเขาตอบ รับคําขานไม่หยุด มองเขามีคนติดตามมหาศาล ก็อดทอดถอนไม่ได้ ชื่อเสียงบารมีของคนคนหนึ่งมาถึงระดับขั้นนี้ได้ ในโลกดาวทุรกันดาร น่ากลัวว่าจะไม่เคยมีมาก่อน
นับจากวันนี้เป็นต้นไป โลกดาวทุรกันดารจะเป็นผืนฟ้าของภูเขาสู่ โดยไม่ต้องสงสัย
หลี่มู่ยกจอกเหล้าคารวะ
จู่ๆ ท้องฟ้าด้านนอกก็มีเมฆสีเลือดก้อนใหญ่แต่ละก้อนๆ ลอยตลบ มาอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ปกคลุมไปครึ่งฟ้า เหมือนทะเลเลือดเทไปบน
ท้องฟ้า เงาร่างคุ้นเคยร่างหนึ่งยื่นอยู่บนยอดเมฆสีเลือด ก้มมองเมือง ไป๋ตี้ สายตาทะลุหมอกหนาภูเขาสู่มาที่ร่างของหลี่มู่
“ฮ่าๆ ขุนเขาและสายน�าต่างมีวันมาบรรจบ หลี่มู่ พวกเราเจอกัน อีกแล้ว”
เขาพูดพลางหัวเราะ
…………………………………………………