จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 571 จุดพักห้วงดารา
“แย่แล้ว…” จอมมารจันทราโลหิตเหมือนสัมผัสอะไรได้ พลันหน้าเปลี่ยนสี ทะเลเลือดจากไปมีเพียงความเป็นไปได้หนึ่งเดียว คือถูกเซียนเสียไห่เรียกกลับไป
ในฐานะที่เป็นอาวุธวิเศษเต๋า เซียนเสียไห่มีอํานาจในการควบคุม มัน อันดับสองถึงจะเป็นเขา
และตอนนี้ หนึ่งในสี่ส่วนทะเลเลือดจากไปโดยไม่อยู่ในการควบคุม จะต้องไปรวมกับทะเลเลือดสามในสี่ส่วนที่เหลือ
คิดในแง่ดีคือนี่เป็นการบอกว่าในการต่อสู้กับหลี่มู่ เซียนเสียไห่ที่ อาศัยทะเลเลือดเพียงสามในสี่ส่วนทําอะไรหลี่มู่ไม่ได้ แต่หากคิดในแง่ ร้าย เช่นนั้นความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งคือเซียนเสียไห่สู้หลี่มู่ไม่ได้ เจอ กับเรื่องยุ่งยาก
จอมมารจันทราโลหิตแปลงเป็นแสงเลือดโดยไม่ต้องคิด บินพุ่งไป ยังท้องฟ้าสูง
จําต้องถอย
ต่อให้เขาไม่เป็นห่วงความปลอดภัยของเซียนเสียไห่ แต่เสียทะเล เลือดหนึ่งในสี่ไป เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของติงอี้ อยู่ต่อไปก็ไม่ต่างอะไรกับ รนหาที่ตาย
อัดอั้น
ปวดใจ
ใจของจอมมารจันทราโลหิตกําลังหลั่งเลือด
ติงอี้ที่ยืนอยู่บน ‘กระบี่อ้วน’ ไม่ได้ตามไปในทันที
เขามองไปยังคนทั้งหลายด้านล่าง และมองไปยังเยี่ยอู๋เฮิ่น “เจ้า ลัทธิจากไปแล้ว ไม่มีทางกลับมาในเวลาอันใกล้นี้แน่ เขาให้ข้ามาบอก เจ้า ภูเขาสู่ลําบากเจ้าแล้ว”
เยี่ยอู๋เฮิ่นได้ยินดังนั้น ก็เหมือนกับเดาได้ตั้งนานแล้ว สีหน้าบน ใบหน้าไม่เปลี่ยนไปมากเท่าไหร่ นางเอ่ยราบเรียบ “ข้ารู้แล้ว”
ใช่แล้ว รู้ตั้งนานแล้ว
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า เสี้ยวขณะนี้จะมาเร็วถึงเพียงนี้
การพลัดพราก ไม่ว่าจะเมื่อใดก็ล้วนเป็นสิ่งที่โหดร้ายทั้งสิ้น
“รักษาตัวด้วย” ติงอี้จู่ๆ เปลี่ยนมาเป็นเคร่งขรึม ทําให้คนไม่ชิน
เขาพยักหน้าให้เยี่ยอู๋เฮิ่น จากนั้นก็โบกมือให้กับคนทั้งหลายเบื้อง ล่าง ‘กระบี่อ้วน’ ใต้เท้าเพียงกะพริบก็ขยายขึ้นแปดสิบฉื่อ พาเขาพุ่งไป ยังท้องฟ้าสูงขึ้นไปอีก
เยี่ยอู๋เฮิ่นเงยหน้ามอง นานก็ไม่ดึงสายตากลับมา พบกันอีกครั้งจะเป็นเมื่อใดเล่า? ยินยอมเซียวโทรมเพราะท่าน แม้นผ่ายผอมก็ไม่เสียใจ
……
เขตดาราเทพวีรชน
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในเขตดาราที่ไม่ค่อยจะมีชื่อสักเท่าไหร่ในดารา จักรจื่อเวย กระแสจักรวาลของเขตดาราแห่งนี้อย่ ูในสภาวะคงที่ ไม่มี แนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้น แต่อย่างน้อยในช่วงหลายศตวรรษนี้ไม่มีทางมี แนวโน้มที่จะลดลงไปอีก
แสงเลือดกลุ่มหนึ่งหนีไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางห้วงสูญญากาศ ของจักรวาลอันมืดมิด
ใบหน้าของเซียนเสียไห่และจอมมารจันทราโลหิตต่างซีดขาวดู ย�าแย่เหมือนกัน
ตอนที่เขาไปไล่สังหารหลี่มู่ที่ดาวทุรกันดารอย่างสบายๆ คิดเอาไว้ อย่างมั่นใจว่า สิ่งที่รอพวกเขาอยู่คือเด็ดหัวหลี่มู่มาได้อย่างง่ายดาย และเงินรางวัลที่ได้มาจากการนี้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่า สุดท้ายคนที่ถูกไล่ สังหารหนีหัวซุกหัวซุนราวสุนัขจะไม่ใช่หลี่มู่แต่เป็นพวกเขา
คราวนี้อายจนไม่มีที่ให้ซุกแล้ว
ดีที่เพื่อจะฮุบเงินรางวัล ตอนที่พวกเขาไปโลกดาวทุรกันดาร จึงมี คนรู้ไม่มาก มิฉะนั้นนายบ่าวทั้งสองคนต้องกลายเป็นตัวตลกของเขต ดาราเทพวีรชนอย่างแน่นอน
เซียนเสียไห่หันกลับไปมอง ไกลออกไปหลายพันลี้ก็ยังคงเห็นแสง กระบี่กลุ่มหนึ่ง ยังคงไล่ตามมาในห้วงดาราสมุทรอันมืดมิดอย่างไม่ ลดละ
นั่นคือหลี่มู่ “เจ้านี่มันบ้าไปแล้ว?” เซียนเสียไห่ยากจะเข้าใจ
หลี่มู่ไล่สังหารตามออกมาจากโลกดาวทุรกันดาร เข้ามาในห้วง ดาราสมุทรได้อย่างนั้นรึ
เขาทั้งร้อนใจทั้งโมโหจริงๆ
“ห่างจากจุดพักห้วงดาราอีกไกลมากเท่าไหร่?” เซียนเสียไห่ถาม กัดฟันกรอดๆ
“ห่างอีกหนึ่งชั่วยาม” จอมมารจันทราโลหิตหยิบแผนที่ดาว ออกมา พิจารณาไปบนนั้นอย่างละเอียด “เป็นถิ่นของสํานักอาทิตย์ ทอง ค่าเดินทางเปลี่ยนสถานีแพงกว่าสํานักทั่วไปสามส่วน”
“ได้ ไปที่นั่นจากนั้นค่อยเปลี่ยนเส้นทาง พวกเรากลับทะเลโลหิต ข้าจะดูซิว่าหลี่มู่กล้าตามมาหรือไม่ ขอแค่เข้าไปในถิ่นทะเลเลือดของ เรา ฮี่ๆ” เสียงหัวเราะเยือกเย็นของเซียนเสียไห่เต็มไปด้วยจิตสังหาร
ไกลออกไปหลายพันลี้
หลี่มู่และติงอี้ทั้งสองคนไล่ตามอย่างไม่ลดละ
“จะไล่ต่อไปตลอดแบบนี้จริงๆ หรือ” ติงอี้ถาม “ระวังสุนัขจน ตรอกมันจะทําอะไรก็ได้ทั้งนั้นนะ”
หลี่มู่ตอบกลับไป “ก็จะให้จนตรอกนี่แหละ ทําให้เกิดความ เคลื่อนไหวดังยิ่งดี”
เขานั่งขัดสมาธิหล่อเลี้ยงปราณแท้อยู่บน ‘กระบี่อ้วน’ ของติงอี้
การต่อสู้ก่อนหน้านี้เขาโจมตีเซียนเสียไห่เต็มกําลัง บรรลุ จิตดาบ ‘ยี่สิบสี่ฤดูกาล’ ได้ไม่น้อย ตอนนี้กําลังวิเคราะห์ขัดเกลาซ�าไปซ�ามา มุ่งมั่นที่จะทําให้จิตดาบวิถีดาบสมบูรณ์แบบ
กลวิชาจิตดาบวิชานี้ มีพลังมากที่สุดในบรรดาวิชาที่เขาคิดขึ้นมา เอง และก็พอใจมากที่สุดด้วยเช่นกัน ทั้งยิ่งหวังว่าจะเป็นวิชาสมบูรณ์ แบบขั้นตํานาน ดังนั้นหลี่มู่จึงตั้งใจเป็นอย่างมาก ดําเนินการอย่าง รอบคอบ ทุ่มเทอย่างเต็มที่
ออกจากโลกดาวทุรกันดาร ออกจากภูเขาสู่ เป็นแผนที่เขาวาง เอาไว้นานแล้ว
ผ่านเรื่องแต่งงานมา เขาไม่รู้ว่าจะกล่าวลากับคนของภูเขาสู่ ทั้งหลายอย่างไร โดยเฉพาะไม่รู้ว่าจะเอ่ยลากับเยี่ยอู๋เฮิ่นอย่างไร จึงให้ ติงอี้นําคําไปบอกแทน
สําหรับเรื่องที่ติงอี้ติดตามมาก็เป็นเรื่องที่คุยกันเอาไว้ก่อนแล้ว เช่นกัน
หลี่มู่จะใช้กายเนื้อของตนดึงดูดสายตาของสํานักใหญ่ทั้งหลายใน เขตดาราเทพวีรชน รวมจุดสนใจทั้งหมดมาที่ตัวเอง แบกรับแรงปะทะ เพื่อภูเขาสู่โลกดาวทุรกันดาร ขอแค่เหล่าผู้ฝึกฝนนอกพิภพไม่รุมพุ่งไป
ยังภูเขาสู่ เช่นนั้นอาศัยค่ายกลกระบี่บัวมรกตและเมืองไป๋ตี้ พลัง ป้องกันตัวเองของสํานักภูเขาสู่ไม่มีปัญหาอะไรเท่าไหร่เลย
สิ่งที่เขาจะทําในตอนนี้ก็คือ ใช้เรื่องไล่สังหารเซียนเสียไห่บอกไป ให้ทั้วทั้งเขตดาราเทพวีรชนว่า ลูกพี่มาแล้ว
ดังนั้น จะต้องทําให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่เข้าไว้
ข่าวถึงจะแพร่ออกไป
ติงอี้ยืนอยู่บนด้าม ‘กระบี่อ้วน’ เหมือนกับคนพายเรือ สายตามอง ไปข้างหน้า
“เจ้าลูกเต่าสองตัวนั้นเปลี่ยนเส้นทางแล้ว…ระหว่างดาวที่เข้าขั้น ต่างๆ ในเขตดาราเทพวีรชนอาศัยค่ายกลเคลื่อนย้ายของจุดพักห้วง ดารา ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นนักรบหรือขุนพลก็ไม่มีทางใช้ปราณแท้ ของตัวเองอย่างโง่ๆ ใช้กายเนื้อข้ามผ่านห้วงดารา อีกทั้งผลาญปราณ แท้นั้นเรื่องเล็ก หากเจอกับลมพายุห้วงดารา แม้แต่ขั้นขุนพลก็ยัง แตกดับได้ ดังนั้น ข้าแน่ใจว่าเจ้าลูกเต่าสองตัวนั้น น่าจะไปยังจุดพักห้วง ดาราที่ใกล้ที่สุดแล้ว”
เขาท่าทางเหมือนรู้เรื่องในห้วงดาราสมุทรเป็นอย่างดี
หลี่มู่ตอบ “ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ตามไปเถอะ”
ติงอี้กระตุ้น ‘กระบี่อ้วน’ ใต้เท้าตนเหมือนเรือเหาะสีเงินลําหนึ่ง พุ่ง ผ่านห้วงสูญญากาศมืดมิดด้วยความเร็วเป็นที่สุด ไล่ตามไป
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วยาม หินอุกาบาตทรงภูเขาก้อนมหึมา ก็ปรากฏในสายตาคนทั้งสอง
หินอุกาบาตก้อนนี้ใหญ่หลายพันลี้ รูปลักษณ์ภายนอกละม้ายหิน ไข่ห่านที่ลอยอยู่ สีดําทั้งก้อน เหมือนว่าหลอมไปในห้วงสูญญากาศสีดํา หากไม่เข้าใกล้มันในระยะร้อยลี้ อยู่ไกลๆ ไม่มีทางสังเกตได้เลย
หลี่มู่เบิกเนตรสวรรค์ สํารวจอย่างละเอียดชั่วขณะหนึ่งก็จุ๊ปาก อย่างอัศจรรย์
ชั้นผิวของหินอุกาบาตขนาดมหึมาก้อนนี้มีปรมาจารย์ค่ายกลสลัก ลายดาราแปลกประหลาดเอาไว้ พลังค่ายกลที่ซ่อนเร้นเป็นอย่างยิ่ง ไหลวน ทําให้หินอุกาบาตหยุดนิ่งอยู่กับที่กลางท้องฟ้า ไม่ลอยไปใน อวกาศ เห็นได้ชัดว่านอกจากจะเป็นจุดพักห้วงดาราแล้ว ยังมีประโยชน์ ในการชี้บอกแยกแยะทิศทางอีกด้วย
อารยธรรมวิถียุทธ์ผลิบานดอกไม้ที่เปล่งประกายงดงามที่สุดใน จักรวาล
มีเพียงออกมาจากดาวดวงเล็กๆ ไม่เข้าขั้นเข้ามาในห้วงจักรวาลที่ แท้จริงเท่านั้น ถึงจะได้รู้ว่า โลกใบนี้ใหญ่เพียงใด และก็เข้าใจว่าอารย
ธรรมวิถียุทธ์ที่แท้จริงพัฒนาได้ผลลัพธ์ที่น่าเหลือเชื่ออย่างไรใน จักรวาลแห่งนี้
มิน่าเล่า อัจฉริยะและผู้ยิ่งใหญ่มากมายขนาดนั้นถึงได้อยากก้าว เข้าสู่ขั้นทะลวงสวรรค์ เปิดท้องฟ้า ก้าวเข้ามาในห้วงดาราสมุทรกันนัก ต่อให้ใช้พลังฝึกฝนขั้นทะลวงสวรรค์ ก้าวเข้ามาในห้วงดาราสมุทรถูก มองว่าเป็นแมลง แม้แต่ มนุษย์ ‘สามัญ’ ก็ยังเทียบไม่ได้ เพียงเสี้ยว พริบตาก็ตกจากยอดเขาสูงลงสู่ก้นเหว
แต่มีเพียงแค่ก้าวเข้าไปในห้วงดาราสมุทรเท่านั้นถึงจะสัมผัสกับวิถี ยุทธ์ที่แท้จริงได้นี่นา
วิถียุทธ์บนดาวดึกดําบรรพ์เหล่านั้นเป็นเพียงแค่เปลือกนอก เท่านั้น
ในห้วงดาราสมุทร ผลของอารยธรรมวิถียุทธ์แทรกซึมเข้าไปในทุก มุมของการดําเนินชีวิตเผ่าต่างๆ หลายสิ่งที่อยู่บนดาวที่ไม่เข้าขั้นดั้งเดิม ถูกมองว่าเป็นวิชาน่าตื่นตะลึง น่าอัศจรรย์ ในห้วงดาราสมุทรกลับเป็น เรื่องปกติ
ยกตัวอย่างเช่นหินอุกาบาตประหนึ่งยอดเขาเบื้องหน้าก้อนนี้ ถูก ปรับเปลี่ยนให้หยุดนิ่งอยู่กลางห้วงสูญญากาศ สําหรับเหล่าจอมยุทธ์ จากดาวดึกดําบรรพ์มากมายล้วนเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ
“พวกเขาเข้าไปในวงแรงดูดของหินก้อนนี้แล้ว ท่าทางคงจะร่อน ลงแล้ว หินอุกาบาตก้อนนี้น่าจะมีจุดพักห้วงดาราจุดหนึ่ง” ติงอี้ถามขึ้น “พวกเราจะตามต่อไปไหม?”
“ตาม”
ในใจของหลี่มู่เกิดคลื่นซัดถาโถมเป็นระลอกๆ
นี่ก็คือจุดพักห้วงดาราอย่างนั้นหรือ?
ดีเหลือเกิน
พยามยามมานานขนาดนี้ สู้มานานขนาดนี้ ในที่สุดก็นับว่าก้าวเข้า สู่ห้วงดาราสมุทรอย่างแท้จริงแล้ว
ในเสี้ยวพริบตาที่ได้เห็นจุดพักห้วงดาราหินอุกาบาตขนาดมหึมา ก้อนนี้ ก็หมายถึงว่าในที่สุดตนก็มาถึงเป้าหมายในขั้นใดขั้นหนึ่งแล้ว
กระบี่อ้วนแหวกห้วงสูญญากาศเข้าไปยังวงแรงดูดของหินอุกา บาตก้อนยักษ์
ร่อนลง ดึงระยะห่างเล็กน้อย หลี่มู่ก็ได้เห็นบนพื้นที่ราบก้อนหิน ข้างล่างมีเมืองเล็กๆ สีดําจุดหนึ่ง ตั้งตระหง่านอยู่ สิ่งก่อสร้างหลายร้อย ตึกแน่นขนัด สัมผัสได้ว่ามีกลิ่นอายของจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งแต่ละ สายๆ ไหลวน ในตําบลเล็กๆ มีผู้ฝึกฝนอาศัยอยู่
ทั้งสองร่อนลงนอกตําบล
บนหินอุกาบาตแรงดึงดูดอ่อนลง อีกทั้งอากาศยังเบาบางจนถึงขั้น แทบจะไม่มี คนทั่วไปไม่มีทางปรับสภาพได้เลย ผู้แข็งแกร่งระดับขั้น ทะลวงสวรรค์ลงมาอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ น่ากลัวว่าคงมีชีวิตได้ไม่ นาน หลี่มู่และติงอี้สองคนปรับสภาพอยู่ครู่หนึ่ง ถึงจะเดินไปบนผิวของ อุกาบาตได้
หลี่มู่ก็เป็นคนที่วรยุทธ์สูง ใจกล้า ไม่แม้แต่จะปกปิดรูปลักษณ์ ก็ เดินเข้าไปในตําบล
ไม่ผิดคาด ที่ทางเข้าประตูเพียงหนึ่งเดียวของตําบลมีผู้ฝึกฝน รักษาการณ์อยู่
“เอ๋? ดูจากท่าทางเป็นถิ่นของสํานักอาทิตย์ทอง?”
หลี่มู่มองไปยังเอกลักษณ์ของรูปแบบชุดเกราะที่ผู้ฝึกฝนที่ยืนเฝ้า รักษาการณ์สวมใส่ก็วิเคราะห์ข้อมูลบางอย่างออกมาได้ เสื้อผ้าและชุด เกราะของเจ้าสํานักอาทิตย์ทองที่เขาสังหารทิ้งที่สุสานเทพตอนนั้น เหมือนกับผู้ฝึกฝนสิบกว่าคนนี้เป๊ะๆ
ท่าทางจุดพักห้วงดาราแห่งนี้จะเป็นถิ่นของสํานักอาทิตย์ทอง
หลี่มู่เดินอาดๆ เข้าไป
“หยุด” ลูกศิษย์สํานักอาทิตย์ทองคนหนึ่งมือถือหอกกริช ขวางห ลี่มู่ทั้งสองคนเอาไว้
เอ๋?
ถูกจําได้ไวขนาดนี้เชียวเลย?
หลี่มู่กําลังคิดว่าจะสังหารล้างบางเลยดีหรือไม่
ตอนนี้เอง ลูกศิษย์สํานักอาทิตย์ทองคนนั้นก็ประเมินทั้งสองตั้งแต่ หัวจรดเท้า จากนั้นก็เอ่ยปากแค่นเสียงเย็น “มาใหม่รึ? เข้าใจกฎเกณฑ์ หรือไม่ ตําบลฉาบทองเป็นถิ่นของสํานักอาทิตย์ทอง ไม่ใช่ลูกศิษย์ของ สํานัก หากคิดจะเข้าเมืองก็ต้องจ่ายภาษี ภาษีของพวกเจ้าทั้งสองเล่า?”
สายตาของลูกศิษย์สํานักอาทิตย์ทองที่เหลือต่างจับจ้องมายังร่าง ของหลี่มู่ทั้งสองคน
ทว่า สิ่งที่ทําให้หลี่มู่แปลกใจคือลูกศิษย์สํานักอาทิตย์ทองพวกนี้ เหมือนว่าจะสนใจแต่ภาษีเท่านั้น พวกเขาไม่รู้กระทั่งว่าคนเบื้องหน้านี้ คือคนที่ทั่วทั้งเขตดาราเทพวีรชนประกาศจับ ศัตรูที่สังหารเจ้าสํานัก ของพวกเขา หรือจะบอกว่าพวกเขาไม่คิดในด้านนี้เลยว่าคนคนหนึ่งที่ เป็นนักโทษที่เป็นเป้าโจมตีจะกล้าเดินอาดๆ มาภายใต้สายตาของพวก เขาเช่นนี้
หลี่มู่หัวเราะเสียงแห้ง โยนผลึกเซียนสีเงินก้อนหนึ่งไปส่งๆ
หัวหน้ากองของผู้ฝึกฝนสํานักอาทิตย์ทองกลุ่มนี้แกล้งหลับบน เก้าอี้นอนมาโดยตลอด ตอนนี้กลับตาลุกวาว ตวัดมือชิงรับผลึกเซียน เอาไว้ จากนั้นก็สั่งลงไปอย่างรวดเร็วไม่รีรอให้ปล่อยเข้าไปทันที
ผลึกเซียนสีเงินเชียวนะ นี่เป็นมูลค่ามหาศาลก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่ง เลยเชียวนะ
ภาษีเข้าเมืองทั่วไปก็แค่ผลึกเซียนสีทองแดงก้อนหนึ่งเท่านั้น เจ้า คนบ้านนอกที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนสองคนนี้ แค่ดูก็รู้ว่าเป็นลูกไก่ที่เพิ่งเข้า มาในห้วงดาราสมุทร แต่ว่าจ่ายได้หนักดีจริงๆ
“ไป ไปรายงานผู้อาวุโส บอกว่ามีแพะอ้วนสองตัว คอยตามดูสัก หน่อย หากไม่มีภูมิหลังที่พึ่งอะไร ก็เชือดแพะกินกันเถอะ ฮ่าๆ” หัวหน้า กองผู้ฝึกฝนสํานักอาทิตย์ทองคนนี้หัวเราะอย่างละโมบ
……………………………………………………