จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 573 สัตว์ดารา
เมื่อได้ยินคําพูดของหลี่มู่ ติงอี้ทําหน้าดูถูก
“ความคิดของเจ้ามันจะไร้เดียงสาเกินไปแล้ว ตลาดนัดเล็กๆ เช่นนี้ ก็เหมือนกับตลาดผักบนภูเขาสู่นั่นล่ะ จะไปมีของดีได้อย่างไร? เจ้าจะ ไปเก็บอะไรได้จากกองไช้เท้าเน่าผักเสีย? พูดอีกทีเจ้าพ่อค้าพวกนี้ก็ ล้วนฉลาดเป็นกรดเหมือนวานรนั่นล่ะ ถ้ามีของดีอยู่จริงคงโดนเก็บเรียบ ไปแล้ว ยังจะเหลือมาให้เจ้าเก็บตกหรือไรกัน? ไร้เดียงสา อ่อนต่อโลก เสียจริง! ข้าจะบอกให้นะ คนที่มีความคิดเหมือนกับเจ้า ท้ายสุดก็โดน เอาเปรียบจนตายกันทั้งนั้น”
หลี่มู่เอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “เดินเล่นขําๆ น่า เปิดโลกทัศน์เสียหน่อย ก็เป็นเรื่องดีนี่”
เก็บตกสิ่งของ หลักๆ แล้วก็คือจิตใจความคิด
อย่าไปกอดเอาความคิดที่ว่าจะต้องกินขนมก้อนใหญ่ในคําเดียว แต่ค่อยๆ เลือกเอา การจะเจอของที่ต้องตาก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ อย่าไป คิดว่าเรื่องดีๆ ใต้แผ่นฟ้าทั้งหมดจะถูกเจ้าครอบครองไปคนเดียว
ยกตัวอย่าง ของราคาสองเหมา ถ้าเจ้าซื้อได้ในราคาหนึ่งจุดห้า เหมา สําหรับหลี่มู่ก็ถือว่าเป็นการเก็บตกแล้ว ของราคาหนึ่งร้อยเหรียญ หากเจ้าคิดจะซื้อในราคาหนึ่งเหรียญ ถึงแม้มันจะเป็นการเก็บตก แต่ถ้า เจ้าเอาแค่กอดความคิดเช่นนี้ มันก็ไม่ได้แตกต่างจากการฝันกลางวัน เลย
หลี่มู่เป็นพวกเก็บตกสายพุทธ
เพียงแค่ต้องการเดินเล่น ถ้าโอกาสมาถึง ‘พวกตกหล่น’ มันก็จะมา เอง
ทั้งสองคนมาถึงด้านนอกตลาดนัด และถูกศิษย์สํานักอาทิตย์ทอง สกัดไว้อีกครั้ง หลังจากถูกบีบให้จ่ายภาษีการค้า จึงอนุญาตให้เข้าไป ด้านใน
“ให้ตายเถอะ เจ้าพวกสํานักอาทิตย์ทองนี้มันไม่มีกินจนบ้าไป หมดแล้ว พวกเราเป็นผู้บริโภคนะ ไม่ได้ขายอะไรเสียหน่อย ทําไม จะต้องมาให้พวกเราจ่ายภาษีการค้า” ติงอี้ไม่พอใจอย่างมาก บ่น พึมพําๆ รู้สึกเหมือนตนเองถูกสูบเลือดออกไป
หลี่มู่กลับสงบนิ่ง เอ่ยว่า “เจ้าไม่ใช่พูดอยู่ตลอดหรือ ว่าในทาง ช้างเผือกผู้อ่อนแอจะเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง กฎของการมีชีวิตรอด จะชัดเจนมากขึ้น? ในเมื่อรู้อยู่แล้ว ก็ควรจะเตรียมใจให้ดีสิ เหล่าผู้
ฝึกฝนแท้จริงแล้วก็เป็นคนเหมือนกัน มีความละโมบเช่นกัน การจะมัก มากในทรัพย์มันก็เรื่องปกติ”
“เจ้านี่มองขาดจริง” ติงอี้มีสีหน้าระแวง
ไม่ถูกสิ
จ้าวลัทธิแต่ไหนแต่ไรเป็นพวกแค้นต้องชําระนี่นา มาพูดง่ายแบบ นี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?
มีอะไรตะหงิดๆ
เขาตามก้นหลี่มู่อยู่ด้านหลัง เข้าไปเดินชมในตลาดนัด
ตลาดนัดนี้ ไม่มีการตั้งร้านที่แน่นอน ล้วนเป็นแผงเคลื่อนย้ายที่มี การเคลื่อนย้ายอยู่เสมอ ดังนั้นจึงไม่ได้มีการแบ่งเขตตามสินค้าที่ขาย ระเกะระกะไปหมด เหมือนกับห้องสมุดที่ไม่ได้มีการแบ่งประเภท หนังสืออย่างไรอย่างนั้น หนังสือหลายประเภทกองกันอีเหระเขะขะ
หลังจากหลี่มู่ดูแผงขายสมุนไพรไปหลายร้าน ก็หมดความสนใจ อย่างรวดเร็ว
ถึงแม้สมุนไพรที่บางแผงมาวางขายจะเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมา ก่อน แต่ก็ไม่ได้แฝงด้วยพลังวิญญาณตัวยาที่วิเศษอะไร เมื่อเทียบกับ
สมุนไพรเทพยาเซียนที่เขาเก็บมาจากฟ้านิจนิรันดร์ ก็ยังห่างชั้นกันอยู่ บ้าง
ส่วนเรื่องยาสมุนไพรเหล่านี้จะมีคุณสมบัติพิเศษอะไรหรือไม่ เขาก็ ไม่ได้สนใจ
ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ไม่ได้ใช้
ท่าทีของหลี่มู่ดูสบายๆ เป็นการเดินเล่นแก้เซ็งจริงๆ
ทว่าติงอี้ที่ปากบอกว่าไม่สนใจ แต่ร่างกายกลับซื่อตรงอย่างมาก
พอเข้าตลาดนัด ติงอี้ก็เหมือนกับกระต่ายที่กระโดดลงไปในสวน แครอท ขอยืม ‘ทรัพย์ก้อนใหญ่’ จากหลี่มู่มาสิบเหรียญเงินผลึกเซียน ก็ เริ่มกระโดดเหยงไปตามหน้าแผงร้านต่างๆ
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ติงอี้ก็เหมือนกับคนบ้านนอกคอกนาที่ไม่เคย เห็นโลกมาก่อน โหวกเหวกไปทั่ว เพียงไม่นานในตลาดนัดก็ได้ยินเสียง แหลมต่อรองราคาของเขาด้วยอารมณ์ดุเดือดขึ้นมา
หลี่มู่ในตอนนี้เดินเล่นเหมือนเดินชมนกชมไม้จริงๆ
เดินไปเดินมา ระหว่างที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็ได้มาถึงหน้าแผงขายสัตว์ วิญญาณร้านหนึ่ง
เจ้าของแผงเป็นเด็กชายผมดําตาโตอายุสิบสี่สิบห้า พลังไม่ได้สูง มาก อยู่เพียงระดับขั้นมหาเทวะ บนคอสวมตราหยกที่มีลายค่ายกล ไหลเวียนห้อยอยู่ คอยหนุนให้เขาสามารถทํากิจกรรมในสิ่งแวดล้อม เช่นนี้ได้อย่างปกติ
หลี่มู่อดทอดถอนออกมาไม่ได้
พลังแห่งการบําเพ็ญของทางช้างเผือกน่ากลัวจริงๆ เด็กผู้ชายอายุ สิบกว่าปีก็มีพลังบําเพ็ญขั้นมหาเทวะแล้ว ถ้าอยู่บนแผ่นดินใหญ่เสิน โจวหรือดาวทุรกันดาร ก็แทบจะจินตนาการออกมาไม่ได้เลย
ด้านหน้าแผงเล็กแผงนี้ล้อมไปด้วยคนสิบกว่าคน สายตาล้วนจับ จ้องไปยังสัตว์เล็กตัวหนึ่งที่อยู่ในอ้อมกอดของเด็กชาย
สัตว์เล็กตัวนี้ตัวสีดําสนิทราวกับถูกย้อมด้วยหมึก มีเพียงส่วนศีรษะ ที่ขาวเหมือนหิมะ มองผ่านๆ เหมือนตัวนาก แต่ดวงตาใหญ่กว่าตัวนาก มาก สว่างราวกับอัญมณีสีดําที่ส่องประกายอยู่ใต้แสงตะวันก็มิปาน ขา ทั้งสี่ใหญ่หนามีกรงเล็บเหมือนแมว น่ารักสุดๆ หางแบนเรียบเหมือนใบ พายเรือ ทั้งตัวบนล่างอวบอ้วนแต่กลับคล่องแคล่วว่องไว คอยมุดไปมา อยู่ในอ้อมกอดของเด็กชาย ส่งเสียงจิ้วๆ ออกมาเป็นระยะ เลียเข้าที่ ใบหน้าและฝ่ามือของเด็กชาย เห็นได้ชัดถึงความสนิทสนม
หลี่มู่มองไม่ออกว่าสัตว์เล็กตัวนี้คือประเภทไหน แต่รู้สึกได้ว่ามันดู มีสติปัญญาอย่างมาก
ด้านหน้าเด็กน้อยเจ้าของแผง มีป้ายแนวตั้งเขียนเอาไว้ด้วยอักษร กลางของเขตดาราเทพวีรชน… “สัตว์วิญญาณแลกกับ ‘ลูกกลอนคืน สภาพ’ หนึ่งเม็ด ไม่รับผลึกเซียน”
ต้องการใช้สิ่งของแลกสิ่งของ
“เจ้านี่คือสัตว์มายาพยัคฆ์ศีรษะขาว!” มีคนเอ่ยขึ้น
เสียงโต้แย้งด้วยรอยยิ้มเย็นชาของอีกคนดังขึ้นทันที “ถ้าไม่รู้ก็อย่า มั่ว พยัคฆ์ศีรษะขาวบ้านเจ้าหางแบนแบบนี้หรือ? ที่ข้าคิดนะ นี่คือสัตว์ มายาเกราะทะลวงดาวที่กลายพันธุ์ สุดยอดเป็นอย่างมาก เกราะ ทะลวงดาวที่โตเต็มวัย เป็นถึงสัตว์ร้ายแห่งจักรวาลอันมีชื่อเสียง ถูก จัดเป็นหนึ่งในสิบสัตว์ร้ายแห่งทางช้างเผือกเลยทีเดียว กินดวงดาวเป็น อาหาร พลังเทียบเท่ากับผู้แข็งแกร่งขั้นขุนพลหรือขั้นราชาเลยทีเดียว จุ๊ๆๆ ไม่คิดเลยว่ามาจะเจอที่นี่ตัวหนึ่ง”
หลี่มู่ฟังแล้ว ในใจถึงกับสั่นเบาๆ มีสัตว์ที่ร้ายกาจถึงขนาดนี้ด้วยหรือ? เขาเริ่มสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว
นักพรตเฒ่าหน้าขาวหนวดดําที่ใบหน้าแปะยาสมานแผลอยู่คน หนึ่ง ในมือกําธงปลายแหลม ด้านหน้าเขียนว่า ‘กลยุทธ์แห่งเทพแห่งผี แห่งมนุษย์แห่งความว่างเปล่า’ ด้านหลังเขียนว่า ‘จะชี้นําสู่วิถีสู่เส้นทาง สู่ประตูสู่การแยกแยะความลับแห่งธรรมชาติ’ น�าเสียงดูยิ่งใหญ่ แต่การ กระทํากลับดูขอไปที นั่งยองลงข้างแผง โต้แย้งกลับมาด้วยแววเย้ยหยัน “อย่าเดาส่งเดชได้ไหม? เกราะทะลวงดาวทั่วทั้งตัวล้วนเป็นเกราะดารา เจ้าเคยเห็นสัตว์มายาเกราะทะลวงดาวที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยขนสีดําด้วย หรือ?”
“ข้าก็บอกแล้วไง ว่ามันอาจจะกลายพันธุ์” คนที่พูดก่อนหน้าเสียง แผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด
หลี่มู่ขําพรืดออกมา
รู้สึกว่าคนนี้ก็พูดไร้สาระเหมือนกัน
จะว่าไป ถ้านี่เป็นสัตว์มายาเกราะทะลวงดาวอะไรนั่นจริง น่ากลัว ว่าเขตดาราเทพวีรชนคงเข้ามาแย่งชิงกันเป็นบ้าเป็นหลังไปแล้ว สํานัก อาทิตย์ทองที่อยู่ใกล้ที่สุดคงคว้าไปก่อนแน่ จะยอมให้เด็กชายมหาเทวะ คนนี้มานั่งขายที่นี่ได้อย่างไร?
แล้วถ้าเป็นสัตว์มายาเกราะทะลวงดาวจริง ผู้แข็งแกร่งขั้นนักรบคง มาแย่งกันตายไปข้าง
“นี่คือสัตว์ดารา ผิวหนังหยาบกร้านเนื้อหนา ทนทานต่อการทุบตี โดยพื้นฐานเป็นสัตว์เลี้ยงที่เอาไว้ชื่นชมไว้เล่นด้วย ไม่มีพลังการรบ อะไร โอ้ ใช่แล้ว สัตว์ดารามีประสาทรับกลิ่นที่ยอดเยี่ยม นํามาใช้ ติดตามได้…”
นักพรตเฒ่าพูดถึงจุดนี้ ก็ไม่พูดอะไรต่ออีก
ทว่าผู้คนก็ล้วนเข้าในความหมายของเขา
การติดตาม ก็เป็นแค่ความสามารถไก่กาเท่านั้น
ระหว่างดวงดาวในทางช้างเผือก การติดตามส่วนใหญ่จะใช้ อภินิหารวิชาเต๋า การพึ่งพากลิ่นเพื่อติดตามต่อให้แม่นยําไม่มีพลาด แต่ ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร เพราะอาศัยเพียงกลิ่นไม่สามารถติดตามจาก ดาวหนึ่งไปอีกดาวหนึ่งได้
กลิ่นเดินทางในอวกาศได้เสียที่ไหน?
คนที่ล้อมอยู่ก็เริ่มทยอยเดินจากไป
แผงในตอนนี้กําลังจะเปลี่ยนเป็นเงียบเหงาขึ้นมาแล้ว
เด็กชายเริ่มร้อนรน รีบร้อนตะโกนเสียงดังขึ้น “เจ้าหัวเรียบไม่ใช่ สัตว์ดาราธรรมดานะ มันเป็นรุ่นหลังของราชาสัตว์ดารา มีสายเลือด ราชาอยู่ มันเก่งกาจมาก ไม่ใช่แค่ติดตามได้ แต่ยังสามารถค้นหาพืช
สมุนไพร ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นโล่ได้อีกด้วย ต่อให้ผู้แข็งแกร่งขั้นแมลง โจมตีมา มันก็ยังต้านทานได้”
เด็กชายเริ่มพูดจาสะเปะสะปะ ตะโกนบอกถึงความล�าค่าของสัตว์ มายาในอ้อมกอดตนเอง
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ กลุ่มคนได้หยุดฝีเท้าลงหันกลับมาพิจารณา ต่อ
“เจ้าตัวเล็กนี่ คลื่นพลังวิญญาณอ่อนแอจนน่าสงสาร สามารถ ต้านทานขั้นแมลงได้จริงหรือ?” มีคนสงสัย
เด็กชายตะโกนตอบ “ไม่เชื่อก็สามารถลองได้”
เขากอดสัตว์มายาไว้ในอก ปลอบประโลมอย่างสนิทสนม พูดอะไร บางอย่าง สัตว์มายานั้นก็เหมือนจะฟังคําพูดของเด็กชายออก ท้ายสุด ตนเองได้ปีนลงไปที่หน้าแผง ขดร่างตัวเองลงมาเป็นก้อน
แล้วก็มีผู้ฝึกฝนขั้นทะลวงสวรรค์คนหนึ่งยกมือฟาดกระบี่ลงมาที่ ร่างของสัตว์ตัวเล็กนี่จริงๆ ฟาดมันที่พื้นดินจนแทบจะแยกออกเป็นสอง ท่อน
“จิ้วๆๆ…” สัตว์ตัวเล็กเปล่งเสียงเจ็บปวดออกมา
แต่ที่แปลกประหลาดก็คือ พริบตาที่ร่างของมันสัมผัสกับกระบี่ ดู เหมือนกับเป็นก้อนยางลบที่ไม่มีกระดูก มองเห็นเหมือนถูกกระบี่ฟันจน ขาด แต่จริงๆ แล้วยังมีผิวหนังบางๆ ที่ยังติดกันอยู่
จนกระทั่งแสงดาบหายไป มันก็ฟื้ นฟูกลับมาเป็นร่างอ้วนกลม เหมือนเดิมอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อถอนกระบี่ออก บนพื้นก็ไม่มีริ้วรอย ใดๆ ทิ้งเอาไว้เลย
สัตว์ตัวเล็กเจ็บจนร้องออกมาราวกับเด็กน้อยที่ไม่ได้รับความเป็น ธรรม ปีนมุดเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเด็กชาย ร้องจิ้วๆ ใช้ศีรษะถูไปมา ที่ฝ่ามือของเด็กชาย ร้องหงิงๆ
เด็กชายปลอบประโลมมันด้วยใบหน้าที่เจ็บปวด
รอบด้านมีเสียงฮือฮาดังขึ้น
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เจ้าตัวเล็กนี่สามารถต้านทานการโจมตี สุดกําลังของขั้นทะลวงสวรรค์ได้จริงๆ
คนบางส่วนที่เดิมทีคิดจะเดินจากไป ใบหน้าเริ่มเกิดความสนใจ ขึ้นมา
หลี่มู่ก็มีสีหน้าแปลกใจปรากฏขึ้น
สิ่งที่สรรค์สร้างขึ้นในทางช้างเผือกนี่มันอัศจรรย์จริงๆ
ผู้ฝึกฝนที่ลงมือเมื่อครู่คนนั้น เป็นขั้นทะลวงสวรรค์อย่างแน่แท้ แต่ กลับมาถูกสัตว์ตัวเล็กมหัศจรรย์ตัวนี้ใช้ร่างกายรับการโจมตีจังๆ นอกจากอาการเจ็บแล้ว มันกลับไม่เป็นอะไรเลย
มีคนเริ่มเปิดราคา
“ ‘ลูกกลอนคืนสภาพ’ ข้าไม่มี แต่ข้าให้ ‘ลูกกลอนเพาะวิญญาณ’ เม็ดหนึ่งก็แล้วกัน เด็กน้อยอย่างเจ้าเอาไปใช้บําเพ็ญได้ แล้วเจ้าตัวเล็กนี่ ก็ให้ข้ามาว่าอย่างไร?”
“เหอๆ อย่างนี้ดีกว่า ข้าให้ผลึกเซียนสีเงินเจ้าเม็ดหนึ่ง น่าจะพอซื้อ ‘ลูกกลอนคืนสภาพ’ อยู่นะ”
“ซื้อไปแล้วก็ยังต้องเลี้ยงดูอีก ยุ่งยากอยู่เหมือนกันนา จะว่าไป แม้ จะสามารถต้านทานการโจมตีของขั้นแมลงได้แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่ใช่การโจมตีของผู้แข็งแกร่งขั้นสามัญหรือขั้นนักรบเสียหน่อย เหอๆ ข้าดูแล้ว อย่างมากก็แค่ผลึกเซียนสีทองแดงสิบเม็ด มากกว่านี้ไม่ไหว แล้ว”
“ให้ข้าพูดเรื่องความยุติธรรม ‘ลูกกลอนคืนสภาพ’ เป็นยารักษา ระดับเจ็ด ส่วนเจ้าสัตว์ดารานี่มีราคาไม่ถึงขนาดนั้น เด็กน้อย ข้ามี ‘หญ้าสวรรค์ดารา’ อยู่ต้นหนึ่ง สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้เช่นกัน
ประสิทธิภาพไม่ได้ด้อยกว่า ‘ลูกกลอนคืนสภาพ’ เลย กลั้นใจยอมแลก กับเจ้าเลยนะ เจ้าเอาเปรียบข้าไปเสียด้วยซ�า ว่าอย่างไร?”
วิธีการต่อรองราคาที่เห็นได้ปกติในตลาดนัด
“เจ้าพวกนี้หั่นราคากันมหาโหดเลย” เสียงของติงอี้จู่ๆ ได้ดังขึ้นมา จากด้านหลังของหลี่มู่
……………………………………….