จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 574 พนันหิน
ภาค 4
หลี่มู่หันกลับมามองผาดหนึ่ง
ติงอี้คนไม่ได้เรื่อง หลังจากกวาดสินค้ามารอบหนึ่ง ไม่รู้ว่ากลับมา ตั้งแต่เมื่อไร บนตัวแบกกระเป๋าน้อยใหญ่ใส่ของมากมายก่ายกอง
หลี่มู่มองเขาแบบนี้ ไม่มีอะไรจะพูด
ก็ไม่รู้จักใส่เข้าไปในช่องมิติเก็บของนะ ต้องมาแบกเอาไว้ด้านนอก ให้เห็น นี่เป็นอะไรมากหรือเปล่าเนี่ย?
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของหลี่มู่ ติงอี้หัวเราะขึ้นอย่างภาคภูมิ “ทําไม? แบกไว้ด้านนอกไม่ได้หรือ เหอๆ ข้าชอบความรู้สึกพะรุงพะรัง เต็มหลังแบบนี้นี่ล่ะ”
หลี่มู่ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว
ติงอี้สั่นศีรษะอีกครั้ง เอ่ยต่อว่า “เจ้าสุนัขกลุ่มนี้ใจดําจริง ตัดราคา กันมหาโหดเลย”
พรสวรรค์ ‘สืบถาม’ ของเขาแสดงออกมาได้อย่างสวยสดหมดจด สืบเอาตลาดนัดทั้งหมดนี้จนปรุโปร่งหมดแล้ว แค่ได้ยินคนเหล่านี้ขาน ราคาขึ้นมา ก็รู้ทันทีว่าราคาที่พวกเขาเปิดมันต�ากว่าราคาของสัตว์น้อย ตัวนี้
หลี่มู่ไม่มีอะไรจะพูด
ต่อให้ติงอี้ไม่พูด เขาก็เดาออกเหมือนกัน
คนที่มายังจุดพักห้วงดาราสมุทร ใครบ้างที่ไม่ใช่พวกเจนโลก ล้วน เป็นพวกประสบการณ์เยอะพวกยอดยุทธจักรทั้งนั้น ใจดํามือเหี้ยม เพียงอ้าปากทุกคําพูดก็เหมือนมีดฟันลงมา ตัดราคากันอย่างน่าตก ตะลึง
เห็นได้ชัดว่าเห็นเด็กชายตัวคนเดียวไม่มีที่พึ่ง จึงได้กดราคากัน อย่างร้ายกาจ
เด็กชายกลับปณิธานแน่วแน่ ต้องการเพียง ‘ยาลูกกลอนคืน สภาพ’ เม็ดเดียวเท่านั้น อย่างอื่นไม่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นผลึกเซียนหรือ ใช้สิ่งของอื่นมาแลก ล้วนปฏิเสธไปทั้งหมด
มีคนเริ่มหมดความอดทน ใช้คําพูดคุกคาม
นักพรตเต๋าที่เรียกชื่อของสัตว์ตัวเล็กก่อนหน้านี้ ร้องเหอๆ เอ่ยขึ้น ว่า “ทุกท่าน เช่นนี้ก็ไม่ถูก คุณย่าของเด็กน้อยนี่กําลังป่วยหนัก มีเพียง ‘ลูกกลอนคืนสภาพ’ เท่านั้นถึงจะสามารถรักษาได้ ดังนั้นเขาจึงกัดฟัน ต่อเงื่อนไขนี้ ใจคนก็ล้วนเกิดจากเลือดเนื้อเหมือนกัน ทุกท่านอย่าได้บีบ เขามากกว่านี้เลย คุณย่าของเขานอนอยู่ในถ�าที่นอกตลาดนัดนี่เอง…”
เด็กผู้ชายเมื่อได้ยินในดวงตาได้เปล่งประกายระแวดระวังขึ้นมา ทันที จ้องมองไปยังนักพรตเฒ่า
นักพรตเฒ่าเอ่ยต่อว่า “เหอๆ เด็กน้อย เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ได้ไป ตรวจสอบอะไรเจ้า” เขาโบกธงในมือไปมา เอ่ยต่อว่า “ใต้แผ่นฟ้านี้ไม่มี อะไรที่ข้าทํานายไม่ได้ เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ได้มีเจตนาไม่ดีกับเจ้า”
เด็กชายได้ยินการอธิบายเช่นนี้ แต่แววระแวดระวังในดวงตาก็ ไม่ได้ผ่อนคลายลงเลย
เขามีความรู้สึกระมัดระวังอย่างมากต่อทุกคน
นักพรตเฒ่าก้ไม่ได้สนใจเด็กน้อยอีก หันไปบอกกับกลุ่มคนต่อว่า “ทุกคนล้วนเดินอยู่บนยุทธจักร ก็ควรที่จะเข้าใจว่าบนยุทธจักร จะทํา เรื่องอะไรก็ต้องมีหลักการทั้งนั้น สัตว์ดาราตัวนี้ถูกเลี้ยงดูโดยเลือด วิญญาณของเด็กชายตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ เป็นเหมือนกับเพื่อนและ ครอบครัว แต่ต้องนําออกมาแลกยาเพื่อรักษาคุณย่าของเขา ทุกท่าน โปรดเห็นใจด้วยเถิด อย่าได้ไปแก้ความตั้งใจเดิมของเขาเลย”
นักพรตเฒ่าพูดเช่นนี้ คนบางส่วนก็สั่นศีรษะเลือกที่จะยอมแพ้แล้ว เดินจากไป
นักพรตเฒ่าไม่กี่เดือนมานี้ได้คอยทํานายทายทักหาเลี้ยงในเมือง ทองคํามาตลอด ทํานายได้ค่อนข้างแม่นยํา มีชื่อเสียง ดังนั้นคนเฒ่าคน แก่บางส่วนจึงให้หน้าเขาอยู่พอประมาณ
ทว่าไม่ใช่คนทั้งหมด ที่จะไว้หน้านักพรตเฒ่าผุ้นี้
“ ‘ลูกกลอนคืนสภาพ’ หนึ่งเม็ดแพงไปหน่อย แต่ถ้าครึ่งเม็ดยังพอ พิจารณาได้” ชายอ้วนในมาดพ่อค้าคนหนึ่ง สวมหมวกหนังพร้อมด้วย องครักษ์ข้างกายสองคน ลูบคางสามชั้นของตนเอง เอ่ยขึ้นพร้อมเสียง หัวเราะคิกคัก
สีหน้าของเด็กชายผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เขานั่งอยู่ที่นี่มาเกือบจะครึ่งวันแล้ว ในที่สุดก็มีคนที่มี ‘ลูกกลอน คืนสภาพ’ ออกมาเสียที เขารู้สึกใจเต้น ทว่าเพียงไม่นานก็เหมือนคิด อะไรออก สั่นศีรษะอย่างแน่วแน่ “ไม่ ต้องหนึ่งเม็ด”
พ่อค้าคนนั้นเพียงยิ้มจางๆ ไม่ต่อราคาอีก
“เด็ดหัวเจ้าตัวเล็กนี่ แล้วเอาหนังมันมาทําเกราะ จะต้องสร้าง เกราะขั้นดีขึ้นมาได้แน่ๆ” ยังมีคนตาเป็นประกาย มองออกแล้วว่า ความลับที่สัตว์ตัวน้อยสามารถต้านทานการโจมตีของขั้นทะลวงสวรรค์ ได้นั้นอยู่ที่ผิวหนังสีดําอันมหัศจรรย์ของมันนั่นเอง
เด็กชายที่กําลังกอดเพื่อปลอบสัตว์ตัวน้อย เมื่อได้ยินคําพูดเช่นนี้ก็ หน้าถอดสี กอดเจ้าสัตว์ตัวน้อยที่ชื่อว่าหัวเรียบในอ้อมอกแน่นขึ้นมาอีก
และเจ้าสัตว์ตัวน้อยนั่น ก็ราวกับฟังออกถึงภาษามนุษย์ จ้องมอง ไปยังคนที่พูด เปล่งเสียงคํารามต�าแยกเขี้ยวอันแหลมคําสีขาวราวกับ กริช ดวงตามีประกายความโกรธแค้นและความเป็นศัตรูไหลเวียน
เด็กชายและสัตว์ตัวน้อย เหมือนกับเป็นวิญญาณสองตนที่คอย พึ่งพากันและกันในสถานการณ์คับขัน กอดกันกลม ปักหลักป้องกันการ เอาเปรียบของพวกเขา
หลี่มู่ที่อยู่ข้างๆ มองอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกเห็นใจต่อสัตว์ตัวน้อยที่ชื่อว่า หัวเรียบเหมือนกัน แต่ว่าข้อหนึ่ง บนตัวเขาไม่มีตัวยาที่ชื่อว่า ‘ลูกกลอน คืนสภาพ’ สองก็คือความสัมพันธ์ของสัตว์ตัวน้อยและเด็กชายสนิท สนมแนบแน่นกันมาก เป็นราวกับญาติสนิทเหมือนที่นักพรตเฒ่าว่า เขา ก็แย่งชิงของรักคนอื่นมาไม่ได้หรอกนะ
หวังว่าเด็กชายจะได้เจอกับโชคที่ดี
หลี่มู่หันหลังเดินจากมา
ติงอี้สั่นศีรษะ
เลือดของเผ่าราชาสัตว์ดาราก็ถือว่ามีราคาอยู่ เด็กน้อยพอร้อนรน ก็รีบเผยความหายากของเจ้าสัตว์ตัวน้อยนั่นออกมา น่ากลัวว่าจะไปยั่ว เอาความยุ่งยากที่ไม่คาดคิดเข้ามานี่สิ
ทั้งสองคนเดินต่อไปยังแผงร้านอื่นเสียรอบหนึ่ง
หลี่มู่ซื้อเอาของเล็กๆ น้อยๆ หลายชิ้น ล้วนเป็นพวกเครื่องประดับ ทองวิชาเต๋า มองแล้วประณีตดี และยังมีพลังมหัศจรยย์บางส่วนอีกด้วย แต่จะเน้นไปที่การชมการดูมากหน่อย ไม่ได้มีค่าอะไรมากนัก หลี่มู่ซื้อ มาเพื่อจะมอบให้กับคนอื่น ฮวาเสี่ยงหรงบ้าง หวางซื่ออวี่บ้าง ต๋าจี่ตัว น้อย ไหนจะยังชิงเฟิงหมิงเยวี่ย…
ถือเป็นน�าใจเล็กๆ น้อยๆ
ส่วนติงอี้กลับเผยให้เห็นนิสัยชอบกว้านซื้อของตนเองออกมา กวาดสินค้าเรียบอีกครั้ง หญ้าสมุนไพร อัญมณีมากมายก่ายกอง ไหนจะ ยังพวกชุดเกราะอาวุธผุๆ พังๆอีก เขาสนใจมันทั้งนั้น
“ไม่แน่ว่าในนี้จะมีสมบัติชิ้นใหญ่อยู่นา ฮ่าๆ เก็บตกๆ” เขาอารมณ์ ดีสุดๆ
หลี่มู่ไร้ซึ่งคําพูดใดๆ
ใครกันที่ตอนแรกบอกว่าตลาดนัดนี้ก็เหมือนตลาดสดขายผัก ของ ข้างในมีแต่ผักเน่าใบไม้เสียทั้งนั้น?
ระหว่างที่เดินชมอยู่นั่น หลี่มู่จู่ๆ ได้ถูกดึงดูดโดยคลื่นพลังจางๆ วูบ หนึ่งที่ถูกส่งมาจากด้านหน้า
พลังที่ไม่เหมือนใคร อยู่ระหว่างความเป็นและความตาย ก่อนหน้า นี้ไม่เคยพบมาก่อนเลย
ที่สําคัญก็คือ พลังนี้เหมือนกับจะอยู่ในวิชาก่อนกําเนิด ราวกับว่า จะมีความเกี่ยวข้องขานรับกันอยู่จางๆ
หลี่มู่ใจสั่นกึก
เขาเดินไปตามทิศทางของคลื่นประหลาดนี้ เดินต่อไปด้านหน้าราว เจ็ดจั้งจนมาถึงหน้าร้านแผงหนึ่ง
ผ้าสีดําผืนหนึ่งปูอยู่บนพื้น
บนผ้ามีก้อนหินเล็กใหญ่รูปแบบแตกต่างกันอยู่หลายสิบก้อน ก้อน ใหญ่ก็ราวครึ่งตัวคน ก้อนเล็กหน่อยก็เท่าศีรษะทารก สีแตกต่างกัน สีดํา กับเขียวเข้มเยอะหน่อย วางกันระเกะระกะ
เจ้าของแผงเป็นชายลึกลับทั่วตัวสวมไว้ด้วยชุดคลุมสีดํา ใบหน้า สวมหน้ากากสีดํา โผล่ออกมาเพียงดวงตากับจมูกเท่านั้น แยกไม่ออก ว่าชายหรือหญิง แต่ดูจากแววตาแล้วอายุอานามก็ไม่ใช่น้อย แววตาดู กร้านโลกราวกับผ่านเรื่องราวบนโลกมนุษย์มามากมาย
คลื่นพลังประหลาดขานรับกับ ‘วิชาก่อนกําเนิด’ ที่หลี่มู่สัมผัสได้ ก่อนหน้า มาจากในกองหินเหล่านี้นี่เอง
รอบๆ แผงมีคนอยู่ไม่น้อย
“หินก้อนนี้ไม่เลว สถิติที่แปดส่วนที่จะสกัดแยกเอาผลึกเซียน ออกมา น่าจะอยู่ที่ระดับเงิน…” ชายกลางคนมาดเหมือนพ่อค้าคนหนึ่ง ใช้มือชั่งน�าหนักก้อนหินสีเขียวเข้มขนาดฝ่ามือผู้ใหญ่ก้อนหนึ่งแล้วพูด กับตนเอง จากนั้นหันไปถามเจ้าของแผง “ก้อนนี้ราคาเท่าไร?”
เจ้าของแผงไม่เงยหน้า น�าเสียงแหบแห้งราวกับเหล็กขึ้นสนิมสอง ชิ้นมาสีกัน ตอบว่า “ผลึกเซียนสีเงินหนึ่งเม็ด”
“แพงเกิน” ชายกลางคนทิ้งก้อนหินกลับไปในกอง เอ่ยต่อว่า “ต่อ ให้สกัดแยกออกมาเป็นผลึกเซียนระดับเงินร้อยทั้งร้อย ขนาดก็ ประมาณผลึกเซียนสีเงินหนึ่งเม็ดเท่านั้น ไม่คุ้มค่าเลย”
เจ้าของแผงไม่พูดอะไร อยู่ในท่าทีอยากซื้อก็ซื้อ
หลี่มู่ตอนนี้จึงได้เข้าใจ แท้พวกก้อนหินน้อยใหญ่เหล่านี้ จริงๆ คือ แร่ดิบของผลึกเซียน
ฟังดูแล้ว คล้ายๆ กับหยกดิบบนดาวโลกอยู่
นี่คือการพนันหิน
หินต้นกําเนิดเหล่านี้เมื่อสกัดแยกออกมา ด้านในจะมีสถิติที่จะเป็น ผลึกเซียน มูลค่าของมันสําหรับผู้ฝึกตนแล้วสําคัญกว่าหินหยกดิบบน โลกหลายต่อหลายเท่า เพียงแค่พนันถูกก็กําไรมหาศาล ถ้าพนันผิดก็ทํา ได้แค่ยอมรับว่าแพ้พนันเท่านั้น
เจ้าของแผงที่ทั่วตัวคลุมไปด้วยชุดสีดํา น่าจะเป็นคนขุดแร่ระหว่าง ดาวที่เดินทางคนเดียว
หลี่มู่สังเกตอยู่อีกครู่ ก็มีคนทยอยเข้ามาเลือกหินกันอีก
มองออกได้ว่า การเลือกหินต้นกําเนิดผลึกเซียนก็เป็นอีกหนึ่ง ศาสตร์ที่ล�าลึก คนเหล่านี้สังเกตเอกลักษณ์ออกมาจากรูปร่างภายนอก น�าหนักและลวดลาย แล้วนํามาพิจารณาจากนั้นจึงเปิดราคา
ทว่าท้ายสุดราคาที่เจ้าของแผงให้มา ก็ล้วนแพงกว่าราคาที่ผู้ซื้อ เสนอไปอยู่ไม่น้อย ดังนั้นผ่านไปชั่วหนึ่งก้านธูป คนที่มาดูหินก็มีไม่น้อย ทว่าท้ายสุดที่ซื้อขายสําเร็จกลับไม่มีเลยสักคน
เจ้าของแผงคนนี้ยังคงทําท่าไม่ใส่ใจ ราคาเดิม ไม่ยอมลดโดย เด็ดขาด ส่งผลให้เหล่าผู้ซื้อล้วนเกิดความโมโหขึ้น ทว่าก็ทําอะไรไม่ได้ “เจ้าทําแบบนี้มันไม่ใช่การค้าเลย” มีคนเอ่ยเตือนขึ้น เจ้าของแผงอ้าปากตอบ “อยากซื้อก็ซื้อ” คลื่นพลังจางๆ วูบหนึ่งบนตัวเขา เปล่งประกายแล้วหายไป แข็งแกร่งและน่ากลัว น่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นสามัญ คนที่เอ่ยปากเตือน ก็รีบหุบปากลงทันที คนรอบๆ ที่คิดจะใช้วิธีอื่นเพื่อเบนความคิด ก็ล้วนล้มเลิกความ ตั้งใจไป ผู้ฝึกตนขั้นสามัญในเมืองทองคํา ถือว่าเป็นกลุ่มที่อยู่ยอดสุดแล้ว เป็นพวกร้ายกาจทั้งสิ้น ไม่จําเป็นต้องไปยั่วโมโห หลี่มู่ก็เริ่มเกิดความสนใจ เขานั่งยอง เริ่มค้นๆ เขี่ยๆ จากกองหินนี้ดูบ้าง จริงๆ แล้วเขาไม่ได้รู้เรื่องศาสตร์การเลือกหินต้นกําเนิดเลย หลักๆ ก็เพื่อหาก้อนหินที่ปล่อยพลังประหลาดนั้นออกมาเท่านั้น
แต่ก็ไม่รู้เพราะอะไร ยิ่งเข้าไปใกล้ พลังประหลาดนั้นกลับยิ่งจางลง อย่างมาก บอกได้เพียงว่ามันมาจากในกองหินเหล่านี้ แต่ในระยะเวลา สั้นๆ กลับไม่สามารถบอกได้ว่ามาจากก้อนไหน
หลี่มู่คิดว่าวิธีนี้ประสิทธิผลค่อนข้างช้า ก็เลยใช้งานเนตรสวรรค์ เสีย
ที่นี่คนพลุกพล่าน ดังนั้นหลี่มู่จึงระมัดระวัง ดวงตาแนวตั้งเปิด ออกเป็นเส้นแนวเล็กๆ เก็บแสงประกายไว้ด้านใน เขาก้มหน้าลง คน อื่นๆ จึงไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติ
เขาหยิบหินต้นกําเนิดก้อนหนึ่งขึ้นมาสํารวจ
“เอ๋?”
หลี่มู่ประหลาดใจ
พลังของเนตรสวรรค์ ไม่สามารถมองทะลุชั้นนอกของหินต้น กําเนิดเหล่านี้ได้ มองไม่เห็นสิ่งที่แฝงอยู่ด้านใน
น่าสนใจ
แต่ว่าพอมาคิดดูก็เป็นเรื่องปกติ
ผู้ฝึกตนในทางช้างเผือก คนที่ฝึกวิชาเนตรต่างๆ ก็มีไม่น้อย ถ้า หากสามารถมองทะลุหินต้นกําเนิดได้ล่ะก็ การพนันหินก็คงกลายเป็น เรื่องตลกไปแล้วสิ ภายใต้วิชาเนตร คุณภาพความบริสุทธิ์ของหินต้น กําเนิดถูกมองเห็นอย่างชัดเจน เช่นนั้นแล้วจะมีการพนันหินไปเพื่อ อะไร
วิชาเนตรสวรรค์ ล้วนมองทะลุหินต้นกําเนิดไม่ได้
หลี่มู่คิดๆ แล้วเริ่มรู้สึกไม่ยอม ทดลองต่อไปด้วยความหวังอันน้อย นิด กระตุ้น ‘วิชาก่อนกําเนิด’ กรอกปราณแท้บริสุทธิ์ลงไปในเนตร สวรรค์ พลังอันมหัศจรรย์ปกคลุมที่ดวงตาเนตรสวรรค์กลางหน้าผาก
ความมหัศจรรย์ปรากฏขึ้นแล้ว
เปลือกหินชั้นนอกของหินต้นกําเนิด จู่ๆ เหมือนกับหายไป
เขามองเห็น ใจกลางของหินต้นกําเนิดขนาดฝ่ามือผู้ใหญ่ก้อนนี้ มี กลุ่มแสงสีทองสว่างอยู่กลุ่มหนึ่ง ราวกับแสงทองของอาทิตย์ก็มิปาน เจิดจ้าแยงตา กินพื้นที่ไปราวหนึ่งส่วนสามของก้อนหินต้นกําเนิด
นี่มันคืออะไร? หลี่มู่รู้สึกประหลาดใจและอยากรู้อยากเห็นมาก ……………………………………….