จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 586 ระห่ำาพอหรือยัง?
กับผีน่ะสิ
ยังจะมาบอกว่าเรียกศิษย์พี่สองแล้ว ก็จะเป็นศิษย์พี่สองตลอดชีวิต อีก!
หลี่มู่พูดไม่ออกกับเจ้าภูตหมูตนนี้จริงๆ
“นี่ต่างหากที่เป็นเจ้านายเจ้า” หลี่มู่ชี้ไปยังเจ้าของแผงชุดดํา เอ่ย ต่อว่า “เขาเก็บเจ้าหินต้นกําเนิดก้อนนี้เอาไว้ เก็บเจ้าเอาไว้ตลอด มี บุญคุณต่อเจ้า เจ้ารีบไปติดตามเขาเลย”
“ค่อกๆ สกุลจูอย่างข้ามีหรือจะไปติดตามคนธรรมดาที่สกัดแค่หิน ต้นกําเนิดก็ยังไม่ได้” ภูตหมูทําเสียงค่อกๆ ดูถูกเจ้าของแผงชุดดําเป็น อย่างมาก จากนั้นหันศีรษะกลับมาประจบสอพลอหลี่มู่ต่อ “เชื่อข้า เถอะ พวกเรามีวาสนาต่อกัน”
เจ้าของแผงชุดดําพูดไม่ออก
แต่ว่า ในใจเขาก็ไม่ได้โกรธเคือง
สิ่งที่ถูกสกัดแยกออกมาจากหินต้นกําเนิดเทพจะต้องเป็นสิ่งที่ไม่ ธรรมดา ภูตหมูตนนี้ดูแล้วเหมือนจะไม่ค่อยได้เรื่อง แต่ใครจะรับประกัน ได้ว่าเขากําลังเก็บงําฝีมือไว้หรือเปล่า?
ถึงอย่างไรก็เป็นสิ่งที่กลายเป็นภูตไปแล้ว
แต่ว่าในใจหลี่มู่รําคาญนี่นา
“พวกเราทั้งสองไม่มีวาสนาต่อกัน” หลี่มู่เอ่ยขึ้น “ร่างกายเป็นชาย ดุจเหล็กกล้า ข้ากับผู้ชายเดิมทีก็ไม่มีวาสนาอะไรต่อกันอยู่แล้ว…”
ภูตหมูร้องค่อกๆ ด้วยความเคยชิน เอ่ยว่า “ชายดุจเหล็กกล้า? นั่น มันอะไรกัน? หรือว่าเจ้าจะเป็นเหล็กกล้าที่กลายมาเป็นภูต? ไม่เป็นไร หรอก ถ้าเจ้าชื่นชอบความสวยความงาม ข้าก็เติมเต็มให้เจ้าได้”
พูดพลาง เขาก็แปลงร่างกลายเป็นสาวน้อยหน้าตาแฉล้มยั่วยวน ในชุดวับแวม เอ่ยขึ้นด้วยเสียงออดอ้อน “นายท่าน ทาสคนนี้สวย ไหม?”
ให้ตายเถอะ
หลี่มู่แทบพ่นพรวด
“ขยะแขยงจริง” เขาเอ่ยขึ้น “ตอนเจ้าแปลงร่างก็ช่วยเก็บเจ้าพุง พลุ้ยของเจ้าเสียหน่อยได้ไหม”
ภูตหมูก้มลงมอง ที่แท้พุงอันใหญ่โตของตนเองก็ไม่ได้เก็บเข้ามา จนดูเหมือนสาวท้องแก่อย่างไรอย่างนั้น รีบร้อนยิ้มประจบเอ่ยขึ้นว่า “ค่อกๆ ไม่ได้แปลงมาหลายปี สะเพร่าไปหน่อย”
เขาใช้มือบีบ พุงก็ถูกยัดเข้าไปจนเรียบรื่น สะดือบนท้องน้อยแบน ราบ แต่ไม่รู้เพราะอะไรจมูกหมูกลับปรากฏออกมาชัดเจน เจ้า จินตนาการถึงใบหน้าของสาวงามที่จมูกจู่ๆ กลายเป็นหมูออกไหม?
หลี่มู่เอ่ยขึ้น “เจ้ากลับไปหาพี่ใหญ่เจ้ากับอาจารย์เจ้าเถอะ ข้าไม่ กล้ารับเจ้ามาจริงๆ”
ติงอี้ที่อยู่อีกด้านกลับมองจนใบหน้าเปล่งประกาย
“จ้าวลัทธิ รับเขาไว้ได้น่า ให้เขาแปลงร่างเป็นม้าให้เจ้าขี่ไง” ติงอี้ เสนอความคิดส่งเดชขึ้น
ภูตหมูรีบตะโกนขึ้นทันที “นั่นไม่ได้หรอกนะ ข้าสกุลจูก็มีศักดิ์ศรี เหมือนกัน เจ้าขึ้นข้าได้ แต่เจ้าขี่ข้าไม่ได้…”
หลี่มู่ “…”
ติงอี้ “…”
เจ้านี่ดูยังไงก็เป็นภูตหมูที่ไม่ได้ดูจริงจังเอาเสียเลย
หลี่มู่เดิมทีตัดสินใจว่าจะไม่รับเจ้าภูตหมูนี่มาเด็ดขาด แต่ก็ไม่รู้ เพราะอะไร ภูตหมูตนนี้ก็เอาแต่เกาะแกะอยู่ข้างกายหลี่มู่ตลอด ท้ายสุด ก็พุ่งตัวเข้ามากอดขาหลี่มู่ไว้อย่างไม่คิดจะปล่อยมือ
ในที่สุดหลี่มู่ก็หมดปัญญา
ภูตหมูตนนี้แรงเยอะเหลือเกิน หลี่มู่สะบัดไม่หลุด
“เด็กน้อย เจ้าก็รับเขาไว้เถอะ นับแต่โบราณมา ไม่ว่าจะเป็นใครก็ แล้วแต่ ทุกสรรพชีวิตที่อยู่ด้านในหินต้นกําเนิดก็ล้วนเป็ฯโอกาสทั้งสิ้น ในเมื่อเขายินดีที่จะติดตามเจ้า ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นสิ่งที่ฟ้ากําหนดลง มาแล้วก็ได้” เจ้าของแผงชุดดําเอ่ยขึ้น
“ใช่เลยใช่เลย สวรรค์กําหนดมา สูงส่งสูงส่ง” ภูตหมูรีบร้อนพยัก หน้าหงึกหงักอย่างตั้งใจ
หลี่มู่คิดๆ ไอ้ครั้นจะมาเกาะแกะอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็คงไม่ใช่เรื่อง ดี
ตอนนี้ ข่าวสารคงจะส่งออกไปจากเมืองทองคําแล้วอย่างแน่นอน ตนเองก่อเรื่องใหญ่โตตามที่วางไว้แล้วเสียขนาดนี้ สังหารพวกของโจว ฉางฟ่า บวกกับสกัดแยกหินระดับเทพออกมาเป็นหมูตัวหนึ่ง แค่นี้ก็ สั่นสะเทือนเขตดาราเทพวีรชนได้แล้ว
หากยังเสียเวลาอยู่ น่ากลัวว่าพวกที่ไล่สังหาร นักล่าเงินรางวัลคง ไล่ตามกลิ่นคาวเลือดมาเหมือนฉลามเป็นแน่
ได้เวลาหนีแล้ว
“ก็ได้” หลี่มู่ทําได้เพียงรับปาก
ภูตหมูดีใจขึ้นทันที
หลี่มู่เดินออกไป ยกมือตวัดดาบลง สังหารพ่อค้าอ้วนเตี้ยที่กําลัง ดิ้นรนลงอย่างไร้ความปราณี จากนั้นกวาดเอาสิ่งของจากมิติเก็บของ บนตัวเขามาจนหมด รวมไปถึงอุปกรณ์ชุดเกราะบนร่างของศิษย์สํานัก อาทิตย์ทองคนอื่นๆ จนเรียบ
ภูตหมูเมื่อเห็นฉากนี้ ก็รู้สึกตกตะลึงจนเนื้อเต้น
ดูเคยชินกับวิธีการเหลือเกิน แค่มองก็รู้ว่าเป็นคนที่สังหารคนมา ครั้งแล้วครั้งเล่าจนชิน
พอจัดการเรื่องทั้งหมดเสร็จ หลี่มู่คิดอีกครุ่หนึ่ง บนกําแพงหินก้อน หนึ่งที่ลานกว้างเล็กในตลาดนัด ใช้ดาบสงครามห่านฟ้าสลักตัวอักษร ขนาดใหญ่ขึ้น….
“ผู้สังหาร ‘ดาบคลั่ง’ นามหลี่มู่”
ตัวอักษรเหล่านี้จิตดาบไหลเวียน ไอสังหารคุกรุ่น ทําให้คนเมื่อ มองเห็นก็รู้สึกเหมือนมีดาบเทพเล่มหนึ่งฟาดเข้ามา
แค่นี้ชัดเจนพอหรือยังนะ?
หลี่มู่คิดๆ และได้เสริมโซฟาชั้นที่สองเข้าไปอีกประโยค….
“ไม่กลัวตายก็ไล่ตามข้ามา”
จากนั้นก็มีพื้นห้องชั้นที่สามตามมาอีกบรรทัด…
“ข้าว่าเจ้าพวกสํานักใหญ่ในเขตดาราเทพวีรชนก็ล้วนเป็นขยะ ทั้งนั้น”
หลังจากเขียนป้ายเทียบเชิญ โซฟา พื้นห้องเสร็จแล้ว หลี่มู่รู้สึกว่า ‘ป้าย’ ของตนเองป้ายนี้จะต้องโด่งดังแน่ๆ จึงเก็บดาบลงด้วยความพึง พอใจ
“เป็นอย่างไรบ้าง?” หลี่มู่หันหน้ากลับไปถามติงอี้ “ระห�าพอหรือ ยัง?”
ติงอี้กุมขมับอย่างพูดไม่ออก
ภูตหมูกลับกระโดดเหยงขึ้นมา ตะโกนขึ้น “ยังไม่พอ ยังไม่พอ ข้า เสริมให้อีกประโยค…”
เขากระโดดเหยงขึ้นมา ใช้คราดตะปูเก้าฟันขีดๆ เขียนๆ เอียงกะ เท่เร่ลงบนกําแพงอีกประโยค…
“ไอ้หลานชาย ข้าคือบิดาของพวกเจ้า”
เขียนจบ เขาก็เอ่ยขึ้นอย่างพึงพอใจ “เป็นอย่างไร?”
หลี่มู่ขมวดคิ้ว
เขามองออกว่าภูตหมูเขียนตัวอักษรของเขตดาราจักรเทพวีรชนที่ เป็นทางสายหลักในยุคอดีตสมัย คล้ายกับการเขียนอักษรข่ายซูใน ประเทศจีนบนโลกปัจจุบันนั่นล่ะ ถึงแม้จะไม่ใช่อักษรปัจจุบัน แต่ก็ยัง อ่านเข้าใจ
ปัญหาก็คือ…
“ประโยคป่วยเหลือเกินเจ้านี่” ติงอี้อีกด้านเอ่ยขึ้นอย่างทนไม่ไหว
ที่จะตรงกับหลานชายมันควรจะเป็นคุณปู่ไม่ใช่หรือ?
ภูตหมูไม่รู้สึกเช่นนั้น เอ่ยกลับมาว่า “ประโยคป่วยอะไร? เจ้าไม่ เข้าใจเอง ข้าต้องการพลังทะยานฟ้าอย่างบ้าระห�าต่างหาก”
ท้ายสุด พวกของหลี่มู่สองคนกับอีกหนึ่งหมู เก็บกวาดทรัพย์สิน ทั้งหมดแล้ว ก็ได้โบกมือลากับผู้คนบนลานกว้าง
ขณะที่เดินผ่านเด็กชายคนนั้น หลี่มู่ถือเอาจังหวะที่คนอื่นไม่ทัน สังเกต ใช้นิ้วดีด ‘ลูกกลอนคืนสภาพ’ สองเม้ดเข้าไปในฝ่ามือของ เด็กชายอย่างไร้ซุ่มเสียง
นี่เป็นสิ่งที่หลี่มู่ค้นออกมาได้จากบนตัวพ่อค้าอ้วน
เจ้าพ่อค้าคนนี้มีลูกกลอนอยู่จริง แถมยังไม่น้อยอีกด้วย
เขาสามารถใช้ยาลูกกลอนเพื่อมาแลกกับราชาสัตว์ดาราได้ แต่ กลับยังเลือกที่จะสังหารคนเพื่อแย่งชิง เห็นได้ชัดว่าพ่อค้าคนนี้จิตใจ โหดเหี้ยมถึงขีดสุด ถือว่าสังหารถูกคนแล้ว
เด็กชายรู้สึกว่าในฝ่ามือมีอะไรเพิ่มขึ้นมาอย่างฉับพลัน ในใจตก ตะลึง ขณะที่ก้มลงมอง ก็พบว่าเป็น ‘ลูกกลอนคืนสภาพ’ สองเม็ดจริงๆ กลิ่นยาอ่อนๆ สูดเข้าไปแล้วรู้สึกสบาย
เขาก็ไม่ได้โง่ เมื่อเห็นเงาของพวกหลี่มู่หายไปทางทิศของค่ายกล เคลื่อนย้าย ก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
“ขอบคุณ” เด็กชายเอ่ยขึ้นจากส่วนลึกในจิตใจ
วันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะหลี่มู่ เขาคงจะถูกจัดการโดยพ่อค้าอ้วนเตี้ยไป แล้ว เจ้าหัวเรียบก็คงจะถูกสังหารไปด้วย เด็กชายเดิมทีก็รู้สึกซาบซึ้ง ต่อหลี่มู่มากแล้ว ในตอนนี้จึงยิ่งซาบซึ้งกว่าเดิม
“ข้าจะต้องตอบแทนท่านแน่” เด็กชายสาบานเงียบๆ ในส่วนลึกของจิตใจ และเจ้าหัวเรียบราชาสัตว์ดาราที่อยู่ในอ้อมกอดเขา ก็สัมผัสได้ถึง อารมณ์ของเจ้านาย มองไปยังทิศทางที่หลี่มู่หายไป ส่งเสียงร้องจิ้วๆ ออกมา สัตว์ดาราเป็นสายพันธุ์ที่เจ้าคิดเจ้าแค้น ซึ่งเมื่อจําความแค้นได้ก็ หมายถึงว่า มันจะไม่มีทางลืมบุญคุณเช่นกัน ดวงตากลมโตของมันเปล่งประกายกลอกไปมา ความรู้สึกดีดีและ ความสนิทสนมที่มีต่อหลี่มู่เป็นรองจากเจ้านายของตนเองแล้ว “ไปเถอะ ไปยังเขตชีพจรฟ้า” ทางทิศศูนย์กลางค่ายกลเคลื่อนย้ายของจุดพักห้วงดารา มีเสียง หัวเราะร่าของหลี่มู่ดังออกมา แสงของค่ายกลเคลื่อนย้ายสว่างวาบขึ้น หลี่มุ่ ติงอี้และภูตหมูทั้งสามร่างได้จากไป ผุ้คนบนลานกว้างตลาดนัดจึงเพิ่งรู้สึกเหมือนตื่นจากฝัน
สิ่งที่เกินคาด ‘ดาบคลั่ง’ หลี่มู่คนนี้ไม่ได้ฆ่าปิดปากพวกเขาจนหมด แต่เมื่อคิดอย่างละเอียด จริงๆ แล้วก็ดูสมเหตุสมผล ถึงอย่างไรเขาก็ยัง ทิ้งอักษรเอาไว้บนกําแพง คนที่ระห�าเช่นนี้ไม่ควรจะทําเรื่องอย่างการ ฆ่าปิดปากได้ เป็นท่าทีที่หวังจะให้คนทั้งหมดได้รู้ถึงมาดของตนเอง
หากพูดจากมุมมองนี้ ‘ดาบคลั่ง’ หลี่มู่ก็ไม่ใช่คนเลวคลั่งบ้าดีเดือด อะไร
มีคนที่ในใจรู้สึกท่าไม่ดี
วันนี้พวกเขาถูกบีบเข้ามาอยู่ท่ามกลางพายุลูกหนึ่ง แค่ไม่ระวังก็ อาจจะกลายเป็นผุยผงไปแล้ว ถึงอย่างไรสํานักอาทิตย์ทองก็ไม่ใช่สํานัก ที่ดีอะไร เพียงแค่โมโหก็อาจจะไล่สังหารคนแล้วก็ได้
ดังนั้นจึงรีบเก็บข้าวเก็บของ เพื่อหนีออกจากสถานที่ที่ไม่ควรอยู่ อย่างเมืองทองคําในทันที
นักพรตเฒ่าเก็บธงผ้าของตนเองลง ยิ้มอย่างมีเลศนัย
“อามิตาพุทธ…ข้าบอกแล้ว วันนี้จะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ตอนนี้ พวกเจ้าเชื่อข้าแล้วหรือยัง? ทุกคนรีบหนีเถิด ที่นี่ไม่เหมาะที่จะอยู่ยาว อีกแล้ว แต่ว่าหลังจากออกไปแล้ว ก็ช่วยข้ากระจายข่าวสักนิดนะ ช้า เซียนหลิงกั่น สามารถใช้นิ้วเพื่อทํานาย ก่อนหน้าห้าพันปีรู้ ภายหลังอีก
ห้าพันปีก็รู้ เรียกสิ่งมงคลหลบเร้นหายนะได้ ค่าใช้จ่ายผลึกเซียนสีเงิน หนึ่งเม็ด ราคายุติธรรม…”
พูดจบก็รีบสาวเท้าโกยอ้าวไป
ทั่วทั้งลานเกิดความโกลาหลขึ้นทันที
เด็กชายกอดสัตว์เลี้ยงของตนเอง และหลบออกไปท่ามกลางความ โกลาหล
เจ้าของแผงชุดดํายืนอยู่ที่เดิม ใจลอยอยู่เงียบๆ
“คนจากโบราณกาลปรากฏตัวขึ้น สายลมเริ่มพัดแล้วสินะ”
เสียงของเขาไม่เหมือนกับเหล็กขึ้นสนิมสีกันแล้ว แต่ราวกับเป็น ไข่มุกน้อยใหญ่หล่นลงถาดหยกกังวานหู ในคําพูดมีความหมายที่พิเศษ อยู่ด้านใน พูดจบ ด้านหลังของเขาได้เกิดการไหลเวียนของเศษดวงดาว
พริบตาต่อมา ความว่างเปล่ารวมตัวกัน อวกาศสีดําปรากฏขึ้น อย่างกะทันหัน เขาเดินถอยหลัง ร่างกายและอวกาศรวมเป็นหนึ่ง หาย วับไปในที่เดิม จากนั้นความว่างเปล่าจึงกลับสู่ปกติ
ไม่มีใครสังเกตเห็นฉากนี้
…
…
เขตชีพจรฟ้าเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งในเขตดารา เทพวีรชน ครอบคลุมไปด้วยดวงดาวระดับบนสี่ดวง ประชากรมากมาย ระดับการพัฒนามากกว่าพื้นที่ห่างไกลอย่างเมืองทองคําไม่รู้กี่เท่าต่อกี่ เท่า
พวกของหลี่มู่ทั้งสามคนใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายจากเมืองทองคํา มาถึงดาวดวงหนึ่งที่ชื่อว่าดาราสวรรค์แห่งเขตชีพจรฟ้า
ดาวดาราสวรรค์อาณาบริเวณกว้างขวาง พื้นที่ใหญ่โตอุดมสมบูรณ์ อารยธรรมวิถียุทธ์พัฒนาไปอย่างมาก
ขณะที่หลี่มู่เดินออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้าย ก็ตกใจจนสะดุ้ง โหยง
ด้านนอกค่ายกลตึกสูงระฟ้าราวผืนป่า
ทั้งหมดนี้ แตกต่างอย่างชัดเจนกับภาพภูเขาธรรมชาติอันเงียบ สงบสวยงามที่หลี่มู่จินตนาการเอาไว้
บนท้องฟ้า เรือเหาะลอยสวนไปมาราวกระสวย
จากจากสิ่งปลูกสร้างที่แตกต่างกันแล้ว พื้นที่อื่นๆ ก็ราวกับเป็น โลกอนาคตที่ภาพยนตร์บนดาวโลกทําการบรรยายเอาไว้อย่างไรอย่าง นั้น ตึกระฟ้าสูงหลายลี้ และยังมีป้ายโฆษณาเปล่งแสงระยิบระยับ มากมาย หน้าจอภาพขนาดยักษ์เหมือนกับจอโทรทัศน์บนดาวโลก มีเงา แสงไหลเวียนเหมือนกับกําลังถ่ายทอดโฆษณา บนศีรษะยังมีอาคาร ขนาดภูเขาย่อมๆ ลอยอยู่บนอากาศอีกหลายหลัง
บนท้องฟ้าถูกเปิดทางออกเป็นถนนสัญจร ยานพาหนะลอยฟ้า หลายชนิด เหมือนกับรถยนต์ที่ขับขี่อยู่บนทางหลวงอย่างไรอย่างนั้น ขับเคลื่อนตามระเบียบข้อกําหนดไปมา
หลี่มู่ถึงกับมองเห็นสัญลักษณ์ที่คล้ายกับเป็นสัญญาณไฟจราจร เอาไว้คอยควบคุมความเป็นระเบียบของการเดินทาง
ระบบอารยธรรมปัจจุบันสุดล�า พริบตานี้ หลี่มู่รู้สึกสั่นสะเทือนอยู่ในส่วนลึก นี่ถึงจะเป็นอารยธรรมวิถียุทธ์แห่งทางช้างเผือกของจริงสินะ หลี่มู่เกิดความรู้สึกเหมือนเป็นบ้านนอกเข้ากรุงขึ้นมาจริงๆ ……………………………………….