จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 589 พัฒนาอย่างลับๆล่อๆ
ถูกบีบให้เลี้ยงหมู?
ชื่อนี่มันดูซุกซนไปหน่อยนา
เริ่มแรกยังมีคนลังเลว่าควรจะจ่ายผลึกเซียนสีทองแดงสิบเม็ดไหม ถึงอย่างไรถ้าพูดถึงข่าวสารมากมายบนเครือข่ายเซียน ราคาผลึกเซียน สีทองแดงสิบเม็ดก็ถือว่าสูงพอสมควร
แต่ยังไม่ทันจะหนึ่งชั่วยาม ก็มีคนนับพันยอมจ่ายผลึกเซียนสี ทองแดงเพื่อเข้าชมเนื้อหาของกระทู้
“ทําไมคนที่อาละวาดดันเป็นหมูตัวนึงล่ะ?”
มีคนส่งข้อความสงสัยเช่นนี้ออกมา
เดิมทีคิดว่าจะได้เห็นขั้นตอนการสู้รบของ ‘ดาบคลั่ง’ หลี่มู่ ใครจะ ไปคิดว่าภาพบนกระจกน�าตั้งแต่ต้นจนจบจะเป็นภูตหมูอ้วนขาวตนหนึ่ง โบกวาดคราดตะปูเก้าฟันไล่ตีพวกของมู่ซุ่นเสียจนขี้แตกขี้แตน ไม่ได้ วนมาจนถึงหลี่มู่ลงมือเลย
ผู้ใช้มากมายที่จ่ายเงินเพื่อชมรู้สึกว่าตนเองถูกหลอกเสียแล้ว
มีคนดําเนินการรายงาน
การซื้อขายบนเครือข่ายเซียน จะเชื่อมต่อสะท้อนไปยังศูนย์กลาง ทรัพย์สินของผู้บําเพ็ญส่วนบุคคล สามารถเบิกถอนได้ตามความเป็น จริง ถือเป็นทรัพย์สินที่เป็นจริง ด้วยเหตุนี้การดูแลจัดการของเหล่า ผู้ดูแลเครือข่ายเซียนจึงค่อนข้างสมเหตุสมผลยุติธรรม จะเข้มงวด กวดขันเรื่องพฤติกรรมการใช้เครือข่ายเซียนเพื่อหลอกลวงอย่างมาก
อย่าได้สงสัยในพลังของเครือข่ายเซียนเชียว
นับตั้งแต่เครือข่ายเซียนอันลึกลับกําเนิดขึ้น มีคนมากมาย ขั้ว อํานาจมากมายไม่รู้เท่าไรทดลองฉกฉวยผลประโยชน์จากเครือข่าย เซียน หรือท้าทายอํานาจของเครือข่ายเซียน
แต่ในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่มีชื่อเสียงอยู่ระยะหนึ่ง หรือ จะเป็นพวกผู้ยิ่งใหญ่ระดับราชาที่สะสมบารมีมานาน หรือว่าจะเป็นสุด ยอดสํานักที่ควบคุมด้านใดด้านหนึ่ง เมื่ออยู่ต่อหน้าเครือข่ายเซียนก็ ล้วนถูกโค่นล้มสลายกลายเป็นฝุ่นไป
ความแข็งแกร่งของเครือข่ายเซียน หลายปีมานี้ได้หยั่งรากลึกลง ไปกลางใจของเหล่าผู้ฝึกตนมากมาย
อย่าว่าแต่เขตดาราเทพวีรชนเลย ต่อให้ทั่วทั้งแดนดาราจื่อเวย ก็ ไม่มีใครกล้าที่จะท้าทายและสั่นคลอนผลประโยชน์กับกฎเกณฑ์ของ เครือข่ายเซียน
ดังนั้น คนบางส่วนที่ซื้อสิทธิ์ในการอ่านกระทู้นี้ต่างก็โมโหโกรธ เคือง คิดที่จะใช้กฎของเครือข่ายเซียนมาล้างแค้นเจ้าคนที่ชื่อว่า ‘ถูก บีบให้เลี้ยงหมู’ คนนี้
แต่การรายงานกลับถูกผู้ดูแลเครือข่ายเซียนตีกลับ
สาเหตุก็ง่ายดาย
หัวกระทู้ที่ ‘ถูกบีบให้เลี้ยงหมู’ เขียนขึ้นมาคือ ‘ภาพวิชากระจกน�า ของศึกในโรงเตี๊ยมศาลาเซียน’ ในนี้ไม่มีพูดถึงชื่อหลี่มู่ ดังนั้นการที่ไม่มี ภาพการต่อสู้ของ ‘ดาบคลั่ง’ หลี่มู่จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่สมเหตุสมผล
ตอนนี้เอง เหล่าผุ้อ่านก็รู้สึกเหมือนตื่นจากความฝันตระหนักขึ้นมา ได้ ว่าเจ้า ‘ถูกบีบให้เลี้ยงหมู’ คนนี้มันโจร เป็นโจรชัดๆ ขุดหลุมไว้อย่าง ดีตั้งแต่แรกแล้วรอให้คนกระโดดกันลงไป
แต่ว่า ก็มีคนที่รู้สึกอยากรู้อยากเห็นต่อ ‘ถูกบีบให้เลี้ยงหมู’ คนนี้
“เขาเผยภาพกระจกน�ามา เป็นมุมมองบุคคลที่หนึ่งของโรงเตี๊ยม ศาลาเซียนจริงๆ ไม่ใช่ของที่ทําเทียมขึ้น นี่มันน่าสนใจมากนะ ในเมื่อ
คนที่ทําการต่อสู้ไม่ใช่หลี่มู่ เช่นนั้นคนที่ถ่ายทําก็ควรจะเป็น…ตัวดาบ คลั่งหลี่มู่เอง”
ยอดฝีมือตรรกะสูงวิเคราะห์กันออกมา
“หมูตัวนั้น เป็นสัตว์เลี้ยงวิญญาณที่หลี่มู่สกัดแยกออกมาจากหิน ต้นกําเนิดระดับเทพ แปลกประหลาดมาก สัตว์อย่างหมูจะกลายเป็นภูต ได้นี่ไม่ง่ายเลยนะ กี่หมื่นปีถึงจะมีสักครั้ง เป็นข้อบกพร่องแห่งสวรรค์ อย่างแท้จริง”
“ยิ่งไปกว่านั้นดูแล้วเหมือนกับเป็นหมูบ้านด้วยนะ ไม่ใช่หมูป่า”
“ข้างกายหลี่มู่ ยังมีคนใช้อีกคนหนึ่ง…”
บนกระดานสนทนา ‘สายลมเมฆาเทพวีรชน’ กระทู้ต่างๆ การ วิเคราะห์ต่างๆ ค่อยๆ ผ่าเอาความจริงมากมายออกมา บอกได้เลยว่า คนฉลาดในโลกนี้มีอยู่มากจริงๆ
… “ให้ตายเถอะ โดนจับไต๋ได้ไวขนาดนี้เชียว” หลี่มู่แสดงท่าทีผิดหวัง แน่นอนว่าเขานี่ล่ะคือ ‘ถูกบีบให้เลี้ยงหมู’
แต่ว่าอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น
เพราะว่าจะช้าเร็วก็ต้องถูกคนจับได้อยู่ดี ถึงอย่างไรเนื้อหาใน กระทู้ก็มีบางจุดที่มองเห็นได้อยู่
แต่ในศูนย์กลางทรัพย์สินส่วนบุคคนของเครือข่ายเซียน ผลึกเซียน สีทองแดงจํานวนมากมายที่เพิ่มขึ้นไม่หยุดก็ยังทําให้หลี่มู่ดีใจอย่างมาก ไม่คิดว่าบนโลกนี้จะหาเงินได้ง่ายดายเสียเหลือเกิน
นี่แค่กระทู้เดียวที่ผ่านไปไม่กี่ชั่วยาม ยังได้ผลึกเซียนสีทองแดงมาก ว่าหมื่นชิ้น เท่ากับผลึกเซียนสีเงินกว่าหนึ่งร้อยเม็ดแล้ว
นี่เป็นรายได้หลังหักค่าช่องทางของเครือข่ายเซียนแล้ว
สําหรับศิษย์และผู้แข็งแกร่งสํานักใหญ่ๆ ผลึกเซียนสีเงินหนึ่งร้อย กว่าเม็ดก็อาจจะไม่เท่าไรนัก แต่ว่าสําหรับพวกผู้ฝึกตนขั้นแมลงชั้นต�า มากมายมันคือทรัพย์สินที่ไม่กล้าที่จะคาดหวัง
ยิ่งไปกว่านั้น จากการที่ตัวตน ‘ถูกบีบให้เลี้ยงหมู’ ถูกเดาออกมา ยิ่งทําให้เหล่าผู้อยากรู้อยากเห็นมากมายจ่ายผลึกเซียนสีทองแดงสิบ เม็ดเข้ามาดูเนื้อหาในกระทู้ ไม่ใช่เพื่อภาพกระจกน�าเหล่านั้น แต่เป็น ความอยากรู้อยากเห็นล้วนๆ
รายรับในศูนย์กลางทรัพย์สินเครือข่ายเซียนของหลี่มู่จึงยังคงเพิ่ม มากขึ้นเรื่อยๆ
หลี่มู่คิดๆ ดู จากนั้นจึงได้เขียนอีกกระทู้ลงไปบนกระดานสนทนา ‘สายลมเมฆาเทพวีรชน’
…
“เจ้า ‘ถูกบีบให้เลี้ยงหมู’ คนนั้นปรากฏตัวขึ้นอีกแล้ว”
“หลี่มู่เขียนอะไรลงบนกระดานสนทนา ‘สายลมเมฆาเทพวีรชน’ อีกแล้ว”
“นี่มันบ้าไปแล้วหรือเปล่า?”
“พูดอะไรบ้างล่ะ?”
ผู้ฝึกฝนมากมายที่อ่านเครือข่ายเซียน เมื่อได้ยินข่าวก็รู้สึกลิงโลด กันขึ้นมา กระทั่งคนที่ปกติไม่ใช่พวกติดตามกระดานสนทนา ก็ยังถูกดึง เข้ามาดูกระดานสนทนาด้วย
คนที่ชื่อ ‘ถูกบีบให้เลี้ยงหมู’ เขียนกระทู้ใหม่ลงไปว่า…
“หนังสือแจ้งแด่สํานักใหญ่ต่างๆ แห่งเขตดาราเทพวีรชน”
สิทธิ์การอ่าน ผลึกเซียนสีทองแดงยี่สิบเม็ด
เหล่าผู้ฝึกตนเมื่อเห็น ก็รู้สึกว่าหน้าไม่อายสิ้นดี ขึ้นราคาอีกแล้ว?
แต่ว่า ก็ยังมีคนบางส่วนที่ยอมจ่ายไปด้วยใจอยากรู้อยากเห็นที่ ห้ามไม่อยู่ของตนเอง ผลลัพธ์เมื่อดู ก็พบว่าเนื้อหาในกระทู้หน้าไม่อาย ยิ่งกว่า มีเพียงแค่ประโยคเดียว….
“เดาดูสิว่าข้าคือใคร?”
เหล่าผู้ฝึกตนที่จ่ายเข้าไปชม แทบจะกระอักเลือดออกมา
ยังไร้ยางอายได้มากกว่านี้อีกไหม?
คิดว่าจะเป็นการท้าดวลของ ‘ดาบคลั่ง’ หลี่มู่ต่อสํานักใหญ่ต่างๆ ผลลัพธ์กลับเป็นประโยคเช่นนี้…นี่มันช่างไม่เล่นตามเกมจริงๆ
…
…
หลังจากหลี่มู่เล่นสนุกอยู่พักหนึ่ง จึงออกมาจากเครือข่ายเซียน
เขากับติงอี้และศิษย์พี่สองภูตหมูได้เก็บงํากลิ่นอาย หลบซ่อนตัว อยู่ในเมืองพายุดารา และไม่ได้ทําตัวอวดเบ่งต่อหน้าธารกํานัลเหมือน ก่อนหน้าอีก ถึงอย่างไรเป้าหมายการดึงดูดความสนใจก้าวแรกก็ลุล่วง ด้วยดีแล้ว ไม่จําเป็นต้องจงใจเปิดเผยร่องรอยอีก
เมืองพายุดาราเป็นพื้นที่ของวังประสานฟ้า พูดได้เลยว่าเป็นค่าย ของศัตรู
หลี่มู่ตอนนี้ ยังไม่แน่ว่าจะรับมือกับผู้แข็งแกร่งขั้นนักรบของวัง ประสานฟ้าไหวไหม
ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นสามัญ แต่หากมากันจํานวน มากก็สร้างแรงคุกคามมหาศาลแก่เขาได้เช่นกัน หากไม่ระมัดระวังก็ อาจจะถึงขั้นสิ้นลมประดาตายได้
เรื่องที่หลี่มู่ทําตอนนี้ก็คือการเล่นกับไฟ
อย่าเห็นว่าตอนนี้ทุกอย่างมันราบรื่น แต่แค่ใช้เวลาที่แตกต่างและ ความคิดที่แตกต่างเท่านั้น ยอดฝีมือมากมายในเขตดาราเทพวีรชนยัง ไม่ทันจะรู้สึกตัว ทว่าตอนนี้เวลาที่แตกต่างก็ไม่เหลืออีกแล้ว
นับตั้งแต่ตอนนี้ พลังของหลี่มู่ ทุกๆ ฝ่ายล้วนทําการตรวจสอบและ พิจารณาเสียใหม่ นับตั้งแต่ผลจากศึกบนดาวทุรกันดาร ข้อมูลการรบ น้อยใหญ่ของหลี่มู่ ยากที่จะหลุดพ้นจากการตรวจสอบของสํานักใหญ่ๆ ถัดจากนี้จะไม่มีเรื่องการปรากฏตัวของพวกที่คิดว่าตนเองสามารถ จัดการหลี่มู่ได้อย่างหญิงสาวชุดโปร่งดําจากหอสังหารอาภรณ์ดําและ บุตรศักดิ์สิทธิ์ทะเลโลหิตเกิดขึ้นอีก การไล่สังหารและล้อมโจมตีหลี่มู่
ของทุกฝ่ายจะยิ่งทวีความรุนแรง สถานการณ์ของหลี่มู่จะยิ่งอันตราย มากขึ้น หลี่มู่ตอนนี้ก็เหมือนกับตัวชนหลักที่ไม่กลัวตาย(สายแทงค์) คอย เยาะเย้ยลากศัตรูเข้ามาอย่างไม่กลัวตาย อาศัยเพียงทักษะอันยียวนกับ การรักษาสภาพจิตสํานึกไว้เท่านั้นจึงยังรอดมาได้ แต่การลากศัตรูเช่นนี้ไม่สามารถทําได้นานนัก เป้าหมายตอนนี้บรรลุแล้ว ก็ควรที่จะซ่อนตัวสักระยะหนึ่ง คอยพัฒนาอย่างลับๆ ล่อๆ สักพักก็แล้วกัน เอาชีวิตตนเองมาล้อเล่นไม่ได้ ส่วนศิษย์พี่สองกลับรู้สึกค่อนข้างดูถูกตัวเลือกเช่นนี้ของหลี่มู่ “เอาอะไรมาบอกให้ข้าแปลงเป็นหญิงสาวกัน ข้าว่านะ จะไปกลัว มันทําไม เขตดาราเทพวีรชนก็มีคนได้เรื่องอยู่ไม่เท่าไร หมูอย่างข้าถือ แค่คราดตะปูเล่มเดียวก็กวาดพวกเขาได้จนเรียบแล้ว เป็นชายชาตรีทั้ง ทีมันต้องลุยสิ สู้สิ จัดการให้เรียบทั้งแผ่นฟ้าไปเลย” ศิษย์พี่สองเอ่ยขึ้น หลี่มู่เอ่ยขึ้นด้วยร้อยยิ้มเย็นชา “จะแปลงร่าง หรือจะไสหัวไป”
กําลังกลุ้มที่หาโอกาสไล่เจ้าภูตหมูหน้าด้านหน้าทนจิตใจชั่วร้าย แถมยังกินจุไม่ได้พอดี
ใครจะไปคิดว่าเสี้ยวครู่ต่อมาศิษย์พี่สองจะยอมแพ้ แปลงร่างเป็น สาวงามสะพรั่งอันแสนยั่วยวนพร้อมเอ่ยขึ้นว่า “แปลงก็ได้ ทําไมต้อง หยาบคายกันด้วย”
หลี่มู่ “…”
“แปลงให้น่าเกลียดกว่านี้หน่อย” หลี่มู่คํารามขึ้น
แปลงจนสวยขนาดนี้มันดึงดูดสายตาเกินไป
ศิษย์พี่สองร้องค่อกๆ จากนั้นแปลงกายเป็นหญิงสาวกลางคน ศีรษะล้านไปครึ่งหนึ่ง ชนิดที่ว่าโยนลงไปในกลุ่มคนสักครึ่งวันก็ไม่มีใคร มองอีกเป็นหนที่สอง
หลี่มู่มองไปทางติงอี้
ติงอี้สะดุ้งโหยงเอ่ยขึ้นว่า “อย่างมองข้า ข้าแปลงร่างไม่เป็น”
หลี่มู่เอ่ยขึ้น “เช่นนั้นเจ้าก็เปลี่ยนเสื้อผ้าให้มันดูเรียบง่ายกว่านี้สัก หน่อยดีไหม?”
ผ่านไปราวหนึ่งเค่อ
ทั้งสามคนได้เปลี่ยนเป็นตัวตนที่แตกต่างจากเดิมทีอย่างสิ้นเชิง จากนั้นแต่ละคนได้พกหยกคู่ค่ายกลปรับเปลี่ยนกลิ่นอายและคลื่นพลัง ที่หลี่มู่จัดเตรียมไว้ก่อนหน้า และไหลเข้าไปอยู่ท่ามกลางทะเลคนใน เมืองพายุดารา
ภายในสี่วันต่อจากนี้ ต่อให้กลุ่มผู้คุมกฎของวังประสานฟ้า หรือ กระทั่งขั้วอํานาจพรรคใหญ่ต่างๆ ในเมืองพายุดารา จะพลิกเมืองทั้ง เมืองเพื่อคนหาก็ไม่สามารถหาพวกเขาทั้งสามได้พบ
ว่ากันว่า ‘หนึ่งกระบี่ไร้โลหิต’ เฝิงเจิ้นโมโหจนแทบคลั่ง
และลานพนันใหญ่ๆ หลายทีก็จ่ายกันไปไม่น้อย
ไม่มีใครคิดว่า ‘ดาบคลั่ง’ หลี่มู่คนนี้จะสามารถหายตัวอย่างไร้ ร่องรอยภายใต้สายตาของวังประสานฟ้ารวมไปถึงเหล่านักล่าเงิน รางวัลไปได้
มีฝีมืออยู่นะ
…
…
ในโรงเตี๊ยมศาลาเซียน
หลี่มู่อยู่ในห้องของเรือนหมายเลขสี่(ติง) นั่งขัดสมาธิฝึกบําเพ็ญ
สถานที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยมากที่สุด
การเปลี่ยนแปลงหน้าตา ใช้หยกคู่เพื่อตัดขาดพลัง หลี่มู่ทั้งสามคน ได้กลับมายังโรงเตี๊ยมศาลาเซียนของวังประสานฟ้า เช่าเรือนเล็กเรือน หนึ่ง อาศัยยาวอยู่ที่นี่
คนของวังประสานฟ้า รวมไปถึงพวกนักล่าเงินรางวัลทางช้างเผือก อีกมากมายต่างคิดกันไม่ถึง ว่าคนที่พวกเขาตามล่าพลิกแผ่นดินจะอยู่ ใกล้เพียงแค่นี้ อยู่ใต้หนังตาพวกเขานี่เอง
แม้แต่ศิษย์พี่สองภูตหมูก็ยังรู้สึกทอดถอนกับตัวเลือกนี้ของหลี่มู่ เอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกละอายใจที่ตนเองด้อยกว่า “ข้าคิดว่ามีแค่ข้าที่เลื้อยไป เรื่อย ใครจะคิดว่าเจ้าจะเลื้อยหนักเสียยิ่งกว่าข้าอีก คนอย่างเจ้าไม่ต้อง ใช้ไม้พายพายเรือเลย อาศัยแต่คลื่นเลื้อยไปเรื่อย”
หลี่มู่ขี้เกียจจะสนใจหมูตนนี้อีก
เขายังมีเรื่องที่สําคัญบางส่วนต้องทํา
นับตั้งแต่สกัดหินต้นกําเนิดระดับเทพที่เมืองทองคํามา หลี่มู่ก็เริ่ม รู้สึกมาโดยตลอดว่าพลังบําเพ็ญของตนเองมีปัญหา หลักๆ ก็คือการ
ปรากฏตัวขึ้นของ ‘ร่างวิญญาณแห่งพลัง’ ซึ่งค่อนข้างแตกต่างจากวิถี ของขั้นฝึกยุทธ์ตามปกติ
หลี่มู่ตระหนักได้ว่า นี่อาจจะเกี่ยวข้องกับ ‘ค่ายกลไร้กําเนิดลําดับ สาม’ ที่ศิษย์พี่สองพูดออกมา
ในลวดลายเขาวงกตสีเงินด้านในเปลือกหินของหินต้นกําเนิดระดับ เทพ ก็คือ ‘ค่ายกลไร้กําเนิดลําดับสาม’ เป็นค่ายกลประเภทหนึ่ง
หลี่มู่ไม่กี่วันนี้ ทดลองควบคุมร่างคนเล็กสีขาวที่อยู่หน้าประตูหนี หวานกง แต่ก็ไม่สามารถควบคุมได้ ก็เลยทําได้เพียงคอยดูดซับเอาพลัง วิญญาณจากผลึกเซียนทองคําอยู่อีกด้านเพื่อเพิ่มพลังบําเพ็ญ นําเอา ปราณแท้บริสุทธ์เปลี่ยนแปลงไปทางปราณแท้บริสุทธิ์ดวงดารา
เวลาเดียวกัน เขาก็ได้ศึกษาเรื่องของ ‘ค่ายกลไร้กําเนิดลําดับสาม’ ไปด้วย
ในเวลาสามวัน พลังบําเพ็ญเปลี่ยนแปลงไปไม่มาก แต่ว่าความ เข้าใจต่อ ‘ค่ายกลไร้กําเนิดลําดับสาม’ ของหลี่มู่กลับทะยานไปอย่าง มาก
“นี่มันเป็นค่ายกลที่สูงส่งจริงๆ ร้ายกาจยิ่งกว่าค่ายกลที่ซินแสเฒ่า ถ่ายทอดมาให้โขเลย” หลี่มู่ทอดถอน
เขามองเห็นถึงแก่นแท้ของ ‘ค่ายกลไร้กําเนิดลําดับสาม’ แค่ไม่ถึง หนึ่งส่วนร้อย แต่กลับสัมผัสได้ถึงความลี้ลับที่แท้จริงที่แฝงไว้ในค่ายกล ซึ่งค่อนข้างจะน่ากลัว หลี่มู่ทดลองแยกส่วนและลอกแบบค่ายกลบางส่วนดู วันที่หกช่วงบ่าย ด้านนอกประตูเรือนหมายเลขสี่มีเสียงเคาะประตู ดังลอดเข้ามา “คุณลูกค้า สิ่งของที่ท่านสั่งผ่านเครือข่ายเซียนมาถึงแล้ว กรุณา เซ็นรับด้วย” เสียงกังวาลของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น ……………………………………….