จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 0 บทนำ
หมู่บ้านวัดหรานเติงตั้งอยู่ในเมืองเป่าจี มณฑลส่านซี ตั้งอยู่ริมป่าดงดิบพันปีในเทือกเขาฉินหลิง ใกล้ภูเขาและลำน้ำ มีต้นไม้เขียวปกคลุม เขียวชอุ่มไปด้วยพืชพรรณ ทิวทัศน์สวยสดงดงามดั่งดินแดนยูโทเปีย สาเหตุที่ที่แห่งนี้เป็นที่นิยมในมณฑลส่านซี เป็นเพราะหลังเขาแห่งนี้มีสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่ที่มีประวัติมายาวนานตั้งแต่ราชวงศ์หนานเป่ยเฉาอย่างวัดหรานเติง
ดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า ส่องแสงสีแดงไปยังหมู่บ้านวัดหรานเติง
ในช่วงฤดูร้อน ทุ่งกลางหุบเขาไหวเป็นคลื่นสีเขียว เป็นทิวทัศน์ที่สวยงามดั่งภาพวาดชวนให้ผู้คนหลงใหล
เด็กหนุ่มคิ้วเข้ม ตาโต รูปร่างผอมบาง ในปากคาบดอกหญ้าหนึ่งกิ่ง เดินฮัมเพลงออกมาจากโรงฆ่าสัตว์แห่งหนึ่งในหมู่บ้าน หลังจากเพิ่งเชือดหมูมาหมาดๆ บนกายจึงชุ่มไปด้วยเลือด ตะกร้าสานในมือมีตับหมูวางอยู่
เด็กหนุ่มมีนามว่าหลี่มู่ ปีนี้อายุสิบสี่ปี
ในเดือนเจ็ดปีนี้ หลี่มู่เพิ่งจบการศึกษาชั้นมัธยมต้นโดยได้คะแนนสูงสุดจากคนทั้งโรงเรียน
หลี่มู่เป็นเด็กกำพร้าไร้พ่อแม่ ตั้งแต่เล็กได้รับการเลี้ยงดูจากวัดหรานเติงอันเก่าแก่ ทั้งวัดหรานเติงมีผู้ดูแลแค่คนเดียว แต่ผู้ดูแลที่ว่านี้กลับไม่ใช่หลวงจีน แต่เป็นซินแสเฒ่าผู้หนึ่งในหมู่บ้าน
หนึ่งผู้เฒ่าหนึ่งผู้เยาว์ อาศัยอยู่ร่วมกันในวัดเก่าๆ และทรุดโทรมแห่งนี้
ในตอนที่ไม่มีเรียน หลี่มู่จะอยู่ในวัดหรานเติงอันเก่าแก่ ดื่มน้ำจากแหล่งน้ำในหุบเขา ดูแลพระพุทธรูปโบราณ เพราะซินแสเฒ่าเป็นที่เคารพในหมู่บ้านวัดหรานเติง อีกทั้งยามที่หลี่มู่หัวเราะด้วยคิ้วที่เข้มและตากลมโตทำให้ดูน่าเอ็นดู จึงเป็นที่ยอมรับของผู้คนในหมู่บ้าน ตั้งแต่เล็กก็ได้รับแบ่งปันน้ำและอาหารจากเพื่อนบ้านโดยรอบ เรียกได้ว่าโตมาด้วยข้าวร้อยมื้อ สวมเสื้อร้อยชิ้น[1]
ตั้งแต่อายุสิบปีเป็นต้นมา ช่วงวันหยุดฤดูร้อนและฤดูหนาว คุณลุงซินแซผู้นั้นก็ไล่ให้หลี่มู่ไปทำงานเป็นคนเชือดหมูในโรงฆ่าสัตว์ จนถึงวันนี้เขาทำงานนี้มาสี่ปีแล้ว
ซินแสเฒ่าต้องการปลูกฝังให้หลี่มู่มีรังสีแห่งการฆ่าฟัน
‘ผมเป็นแค่นักเรียนชั้นม.ต้น จะมีรังสีการฆ่าฟันไปทำไมกัน และยังเรื่องฆ่าหมูเพื่อสร้างกลิ่นอายนักฆ่าอีก ถ้างั้นคุณลุงนักเชือดหมูคงกลายเป็นนักฆ่าในตำนานไปแล้วละมั้ง ซินแสเฒ่าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ’
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ หลี่มู่รู้สึกโมโหขึ้นมาเล็กๆ
สี่ปีมานี้เขาเชือดหมูไม่ต่ำกว่าร้อยตัว หลี่มู่รู้สึกว่ามือทั้งสองของเขาเปื้อนไปด้วยเลือด รู้สึกว่าตนนั้นโหดร้าย
“โฮ่ง โฮ่ง… โฮ่ง”
เป็นเจ้าสุนัขไซบีเรียนฮัสกี้ขนสีขาวดำ ดวงตาสอง สี ดูแข็งแรงมีชีวิตชีวาและกระปรี้กระเปร่าเดินตามเขาอยู่ด้านหลัง
เมื่อสามปีก่อนหลี่มู่เก็บเจ้าสุนัขตัวนี้จากหน้าประตูโรงเรียน ในตอนนั้นมันเป็นแค่ลูกหมาอายุเพียงไม่กี่เดือน ถูกทอดทิ้งตัวผอมโซ เกือบจะอดตายไปแล้ว
หลี่มู่พามันมาที่วัดหรานเติงอันเก่าแก่ เลี้ยงมันมาจนถึงทุกวันนี้
ในสามปี เจ้าไซบีเรียนฮัสกี้ตัวนี้โตมาอย่างแข็งแรงและอ้วนท้วนสมบูรณ์ โครงกระดูกที่สูงและใหญ่ของมันทำให้มันดูเหมือนกับลูกวัวก็ไม่ปาน และตอนนี้กลายเป็นภัยพิบัติในหมู่บ้าน มันเป็นจ่าฝูงของสุนัขเลี้ยงและสุนัขป่ากว่าหกสิบตัวในหมู่บ้านวัดหรานเติง ปกติมันชอบรวมตัวกันวิ่งไปในหมู่บ้าน เห่าหอนอย่างภาคภูมิในพงไพร ไล่เป็ดไล่ไก่ของคนในหมู่บ้านจนขนปลิวว่อนเต็มฟ้า หากไม่ใช่เพราะหลี่มู่และซินแสเฒ่ามีความสัมพันธ์อันดีกับคนในหมู่บ้าน คิดว่าเจ้าสุนัขอ้วนท้วนสมบูรณ์ตัวนี้คงถูกคนในหมู่บ้านที่ต่างไม่พอใจมันจับมันทำสุนัขตุ๋นไปแล้ว
ดังนั้นหลี่มู่จึงเรียกมันว่านายพล
นายพลในมวลหมู่สุนัข
“โฮ่งๆ” เจ้าแม่ทัพจ้องตับหมูสดๆ ที่อยู่ในตะกร้าสานบนมือของหลี่มู่ น้ำลายก็หยดติ๋งๆ มันส่งเสียงเห่าอย่างคุ้นเคย แล้วกระโดดไปมาตามหลี่มู่ด้วยความร่าเริง
จากโรงฆ่าสัตว์ถึงวัดโบราณหลังเขาใช้เวลากว่ายี่สิบนาที
ขณะเดิน พระอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้าส่องแสงสีทองเป็นทิวทัศน์ที่งดงามไร้ที่ติ
เมื่อพบกับผู้คนที่ทำเกษตรกลับมา หลี่มู่ก็ทักทายอย่างกระตือรือร้น
คุณลุง คุณป้าในหมู่บ้านเหล่านี้ดีต่อหลี่มู่มาโดยตลอดตั้งแต่เขาเล็กๆ เปรียบเหมือนคนในครอบครัว อาหารของแต่ละบ้านหลี่มู่ได้ลิ้มลองมาหมดแล้ว หัวใจของหลี่มู่เต็มไปด้วยความกตัญญูต่อชาวบ้านที่เรียบง่ายและแสนใจดีเหล่านี้
พวกชาวบ้านเองก็ชอบหลี่มู่มาก จึงส่งยิ้มกลับมา
หลังจากพระอาทิตย์ตกดิน
เมื่อมองเห็นหลี่มู่และเจ้านายพล หนึ่งคนหนึ่งสุนัขหายไปบนเส้นทางภูเขาที่ห่างไกลก็มีคนส่ายหัวและถอนหายใจออกมา
“เฮ้อ น่าเสียดาย เจ้าหลี่มู่เรียนก็ดีแถมเป็นเด็กร่าเริง ตอนสอบก็ได้ที่หนึ่งในโรงเรียน เป็นเด็กที่เรียนเก่งที่สุดในหมู่บ้าน ไม่รู้ว่าทำไมอาจารย์หลี่ถึงไม่ยอมให้เขาเรียนชั้นม.ปลายต่อ”
“นั่นสิ ได้ยินว่าอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนชั้นม.ปลายที่ดีที่สุดในเมืองมาวัดหรานเติงด้วยตัวเอง อยากให้เด็กคนนี้เรียนโดยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน แล้วยังให้เข้าห้องอวี่หลินแถมมีค่าใช้จ่ายรายเดือนให้ แต่ก็ถูกอาจารย์หลี่ปฏิเสธ”
“คิดว่าอาจารย์คงอยากให้เด็กคนนี้สืบทอดวิชาต่อจากเขาละมั้ง”
“ในยุคสมัยนี้ วิชาการดูฮวงจุ้ยหย่างเซิง (การดูแลสุขภาพด้วยการกิน) การไล่ผี การจับผี ของอาจารย์หลี่มีประโยชน์อะไร คงไม่ใช่ให้เจ้าหลี่มู่พึ่งวิชาขับผีไล่ปีศาจหรอกนะ ก็จริงอยู่ที่อาจารย์หลี่มีความสามารถเป็นที่ประจักษ์ แต่ได้ยินว่ามีอาการป่วยทางจิต บางครั้งเวลาอาการกำเริบก็ดูน่ากลัวมาก สงสารแต่เจ้าหลี่มู่ที่ต้องคอยดูแลอย่างระวัง”
ชาวบ้านที่พูดคุยกันอยู่ล้วนเสียดายแทนหลี่มู่
……….
“ผู้เฒ่า ผมกลับมาแล้ว”
หลี่มู่เดินเข้าประตูวัดแล้วทักทายเสียงดัง
ห้องทำสมาธิที่อยู่ทางสวนด้านหลังไม่มีเสียงขานกลับจากซินแสเฒ่าตามปกติ
หลี่มู่ไม่วางเฉย เขาเตะเจ้านายพลเพื่อบอกให้มันไปเล่นก่อน หลังจากนั้นเขาก็มุ่งหน้าไปทางห้องครัว
ในวัดมีเขากับซินแสเฒ่าแค่เพียงสองคน พื้นที่นี้จึงเงียบสงบ
หลี่มู่วิ่งเหยาะๆ กลับไปที่วัดเก่าแก่หรานเติง ในเวลานี้เขามีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย หลังจากที่เขามาถึงห้องครัวก็ซ่อนตับหมูไว้ในโอ่งเพื่อไม่ให้เจ้านายพลมาแอบเอาไปกิน จากนั้นจึงตักน้ำจากบ่อน้ำที่ตั้งอยู่ข้างประตูครัวแล้วดื่มน้ำเย็นดังอึกๆ
โยนกระบวยทิ้งแล้ว หลี่มู่ก็เริ่มฝึกกำลังวิชายุทธ์ตรงที่ว่างในวัดตามที่กระทำเป็นปกติ
หมัดคือหมัดยุทธ์แท้
พลังคือพลังก่อนกำเนิด
นามนั้นช่างน่าหวั่นเกรง
เป็นซินแสเฒ่าที่สืบทอดสองสิ่งนี้ให้หลี่มู่
เมื่อตอนยังเล็กตั้งแต่เพิ่งเริ่มหัดเดิน ซินแสเฒ่าก็สอนสองอย่างนี้ให้เขาแล้ว หมัดยุทธ์แท้เป็นหนึ่งในเส้นทางแห่งศิลปะการต่อสู้ ส่วนพลังก่อนกำเนิดคือวิธีการหายใจรูปแบบหนึ่ง จนถึงวันนี้เขาฝึกฝนมาเป็นระยะเวลาสิบเอ็ดปีแล้ว ทุกวันเช้าเย็นจะฝึกครั้งละหนึ่งชั่วโมง จนเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว
ตามคำบอกเล่าของซินแสเฒ่า หมัดยุทธ์แท้คือหมัดแห่งเทพเซียน กระบวนท่าทั้งสิบแปดท่าสามารถผ่าเขาทลายแผ่นหิน พลังแค่เสี้ยวเดียวอย่างหมัดหนึ่งหมัดก็ทำลายรถถังคันหนึ่งได้ อีกทั้งพลังก่อนกำเนิดทั้งสิบสองขั้นยิ่งไม่ธรรมดา ชะล้างร่างกายเหมือนเกิดใหม่ เปลี่ยนสภาพกายของมนุษย์ เมื่อฝึกเข้าขั้นจะเหาะเหินเดินอากาศได้ดั่งเทพเซียนก็ไม่ปาน
ปัญหาคือหลี่มู่ฝึกฝนมาสิบเอ็ดปีแล้ว หมัดยุทธ์แท้กลับไม่สามารถผ่าไม้ซุงหนึ่งท่อนได้ สำหรับเขาข้อดีเพียงอย่างเดียวของพลังก่อนกำเนิดคือทำให้ปอดเขาแข็งแรงขึ้น พลังอันน่าดึงดูดใจที่ซินแสเฒ่าพูดยังไม่เห็นมีทีท่าจะเป็นอย่างที่ว่าเลยสักนิด
ซินแสเฒ่าที่มีคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้
ตามคำบอกเล่าของซินแสเฒ่า โลกในปัจจุบันกำลังเข้าสู่ยุคมืดของวิถีแห่งการบำเพ็ญเป็นเซียน พลังฟ้าดินอ่อนแรง พลังธาตุในอากาศไม่เหมาะสมกับการฝึก ดังนั้นจึงไม่อาจฝึกฝนวิชาแห่งวิถีเซียนทั้งสองที่เขารับสืบทอดมาได้
เหตุผลปัญญาอ่อนเช่นนี้ยังกล้าพูดออกมา
คนโกหก!
หลี่มู่คร้านจะต่อล้อต่อเถียงกับซินแสเฒ่าแล้ว
สิ่งที่ทำให้เขาโมโหก็คือ ในเมื่อซินแสเฒ่ายอมรับเองว่าบนโลกใบนี้ไม่มีวิธีใดทำให้ฝึกสำเร็จ แล้วทำไมยังบังคับให้ฝึกอีกล่ะ
ตอนเริ่มฝึกปีแรกๆ หลี่มู่ที่อายุห้าหกขวบต้องการต่อต้าน เขาเลยถูกซินแสเฒ่าตีจนเนื้อแตก ต้องฝึกต่อไปทั้งที่มีน้ำหูน้ำตา ต่อมาหลี่มู่เติบโตขึ้นจนซินแสเฒ่าตีไม่ไหวอีกต่อไป เหตุเพราะไม้แข็งนั้นยากเกินจะดัดได้ หากหลี่มู่ไม่เชื่อฟัง เขาก็แกล้งบ้าวิ่งเป็นชีเปลือยขึ้นไปบนเขา หลี่มู่ที่ทำอะไรไม่ถูก จึงได้แต่จำใจยอมฝึกต่อไปโดยดี
จนท้ายที่สุดหลี่มู่ก็เคยชินไปเสียแล้ว
อย่างไรการฝึกแบบจำยอมนี้ก็นับเป็นการออกกำลังกายรูปแบบหนึ่ง เหมือนกับที่เด็กๆ เต้นแอโรบิกออกกำลังตามวิทยุสองชั่วโมงในทุกวัน
แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก!
หลังฝึกเพลงหมัดหนึ่งชุดและวิชายุทธ์เสร็จสิ้น ร่างกายของหลี่มู่ก็ร้อนระอุ
โดยเฉพาะอวัยวะภายในร่างกายที่ร้อนดั่งเปลวเพลิง แต่ก็เกิดความรู้สึกที่สบายยิ่ง
หลี่มู่เคยชินแล้ว
หลังจากฝึกวิชายามเย็นเสร็จ เขามายังประตูห้องฝึกสมาธิที่ลานด้านหลัง
“ตาเฒ่า ผมฝึกวิชาเสร็จแล้วนะ อาหารเย็นอยากกินอะไรครับ? ผมได้ตับหมูสดจากโรงฆ่าสัตว์ ทำบะหมี่ตับหมูต้มฟักที่ท่านชอบกินดีไหม” ตั้งแต่หกขวบหลี่มู่ก็เริ่มทำงาน เขาถูกซินแสเฒ่าผู้ไร้ยางอายบังคับให้ทำอาหาร ที่ผ่านๆ มาก็เป็นหลี่มู่ที่ลงมือทำอาหารสำหรับพวกเขาสองคน
“วันนี้เป็นวันสำคัญ อย่าเพิ่งรีบกินข้าว ข้าอยากจะบอกเจ้าเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง”
ซินแสเฒ่าพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างเห็นได้ยาก เขาพูดผ่านม่านกั้นประตูในห้องฝึกสมาธิออกมา
“วันสำคัญ?” หลี่มู่ได้ยินดังนั้นก็อึ้งไปชั่วขณะ เขาลูบศีรษะแล้วเริ่มใช้ความคิด วันนี้วันที่ 4 เดือน 7 ปี 2017 ไม่ใช่วันหยุดราชการและก็ไม่ใช่วันหยุดตามประเพณี อีกทั้งไม่ใช่วันชาติ…มันเป็นแค่วันธรรมดาสุดๆ วันหนึ่งนี่ เป็นวันสำคัญอะไรกัน?
“เจ้านั่งที่หน้าประตูห้องฝึกสมาธิก่อน แล้วฟังข้า” ซินแสเฒ่าพูดด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม ต่างจากทุกวันที่พูดด้วยน้ำเสียงกระด้าง “สิ่งที่ข้าต้องการจะพูดต่อไปนี้มันสำคัญมาก เจ้าควรตั้งใจฟัง อย่าขัดจังหวะกลางคันก่อนจะพูดเสร็จสิ้น”
“หืม? ก็ได้” ในใจหลี่มู่เต็มไปด้วยความสงสัย คุกเข่านั่งลงตรงหน้าประตูห้องฝึกสมาธิ
เขาสังหรณ์ใจว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่
เพราะทุกครั้งที่ซินแสเฒ่าพูดว่ามีเรื่องสำคัญทีไร ปกติจะเป็นตอนที่อาการบ้ากำเริบทุกครั้งไป
เกรงว่าครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน
“งั้นจะพูดสั้นๆ แล้วกัน เรื่องมันเป็นแบบนี้ นอกระบบสุริยะ สำนักฝึกวิชายุทธ์ชั้นสูงหลายแห่งที่ตั้งอยู่บนกลุ่มดาวจื่อเวย จะสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายมวลสารขนาดใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อให้สะดวกต่อการบุกเบิกดาราจักรทางทิศใต้ของทางช้างเผือก ทว่าชีพจรพลังเซียนของค่ายกลนี้ต้องตัดผ่านโลกพอดี หากเป็นเช่นนั้นโลกจะถูกทำลาย ข้าจำต้องส่งเจ้าไปนอกโลก แต่ก่อนที่เจ้าจะไป ข้าต้องกำชับบางเรื่องเพื่อให้เจ้าคุ้นชินยามไปอยู่ดาวดวงอื่น…” เสียงฉะฉานของซินแสเฒ่าดังออกมาจากห้องฝึกสมาธิ
อะ อะ อะ…อะไรนะ?
หลี่มู่มึนงง
ทำลายโลก?
กลุ่มดาวจื่อเวย?
ยังมีกลุ่มอำนาจฝึกวิชายุทธ์ชั้นสูง?
ว่าแล้ว
ซินแสเฒ่าอาการกำเริบอีกแล้ว
แถมรอบนี้อาการก็หนักใช่เล่นแฮะ ถึงพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้ออกมาได้
หากให้พูดต่อไปอีก ก็คงเป็นเอเลี่ยนจากดาราจักรทั้งห้าในกาแลกซีทางช้างเผือกมารุกรานโลกเพื่อชิงแพนด้าที่เป็นสมบัติของชาติไปละมั้ง
“อะแฮ่มๆ ท่านผู้เฒ่าหยุดพูดก่อนเถอะนะ… คือว่า ผมรู้สึกว่าเรื่องเล็กๆ อย่างการอพยพโลกน่ะเอาไว้ก่อน สุขภาพของท่านสำคัญกว่า ท่านน่าจะมีไข้ขึ้นเล็กน้อย ไม่สู้ให้ผมพาไปฉีดยาลดไข้ที่โรงพยาบาลดีกว่า” หลี่มู่พยายามเลือกใช้คำที่ฟังดูจริงใจมากที่สุด
ประสบการณ์ที่ผ่านมาบอกเขาว่า ตอนที่ซินแสเฒ่าอาการกำเริบต้องพูดอย่างนิ่มนวล อย่าปฏิเสธแบบแข็งกร้าว มิเช่นนั้นตาเฒ่าคนนี้จะยิ่งเป็นหนักกว่าเดิม
ป๊าบ!
รองเท้าแตะข้างหนึ่งลอยออกมาจากในห้อง ตรงเข้าที่หน้าผากของหลี่มู่อย่างแม่นยำ
“ไอ้เด็กเวร ข้าบอกแล้วไงว่าอย่าขัด ค่ายกลเริ่มทำงานแล้ว เวลานั้นมีค่า ยังพูดไร้สาระอีก เจ้าจะทำให้ข้าโมโหจนอกแตกตายเลยหรือไง หุบปากเดี๋ยวนี้ แล้วฟังข้าพูด….” เสียงโกรธเกรี้ยวของซินแสเฒ่าลอยออกมาจากห้องฝึกสมาธิ “ข้าไม่ได้บ้า เป็นแกที่โลกทัศน์แคบเอง ซ้ำยังโง่เขลาเบาปัญญา.. Shut up! หุบปากเลย!”
หลี่มู่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ได้แต่ลูบรอยรองเท้าที่ประทับอยู่บนหน้าผาก
อาการของตาเฒ่าวันนี้ค่อนข้างจะหนักหนาเอาการ นี่โมโหขนาดเริ่มพ่นภาษาอังกฤษออกมาด้วย
“ได้ๆๆ ใจเย็นก่อน ท่านพูดต่อเถอะ ผมไม่ขัดแล้ว…” หลี่มู่ได้แต่เอ่ยปลอบ
ได้ยินดังนั้น ซินแสเฒ่าที่ยังโกรธอยู่พ่นลมหายใจแรงๆ แล้วพูดต่อไปว่า “จะพูดสั้นๆ ให้ฟัง กลุ่มอำนาจฝึกวิชายุทธ์ชั้นสูงที่ตั้งอยู่บนดาวจื่อเวยขึ้นชื่อเรื่องความเหี้ยมโหด การอพยพดาวที่ว่านั้นเป็นเพียงแค่เรื่องแก้ต่างกับคำวิจารณ์ของคนหมู่มากในดาวนั้น ท้ายที่สุดแล้ว คาดเดาได้ว่าน่าจะทำลายโลกโดยตรงเลย ดังนั้นโลกใกล้ถึงคราววินาศแล้ว…
ข่าวดีคือการสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายมวลสารต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง ตามเวลาของโลกก็หลังจากนี้อีกยี่สิบปีโดยประมาณ…ข้าจะส่งเจ้าไปจากโลก ไปยังดวงดาวแห่งวิถียุทธ์ชั้นล่างในกลุ่มดาวจื่อเวย เพื่อให้เจ้าฝึกตนภายในเวลายี่สิบปี หากเจ้าสามารถฝึกหมัดยุทธ์แท้และพลังก่อนกำเนิดถึงระดับขั้นสูงจนได้รับพลังที่สามารถทำลายเกราะป้องกันของดวงดาว ไม่แน่โลกอาจมีหนทางยับยั้งภัยพิบัติในครั้งนี้ได้”
“อ๋อ…แบบนี้นี่เอง เข้าใจแล้ว ผู้เฒ่าท่านวางใจเถอะ ไม่ใช่เพื่อโลกใบนี้ แต่เพื่อท่านและคนในหมู่บ้านวัดหรานเติง ผมจะฝึกวิชาที่ท่านสั่งสอนทั้งสองวิชาอย่างดี” หลี่มู่เห็นอาการของซินแสเฒ่าหนักไม่เบาจึงต้องไหลตามน้ำไป
“อืม เข้าใจก็ดีแล้ว” น้ำเสียงพึงพอใจของซินแสเฒ่าดังออกมาจากห้องฝึกสมาธิ จากนั้นกล่าวต่อว่า “ไอ้เด็กเวร พวกเราปู่หลานได้พบกันนับว่าเป็นโชคชะตา ภายหลังเจ้าต้องไประหกระเหินด้วยตนเอง ตาเฒ่าอย่างข้าจะย้ำเตือนเจ้าอีกครั้ง รู้ใช่ไหมว่าสิ่งสำคัญที่สุดในการท่องยุทธภพของผู้ฝึกวิชาคืออะไร”
โอ้ย ครั้งนี้ซินแสเฒ่าจะอินมากไปหน่อยแล้ว
หลี่มู่อับจนคำพูด ทำใจเออออตามไป
เขาไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วพูดตามหลักเหตุผลว่า “ผู้ฝึกวิชาต้องก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ไม่ว่าจะเจอเรื่องยากลำบากเพียงใด ต้องฝ่าฝันให้ถึงที่สุด การท่องยุทธภพมีความเที่ยงธรรมเป็นหนึ่ง สละชีพเพื่อพวกพ้อง ไม่อ่อนข้อให้ความชั่วร้าย ถึงต้องสละชีพเพื่อความถูกต้องก็ไม่เสียดาย… ”
พูดยังไม่ทันสิ้นเสียง
ป๊าบ!
รองเท้าแตะอีกข้างลอยออกมาจากห้องฝึกสมาธิ ปะทะเข้าที่หน้าผากหลี่มู่
“stupid.. เจ้าโง่ เอาสิ่งที่ข้าพร่ำสอนให้เจ้าฟังอยู่ทุกวันไปไว้ที่ไหน สละชีพเพื่อพวกพ้อง? สละชีวิตเพื่อความถูกต้องงั้นเหรอ? ผิด! ผิดมหันต์! ไอ้เด็กเวร เจ้าจะทำให้ข้าบ้าตาย จงจำไว้ หลักในการท่องยุทธภพข้อแรกคือปะทะไม่ชนะจงวิ่งหนี หากหนีไม่พ้นจงเรียกพ่อ…ไม่ว่าเวลาใดก็ต้องรักษาชีวิตให้มั่น ความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับแรก การเอาชีวิตรอดจึงจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”
ซินแสเฒ่าโกรธสุดขีด แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงผิดหวังเป็นที่สุด
หลี่มู่ “ผม@#¥%……”
ซินแสเฒ่ากล่าวต่อไปด้วยความจริงใจว่า “เด็กน้อย หลายปีที่ผ่านมา ข้าไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องใหญ่ของดาราจักร สิ่งที่ข้าควรสอนเจ้าข้าก็สอนไปหมดแล้ว แม้ว่าข้าจะกวดขันเจ้า บังคับเจ้าให้ทำในสิ่งที่เจ้าไม่ต้องการมามาก จนเจ้าไม่ได้มีชีวิตในวัยเด็กที่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ล้วนเพื่อตัวเจ้าเองนะ รอไปถึงดวงดาววิถียุทธ์ชั้นล่างนั้นก่อน เจ้าจะเข้าใจว่าสิ่งที่ข้าสืบทอดแก่เจ้ามันมีคุณค่ามากเพียงใด เจ้าต้องสำนึกในบุญคุณข้าเป็นแน่…”
หลี่มู่เบะปาก
พูดกันตามตรง หากไม่รู้ว่าสิ่งที่ท่านพูดเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่แน่เขาอาจจะรู้สึกซาบซึ้งก็ได้
ซินแสเฒ่าอาการหนักขนาดนี้ ชักจูงอย่างไรถึงจะยอมไปโรงพยาบาลได้นะ
ในเวลานั้นเอง ซินแสเฒ่ากล่าวขึ้นว่า “เอาละ ข้าพูดจบแล้ว ตอนไปผจญโลกอย่าทำให้ข้าขายหน้าล่ะ… เข้ามาเถอะ ข้าจะส่งเจ้าเอง”
หลี่มู่ยิ้มแหยๆ
ได้โอกาสแล้ว
เข้าไปก็หาวิธีเข้าใกล้ แล้วมัดซินแสเฒ่าส่งโรงพยาบาลก่อนค่อยว่ากัน
หลี่มู่เลิกผ้าม่านแล้วเดินเข้าไปในห้องฝึกสมาธิ
ใครจะไปรู้ว่าในชั่วขณะที่เขาเดินเข้าไป เขาพลันรู้สึกตาพร่า มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น พื้นหลังผ้าม่านกลับไม่มีพื้นที่ให้เหยียบ หลี่มู่รู้สึกเหมือนขาข้างหนึ่งเหยียบลงเหว เท้าเหยียบอากาศ ทำให้เขาตกลงไปด้านล่าง หลังจากนั้นเขาได้ยินเสียงอื้ออึงแปลกประหลาด ทั้งตัวตกลงไปข้างใต้ในสภาวะไร้น้ำหนัก…
“แม่เจ้า สารเลว ตาเฒ่าโรคจิตนี่ ถึงขนาดขุดหลุมในห้องฝึกสมาธิลึกขนาดนี้…”
หลี่มู่ก่นด่าด้วยโทสะ
แต่เสียงนั้นจางหายไปในทันที
เหมือนหายไปจากโลกใบนี้
“วะฮ่าๆๆ สำเร็จแล้ว ตาเฒ่าอย่างข้าใช้เวลาสิบปีในการสร้าง ‘ร้อยเรียงดาวทั้งเก้า’ ต้องใช้เลือดในกายไปถึงครึ่งในการเปิดมัน ส่งเจ้าเด็กเหลือขอไป ข้าก็เป็นอิสระแล้ว…ฮ่าๆๆ ในที่สุดข้าก็กลับไปได้แล้ว…เปลี่ยนพิกัดของค่ายกล ไม่อยากอยู่ในโลกที่มีแต่วิญญาณแห้งเหี่ยวอีกต่อไปแล้ว ฮ่าๆๆ”
เสียงหัวเราะบ้าคลั่งของซินแสเฒ่าดังก้องห้องฝึกสมาธิ
ทว่าในเวลานั้น นอกวัดหรานเติงจู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น
“เจ้านายพล เสี่ยวมู่อยู่ในห้องฝึกสมาธิรึเปล่า?” เสียงไพเราะน่าฟังของเด็กสาวดังขึ้น
ภายนอกนั้น เจ้าหมาฮัสกี้ที่ร่างเหมือนลูกวัวสะบัดหัวและหางไปมาอย่างประจบขณะนำทาง
เด็กสาวหน้าตางดงามอายุสิบสามสิบสี่ปีเดินตามมันอยู่ด้านหลัง
เด็กสาวผู้นี้สูงใกล้ถึง 170 เซนติเมตร ผมดำเงางาม ใบหน้างดงาม มีผิวขาวดั่งหิมะ ใบหน้าประดับรอยยิ้มโดยไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมา เธอสวมเสื้อยืดสีขาว ช่วงอกมีเนินให้เห็นอยู่บ้าง กางเกงยีนส์กระชับรูปร่างเข้าคู่กับขาเรียวยาว รูปร่างมีส่วนเว้าส่วนโค้งเด่นชัด ช่างงดงามไร้ที่ติ วัดหรานเติงอันเก่าแก่ที่เงียบสงบและเยือกเย็นเหมือนจะสดใสขึ้นเพราะการปรากฏตัวของเด็กสาวคนนี้
ถ้าหลี่มู่อยู่ที่นี่ เขาต้องรู้ทันทีว่าเธอคือคณะกรรมการนักเรียนหวางซืออวี่ในชั้นเรียนมัธยมต้นก่อนจบการศึกษา เธอเป็นดาวของระดับชั้นและเป็นอดีตเพื่อนร่วมโต๊ะของเขา
“โฮ่ง…โฮ่ง” เจ้านายพลกระโดดอย่างตื่นเต้น ส่ายหางจนแทบกระเด็นหลุดออกมา ก่อนจะนำทางด้วยความยินดีเดินเข้าไปในห้องฝึกสมาธิ
หวางซืออวี่เดินตามเข้าไปติดๆ โดยไม่ทันคิดอะไร ยิ้มกล่าวว่า ”เสี่ยวมู่ นายอยู่ข้างในรึเปล่า อาจารย์ให้ฉันมาหานายน่ะ เขาอยากให้นายเรียนต่อชั้นมอปลาย…”
ทว่า ในเวลาต่อมาก็เกิดเสียงกรีดร้องของเด็กสาวและเจ้าสุนัขดังพร้อมกันในห้องฝึกสมาธิ
หลังจากนั้น เสียงหนึ่งคนหนึ่งสุนัขก็จางหายไปจนสิ้น
เกิดความเงียบสงบนานชั่วระยะหนึ่ง แล้วจึงมีเสียงที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจจากซินแสเฒ่าดังขึ้นในเวลาต่อมา
“ไม่…เจ้าสุนัขทึ่มน่าตาย อ๊า เด็กคนนี้เข้ามาได้ยังไง…สมควรตาย ข้าเสียเลือดและได้รับบาดเจ็บมากเกินไปจึงมารั้งไว้ไม่ทัน และไม่มีเวลามากำหนดพิกัดค่ายกลใหม่ มันถูกกระตุ้นอีกครั้งแล้ว สวรรค์เอ๋ย เด็กสาวธรรมดากับสุนัขหนึ่งตัวก็ถูกส่งไปเช่นกัน ข้ากลับต้องเสียเลือดที่เหลืออยู่ทั้งหมดไปเปล่า โอ๊ยยย แย่แล้ว ทำอย่างไรดี นี่เป็นการเดินทางเพียงครั้งเดียวเชียว ไม่มีค่ายกล ไม่มีเลือด ข้าก็ต้องติดอยู่ในโลกใบนี้ สวรรค์ทำไมเล่นตลกกับข้าเช่นนี้?”
ซินแสเฒ่าคลั่งไปแล้ว
หลังจากนั้นพักใหญ่ มีเสียงพูดกับตัวเองของซินแสเฒ่าดังออกมาจากห้องฝึกสมาธิ
“ไอ้เด็กเวร ยังมีเรื่องน่าสนุกต่ออีก สุนัขของเจ้ากับน้องเจ้าถูกส่งไปเช่นกัน…พวกเจ้าได้พบกันบนโลกใบนั้นต้องสนุกมากแน่นอน เจ้าตัวแสบ เจ้าต้องฝึกพลังก่อนกำเนิดให้ไปถึงขั้นสูงสุดภายในเวลายี่สิบปี แล้วทลายโซ่ตรวนของดวงดาวเพื่อมาช่วยข้านะ ไม่เช่นนั้นตาเฒ่าอย่างข้าก็คงมีแต่โดนฝังอยู่ที่นี่แล้ว”
……………………………………………………
[1] ข้าวร้อยมื้อ สวมเสื้อร้อยชิ้น เป็นสำนวนจีน ในอดีตบิดามารดาหวังว่าลูกของตนจะเติบโตอย่างแข็งแรง และเชื่อว่าการที่จะเติบโตอย่างแข็งแรงต้องได้รับพรจากทุกคน พรอันนั้นคือการได้กินข้าวร้อยบ้าน ส่วนสวมเสื้อร้อยบ้านคือการนำเอาผ้าของแต่ละบ้านมาเย็บเป็นเสื้อให้เด็กใส่