จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 10 ดาบเชือดหมู
เจิ้งหลงซิงเรียกข้ารับใช้คนสนิทอีกคนเข้ามา ส่งจดหมายให้หนึ่งฉบับแล้วกำชับว่า “เจ้าไปส่งจดหมายบอกข่าวยอดฝีมือของพรรคจันทราโลหิต ให้เตรียมการตามที่เขียนไว้ในจดหมาย เตรียมตัวลงมือได้”
“ขอรับ” คนสนิทหมุนกายจากไป
ภายใต้เงามืดในห้องลับ นายตรวจการหนึ่งในผู้นำแห่งอำเภอขาวพิสุทธิ์ฉีกยิ้มอย่างชั่วร้าย “หึๆ ขุนนางอายุสิบกว่าปีคนหนึ่งต้องอับอายถึงเพียงนี้ คิดฆ่าตัวตายขึ้นมาก็เป็นเหตุผลที่ไร้ที่ติ ใครจะไปตรวจสอบพบอะไรได้…ฮ่าๆๆๆ”
……
“ใต้เท้า เรามาถึงแล้ว”
หม่าจวินอู่ชี้ไปยังป่าหินเบื้องหน้าพลางกล่าว
ป่าหินแห่งนี้อยู่มุมทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์ ทำเลห่างไกล มีหินรูปร่างประหลาด ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม ทั้งยังเป็นที่ชุ่มชื้น เต็มไปด้วยงูและแมลง อากาศก็เป็นพิษ ที่นี่ถูกยึดครองโดยพรรคเสินหนงมายี่สิบกว่าปี ทำเหมือนเป็นหมู่บ้านภูเขาเล็กๆ มีรั้วแนวยาวแข็งแรงดุจเหล็ก เหมือนเขาวงกต แม้ว่ากองทัพจำนวนสามสี่ร้อยคนบุกมาก็ยากที่จะทลายได้
เมื่อพูดถึงบริเวณนี้ ผู้คนในอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์ต่างหวาดกลัวตัวสั่น
สำหรับคนที่อยู่ในเมือง ป่าหินแห่งนี้น่ากลัวดังขุมนรก
“เจ้ากลับไปได้แล้ว” หลี่มู่หันไปพูดกับหม่าจวินอู่ หลังจากนั้นถือดาบโลหะเดินตรงเข้าไปที่ประตูใหญ่ของฐานที่มั่นหลักพรรคเสินหนง
“ใต้เท้า…” หม่าจวินอู่ต้องการโน้มน้าวเขาอีกครั้ง แต่เมื่อจะพูดกลับพูดไม่ออก เขากัดฟันอย่างแรง ตัดสินใจกล่าวว่า “ข้าจะไปกับท่าน…” ทันทีที่เขาพูดก็รู้สึกเสียใจ หากเข้าไปแล้วเกิดอะไรขึ้นเขาจะทำอย่างไร
หลี่มู่โบกมือห้ามโดยไม่หันกลับไป เอ่ยว่า “เจ้ารออยู่ที่นี่”
ขาของหม่าจวินอู่เหมือนมีลูกตุ้มมาถ่วง ก้าวไม่ออกแม้แต่ก้าวเดียว
เขาหันมองข้างหลัง บนทางที่เข้ามาจะเห็นคนมากมายอยู่ไกลออกไป พวกเขาเฝ้ามองมาจากไกลๆ มีทั้งขุนนางน้อยใหญ่และคนจากพรรคอื่น แล้วยังมีผู้คุ้มกันจากครอบครัวร่ำรวยในตัวเมือง เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้แพร่ไปอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ เป็นที่สนใจของผู้มีชื่อเสียงในอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์กันหมด
คลื่นลูกใหญ่กำลังจะซัดเข้ามาแล้วหรือ?
หม่าจวินอู่พลันรู้สึกมึนงงเล็กน้อย
ตอนนี้หลี่มู่อยู่หน้าประตูซึ่งเป็นฐานที่มั่นหลักของพรรคเสินหนงแล้ว
เสาหินคู่สูงหกกว่าจั้งเหมือนดาบศิลาแทงขึ้นไปบนท้องฟ้า คอยค้ำยันประตูไว้ บานประตูทำจากไม้เก่าอายุนับพันปีซึ่งสูงหกกว่าจั้งเช่นกัน มันหนายิ่งนักและถูกทาด้วยสีแดงสดเหมือนชโลมเลือด ตรงประตูใหญ่มีคนของพรรคเสินหนงยืนอยู่นับสิบคน ทุกคนต่างสวมชุดสีแดงสดแปลกประหลาด บนร่างกายมีกลิ่นยาฉุนจมูกและกลิ่นอายชั่วร้าย พวกเขาสีหน้าดุร้าย จ้องมาที่หลี่มู่
“ซือคงจิ้งประมุขพรรคเสินหนง ไสหัวออกมาพบข้าเดี๋ยวนี้”
ความโกรธของหลี่มู่ปะทุอยู่ภายใน เขาก้าวยาวเข้าไปใกล้
ศิษย์ของพรรคเสินหนงเหมือนนกกระจอกแตกรังทันใด
“เจ้าเป็นใคร?”
“หยุด…”
“กล้ามาบุกฐานที่มั่นของพรรคเสินหนงข้า อยากตายอย่างนั้นหรือ?”
มีเสียงโกรธเคืองดังขึ้น คนพรรคเสินหนงล้อมเข้ามา
หลี่มู่ไม่สนใจ ตะโกนออกมาว่า “ซือคงจิ้ง ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะไม่รู้ว่าข้ามา ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้”
เสียงนั้นดังสนั่นเหมือนสายฟ้าฟาดในเวลากลางวัน คนโดยรอบต่างรู้สึกหูอื้อ ตกใจที่เสียงดังลั่นขนาดนี้มาจากขุนนางเมืองตัวเล็กคนนี้ หรือเขาจะเป็นจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง? ไม่กระมัง บนกายเขาไม่มีพลังปราณสักนิด
“บังอาจเรียกนามท่านประมุข ลากตัวมันมา”
มีเสียงชวนขนลุกดังมาจากหลังประตูหมู่บ้าน
“ไป!” คนของพรรคเสินหนงรีบพุ่งเข้ามาทันที
หลี่มู่ย่อตัวลงเล็กน้อย ส่งพลังออกมาจากสองขา
พื้นใต้เท้าพลันยุบลงเหมือนใยแมงมุม
จากนั้นเขาวิ่งไปด้านหน้าเหมือนเครื่องจักรที่หมุนเกินกำลัง
รวดเร็วปานสายฟ้า
คนของพรรคเสินหนงไม่มีปฏิกิริยาอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาแค่รู้สึกว่าด้านหน้าพร่ามัว มีเงาคนวูบไหว มีลมพัดผ่านจนพวกเขาล้มระเนระนาด แต่กลับไม่เห็นร่างของหลี่มู่แล้ว
“อะไรน่ะ?”
หัวใจหม่าจวินอู่ที่อยู่ด้านนอกบีบรัด ม่านตาหดลง
ความเร็วระดับนี้…แม้แต่ยอดฝีมือขั้นรวมปราณสมบูรณ์ยังทำไม่ได้เลยกระมัง?
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
หรือว่าขุนนางเมืองหลี่มู่จะเป็นยอดฝีมือที่เก็บงำความสามารถเอาไว้?
ด้านหลังห่างออกไปไกลมีเสียงร้องแตกตื่น เห็นได้ชัดว่าผู้คนที่แอบมองต่างก็ตกตะลึงเช่นกัน
ต่อจากนั้น….
ตู้ม!
เกิดเสียงเหมือนทวยเทพลั่นกลองดังสนั่น
หลี่มู่วิ่งด้วยความเร็วดังลมคลั่งไปถึงหน้าประตูของฐานที่มั่นพรรคเสินหนง แล้วเตะเข้าที่ประตู
ท่ามกลางสายตาเหลือเชื่อและตกตะลึงถึงขีดสุดนับไม่ถ้วน แรงเตะนั้นทำให้ประตูหนักกว่าสิบชั่งบอบบางเหมือนไม้กระดานต้องลม ลอยกระเด็นไกลไปถึงป่าหินที่อยู่ด้านหลัง พายุฝุ่นตลบขึ้นมา หินแตกกระจาย ในระยะหลายลี้สั่นสะเทือนเหมือนเกิดแผ่นดินไหว ภาพความรุนแรงและบ้าคลั่งที่เกิดขึ้นนั้นยากเกินจะอธิบาย
“สวรรค์…”
“อะไรน่ะ?”
“แม่เจ้า!”
“เป็นไปได้อย่างไร?”
“นั่น….นั่นมันพลังอะไรกัน”
ผู้คนซึ่งแอบอยู่รอบๆ เบื้องหลังหม่าจวินอู่ต่างหลุดอุทานออกมาเป็นชุด
ชั่วขณะนั้น ความคิดของคนมากมายขาวโพลน สูญเสียความสามารถในการคิดไปโดยสิ้นเชิง
รวมถึงหม่าจวินอู่เองด้วย
ในชีวิตของยอดฝีมือแห่งสำนักขาวพิสุทธิ์ผู้นี้ไม่เคยเห็นพลังที่น่าเกรงกลัวขนาดนี้มาก่อน ร่างของเด็กหนุ่มที่พุ่งออกไปในฉับพลันราวกับประกายดาบ ช่างเหมือนสัตว์ดึกดำบรรพ์ในร่างคน นี่มันไม่ใช่พลังของยอดฝีมือขั้นรวมปราณแล้ว แต่ข้ามผ่านขั้นรวมปราณไปไกลมากเลยทีเดียว…
“ซือคงจิ้ง ยังไม่ไสหัวออกมาอีก หรืออยากให้ข้าทำลายรังหนูของเจ้าแห่งนี้?”
เสียงตะโกนของหลี่มู่เปรียบเหมือนฟ้าร้องดังลั่นเหนือฐานที่มั่นแห่งนี้
เสียงร้องตกใจและเสียงโหยหวนดังมาจากปราการป่าหินของพรรคเสินหนง
ประตูบานใหญ่ที่ล้มครืนทำให้เสาหินหลายสิบต้นหักโค่นลง คนพรรคเสินหนงจำนวนไม่น้อยที่แอบอยู่ในมุมมืดหลบไม่ทันจึงได้รับบาดเจ็บไม่ก็ขาหัก ในเวลานี้ถึงเพิ่งได้สติ กรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ท่ามกลางผงฝุ่นจากเศษหินที่ลอยฟุ้ง ยอดฝีมือในพรรคบางส่วนตะโกนออกมาด้วยความเคียดแค้น…
ฐานที่มั่นของพรรคเสินหนงซึ่งปกติเป็นดั่งนรกบนดินตกอยู่ในความวุ่นวายเหมือนรังนกที่โดนกระแทกแรงๆ
เกิดเสียงดังตูม หลี่มู่ถีบตัวลอยขึ้นสูง ขึ้นไปเหยียบอยู่บนประตูใหญ่ที่เอียงทรุด
“เจ้าบ้า ทำลายประตูใหญ่ของฐานที่มั่นข้า สมควรตาย”
เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางฝุ่น ตามด้วยเสียงคมดาบแหวกผ่านอากาศ
หมอกฝุ่นพลันจางลง
ร่างสีเทาพุ่งเข้ามากลางอากาศดั่งนกอินทรี สองมือถือดาบยาวผ่าอากาศลงมา
ดาบเล่มนี้ช่างน่าสะพรึงกลัว
แต่หลี่มู่ฝึกพลังก่อนกำเนิด ประสิทธิภาพร่างกายและความไวในการตอบสนองต่างกับคนธรรมดาสามัญนานแล้ว ดาบทะยานฟ้าที่ไวไม่ต่างจากสายฟ้านี้ ความจริงแล้วดูช้ามากในสายตาของหลี่มู่ เขาก้าวไปด้านข้างสองก้าว อาศัยหมอกฝุ่นเพื่อหลบเลี่ยงคมดาบ
การเคลื่อนหลบอย่างง่ายดายเป็นไปตามสัญชาตญาณของหลี่มู่
ในสายตาของคนจำนวนนับไม่ถ้วนของกองกำลังแต่ละฝ่าย การเคลื่อนไหวของหลี่มู่ลื่นไหลดุจสายน้ำ เป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องพยายาม กระทั่งเรียกได้ว่าเหมือนละมั่งแขวนเขา[1]
ชิ้ง
ประกายไฟกระจายขึ้นมา
ดาบเล่มนั้นฟาดฟันลงไปที่หิน เสียงโลหะกระทบหินดังขึ้น
“เจ้าเป็นใคร” หลี่มู่มองเงาร่างสีเทาที่ถือดาบ
ชายผู้นี้เป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบปี ร่างซูบผอม ผมสีเทายาวพลิ้วไหว สวมเกราะเบาสีดำ แผ่รังสีโหดเหี้ยมอำมหิตและกลิ่นพิษร้ายทั้งร่าง เมื่อได้ยินคำที่หลี่มู่กล่าว สองมือถือดาบชั้นดียาวเจ็ดฉื่อเป็นแนวขวาง ก่อนจะแค่นเสียงหยันอย่างยโส “ข้าเป็นลำดับสามในจตุรเทพแห่งพรรคเสินหนง ฉายา ‘ดาบตัดนภา’ สวี่จื้อ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร แต่ถือดีมาทำลายประตูใหญ่ของฐานที่มั่นพรรคเสินหนง วันนี้ข้าจะให้เจ้าชดใช้”
“จตุรเทพ?” หลี่มู่หรี่ตามอง “วันนี้จตุรเทพพาคนไปบุกโรงหมอ ได้ทำร้ายและสังหารองครักษ์ของทางการ ซ้ำยังลักพาแม่ลูกสกุลจางไป หนึ่งในนั้นคือเจ้าสินะ?”
“ฮ่าๆๆ ไม่เลวนี่ เป็นข้าเอง” สวี่จื้อหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
ในใจเขารู้ดีว่าเด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าคือขุนนางเมือง เพียงแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้เท่านั้น
มีคำสั่งจากเบื้องบนมาว่าให้ทำให้ขุนนางเมืองคนนี้อัปยศต่อหน้าฝูงชน หึๆ ตัดมือตัดเท้าหรือตัดจ้าวโลก ก็นับว่าเป็นที่น่าอับอายอยู่เหมือนกันกระมัง
“เป็นเจ้าก็ดี”
ใจของหลี่มู่มีความแค้นโหมกระหน่ำ ทว่าสายตาสงบนิ่ง
เขาเสียบดาบเหล็กไว้ข้างๆ ถลกแขนเสื้อกว้างของชุดนักพรตขึ้นมามัด ก่อนลองขยับไปมา พอรู้สึกว่าแน่นพอดีแล้วจึงหยิบดาบเหล็กที่เอามาจากมือของศพจางหรูมาถืออีก
บุคลิกของหลี่มู่เปลี่ยนไปในฉับพลัน ดูไปแล้วเหมือนอันธพาลข้างถนนเตรียมเปิดฉากต่อสู้ ไร้ท่าทีของยอดฝีมือ ฝูงชนที่แอบสังเกตการณ์อยู่ไกลๆ ตั้งแต่แรกต่างตกตะลึง ทว่าเมื่อเห็นภาพตรงหน้า ก็พลันรู้สึกว่าบุคลิกที่เปลี่ยนไปนั้นออกจะน่าขัน ให้ความรู้สึกเสมือนเทพธิดาดวงจันทร์ผู้สูงศักดิ์ปวดหนักจนหน้าแดง จะนั่งจะยืนก็ไม่เป็นสุข
แต่ในเวลาต่อมา ฉากที่ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึงจนแข็งเป็นหินปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ทันทีที่หลี่มู่จับดาบ พลังก็ระเบิดออกจากฝ่าเท้า เกิดเป็นเสียงดังลั่น รองเท้าที่สวมอยู่ปริขาดออกด้วยพลังอันน่าหวาดกลัว กระทั่งหินที่เหยียบอยู่ก็แหลกจนเป็นผุยผง…
พื้นดินสั่นไหว
เขาพุ่งออกไปอีกครั้ง
รวดเร็วราวกับสารด่วน
“หืม?”
ดวงตาของ ‘ดาบตัดนภา’ สวี่จื้อหดเกร็ง
เพราะเขาพบว่าเบื้องหน้าพร่าเลือน จู่ๆ ร่างของหลี่มู่ก็หายไปจากสายตาของตนเอง
ฟึ่บ!
แสงดาบส่องประกาย
ชั่วแวบเดียวหลี่มู่ก็มาปรากฏอยู่หลังสวี่จื้อห่างไปสามจั้งแล้ว
เพราะพุ่งทะยานรุนแรง จึงต้องเดินหน้าไปอีกสองก้าวถึงจะหยุดลงได้
เคร้ง!
ดาบเหล็กยาวเจ็ดฉื่อหนักร้อยจินร่วงสู่พื้น
“เจ้า..ฮึก ฮึก..ข้า…” ‘ดาบตัดนภา’ สวี่จื้อยกสองมือขึ้นจับคอตน “เจ้า…เจ้านี่คือ…เพลงดาบอะไรกัน?”
หลี่มู่ก้มลงมองดาบองครักษ์ในมือ ตอบว่า “ดาบเชือดหมู”
เขาใช้วิธีเดียวกับการลงดาบเชือดหมูที่เรียนรู้มาจากในโรงเชือดบนโลกมนุษย์
…………………………………..
[1] ละมั่งแขวนเขา โบราณเปรียบถึงกวีที่มีท่วงทำนองโดดเด่นหรือการเคลื่อนไหวร่างกายที่คล่องแคล่ว