จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 100 กรีดข้อมือ
เผชิญหน้ากับหลี่มู่ที่กำเริบเสิบสาน ไม่ว่าจะเป็นฉู่ซูเฟิงหรือเหล่ากองกำลังเกราะดำต่างไม่ลังเลอะไรทั้งสิ้น คุกเข่าลงทุกคนทันที โดยเฉพาะฉู่ซูเฟิง เดิมทีเขาก็เป็นผู้ช่วยขุนนางเมืองที่มารับตำแหน่งใหม่ของอำเภอขาวพิสุทธิ์ ตำแหน่งฐานะล้วนอยู่ใต้หลี่มู่ ดังนั้นคุกเข่าลงก็ไม่มีความกดดันทางจิตใจอะไรอยู่แล้ว
ส่วนหนิงจ้งซานที่โดนลากมาอยู่ข้างๆ ครั้นเห็นภาพนี้แล้วในใจก็เย็นยะเยือก จึงหลับตาแกล้งตายไปเลย
หลี่ปิงก็ตกใจจนสุดขีด ตัวสั่นงันงก สังหรณ์ได้ถึงการมาเยือนของชะตาอันเหี้ยมโหด
หากให้เขาเลือกได้อีกครั้ง เขาจะต้องหนีไปจากอำเภอขาวพิสุทธิ์ดินแดนปีศาจแห่งนี้ทันทีที่ได้รับการช่วยเหลือออกมาจากคุกที่ว่าการ หนีไปให้ยิ่งไกลยิ่งดี ไม่ขอกลับมาที่นี่อีก เรื่องแก้แค้นอะไรพวกนี้ยิ่งไม่คิดจะพูดถึงอีกต่อไป
อาจารย์เจิ้งที่ฐานะสูงสุดในที่นี้ยังถูกซัดขาหักนอนอยู่บนพื้นราวสุนัข แล้วคนอื่นจะเป็นเช่นไร?
คนที่ไม่พอใจและไม่ยอมรับมีเพียงรองนายพลกองกำลังทหารเกราะดำสามสี่คนเท่านั้น
แต่ได้เห็นพลังเสมือนทำลายล้างของหลี่มู่แล้ว พวกเขาจะทำอย่างไรได้?
พวกเขาไม่คิดว่าตัวเองจะมีพลังสยบเหนือชั้นกว่าอาจารย์เจิ้ง หลี่มู่กล้าหยามหมิ่นแม้แต่อาจารย์เจิ้ง เช่นนั้นหักขาของพวกเขาจะไม่ทำได้สบายๆ เลยหรอกหรือ
บุรุษต้องถอยให้เป็น
พวกเขาก้มหน้าคุกเข่าลงเช่นกัน
หลี่มู่อยู่บนที่สูง กวาดตาลงมองคนพวกนี้ มุมปากเผยรอยยิ้มเยาะหยัน
“พวกขี้ขลาด เศษสวะกำลังรบอ่อนด้อย ยังมีหน้ามาเล่นลูกไม้อะไรกับข้า โง่เขลา”
เขาวิจารณ์พวกเจิ้งฉุนเจี้ยนและฉู่ซูเฟิงตรงๆ
เจิ้งฉุนเจี้ยนในเวลานี้หยุดร้องครวญครางแล้ว สีหน้าเซื่องซึม สภาพน่าสังเวช นอนอยู่บนพื้นโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
แต่ในดวงตาของ ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ คนนี้กลับฉายแววเหี้ยมโหดชั่วร้ายดุจงูพิษ จ้องหลี่มู่เขม็งเหมือนจะจำหน้าตาของฝ่ายตรงข้ามเอาไว้ให้ขึ้นใจ
สำหรับเรื่องนี้ หลี่มู่ไม่สนใจ
แต่ก่อน ในช่วงหลายปีที่เขาอยู่ในโรงฆ่าหมูของหมู่บ้าน ฝีมือยังไม่ชำนาญดี หมูที่ฆ่าไม่ตายในทีเดียวพวกนั้น ในตอนที่มันเจ็บจนแทบบ้า ความบ้าคลั่งเหี้ยมโหดในดวงตาน่ากลัวกว่าเจิ้งฉุนเจี้ยนเยอะนัก
แม้แต่สายตายังสู้หมูไม่ได้ จะมีอะไรน่ากลัว
เทียบกันแล้วหลี่มู่เป็นห่วงบาดแผลของเด็กรับใช้บัณฑิตน้อยมากกว่า
เขามาถึงเบื้องหน้าชิงเฟิง มองหมอที่ตรวจอาการเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วก่อนเอ่ย “อาการบาดเจ็บเป็นเช่นไร?”
สีหน้าของหมอคนนั้นซับซ้อน มองสายตาของชิงเฟิงแล้วใจก็เต็มไปด้วยความนับถือที่ยากจะเอื้อนเอ่ย “คุณชายน้อยสมเป็นคนข้างกายของใต้เท้า อาการบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้แต่สีหน้ายังเป็นปกติ เหมือนกับที่ดึงลูกธนูให้กับใต้เท้าในวันนั้น ชวนให้คนต้องตะลึงนัก…”
หลังจากพูดอย่างทอดถอนใจแล้ว เขาจึงตั้งสติกลับมาเรื่องสำคัญที่หลี่มู่สนใจ รีบร้อนรายงานว่า “ใต้เท้าไม่ต้องเป็นกังวลไป บนร่างของคุณชายน้อยส่วนมากเป็นเพียงแค่บาดแผลภายนอกเท่านั้น ต้องทายา พักผ่อนอย่างสงบ กินอาหารบำรุงร่างกายก็ได้แล้ว ไม่ถึงแก่ชีวิต เพียงแต่ เพียงแต่…”
พูดจนถึงข้างหลัง น้ำเสียงของหมอก็ค่อนข้างลังเลแล้ว
“เพียงแต่อะไร” หลี่มู่สัมผัสสิ่งที่ไม่ดีในน้ำเสียงของเขาได้เลาๆ
“เพียงแต่ขาทั้งสองของคุณชายน้อยมีรอยแผลบาดลึกถึงกระดูก เพราะเวลาผ่านมานาน เนื้อขาเน่าตาย ข้าน้อยเกรงว่าจะไม่กล้ารับประกัน…ส่วนฟันถูกอาวุธทื่อๆ งัดหัก ด้วยอายุของคุณชายน้อยยากที่จะงอกออกมาใหม่ได้ จำต้องใส่ฟันปลอม”
หมอพูดอย่างอ้อมค้อม
แต่ในหัวของหลี่มู่กลับเหมือนมีสายฟ้าฟาด เข้าใจความหมายของเขา
เด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงเป็นไปได้ว่าอาจจะเสียขาทั้งสองข้าง?
จะ…กลายเป็นคนพิการ?
เป็นไปไม่ได้ เมื่อครู่เจ้าเด็กนี่ยังยืนได้ตรงมั่นคงอยู่ชัดๆ จะเป็นไปได้อย่างไร?
หลี่มู่ไม่สนใจคนอื่น เลิกชายชุดคลุมของชิงเฟิงขึ้น เมื่อได้เห็นไฟโทสะก็แทบจะท่วมเขาจนมิด
ที่แท้ เนื้อขาทั้งสองใต้ชุดคลุมของเจ้าหนูน้อยเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ เห็นได้ชัดว่าส่วนใหญ่เน่าตายแล้ว เลือดสีดำไหลซึม เนื้อที่เน่าเหมือนจะหลุดออกมาได้ทุกเมื่อ ส่วนที่เขาสามารถยืนได้ตรง ยืนได้มั่นอยู่ ก็เพราะที่ขาติดเหล็กเส้นเอาไว้ เหมือนยึดกล้ามเนื้อและท่อนบนไว้กับที่
บาดแผลเช่นนี้…
ต่อให้อยู่บนโลกในยุคที่การแพทย์แผนปัจจุบันดีเยี่ยม เกรงว่าก็คงทำได้แค่ตัดทิ้งเท่านั้นแล้ว?
“คุณชาย ข้า…ไม่เป็นไร ข้า…ท่านอย่าได้…วู่วาม ข้า…” ใบหน้าของเด็กรับใช้บัณฑิตยิ่งซีดขาวลงเรื่อยๆ สีหน้าเริ่มเหม่อลอย สายตาพร่าเลือน ร่างกายโอนเอน
ก่อนหน้านี้ที่เขาฝืนอยู่ก็เพราะไม่อยากนำความเดือดร้อนมาให้หลี่มู่ และไม่อยากให้หลี่มู่วู่วามเพราะเรื่องนี้ แต่ว่าตอนนี้ทุกอย่างถูกเปิดเผยออกมาหมดแล้ว เขารู้ว่าตัวเองปิดหลี่มู่ไม่ได้ สติจึงผ่อนคลายลงอย่างยากจะเลี่ยง เมื่อแรงฮึดนี้เมื่อคลายลง แม้จะไม่ถึงแก่ชีวิต แต่ก็สูญเสียการรู้สึกตัวไปแล้ว
ในใจของหลี่มู่ยิ่งรู้สึกผิด
“มีวิธีที่จะรักษาขาทั้งสองเอาไว้หรือไม่?” หลี่มู่มองหมอผู้นั้น
หมอเผยสีหน้าลำบากใจ ครุ่นคิดอย่างยากลำบาก ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า “เสียเลือดมาก เนื้อเน่าตาย บาดเจ็บจนถึงรากฐาน จะรักษาขาเอาไว้ก็ยากยิ่งนัก นอกเสียจากจะมีโอสถเซียนที่แฝงพลังชีวิตแข็งแกร่งในตำนาน บางทีอาจจะมีโอกาสอยู่บ้าง แต่ว่าโอสถเซียนเช่นนั้นหาไม่ได้ง่ายๆ ร้านขายยาทั้งหลายในอำเภอไม่มีทางมีขาย มีเพียงสำนักเทพของราชวงศ์เท่านั้น บางทีอาจ…”
โอสถเซียนเป็นของวิเศษล้ำค่าของโลกนี้ แน่นอนว่าชนชั้นปกครองคือผู้ครอบครอง อย่างเช่นราชวงศ์ของจักรวรรดิหรือสำนักชั้นยอด
คำพูดเช่นนี้แทบจะตัดความเป็นไปได้ทุกอย่างทิ้งไป
หลี่มู่ขมวดคิ้ว ในสมองผุดความคิดมากมายนับไม่ถ้วนขึ้นมาทันที
ไปชิงมาจากสำนักไม่ก็ราชวงศ์หรือ?
ไม่ทันกาลแล้ว อีกทั้งก็ไม่แน่ว่าจะแย่งมาได้
ซื้อในราคาแพง?
ไม่รู้ว่าต้องรอกันกี่เดือนกี่ปี
ความคิดต่างๆ แทบจะไม่อาจเป็นจริงได้
โอสถเซียนที่มีพลังชีวิตแข็งแกร่ง โอสถเซียนที่มีพลังชีวิตแข็งแกร่ง…
เดี๋ยวนะ พลังชีวิตแข็งแกร่ง?
ในหัวของหลี่มู่พลันมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา
เขามองไปยังหมอแล้วถามขึ้น “ขอแค่เป็นสิ่งที่มีพลังชีวิตแข็งแกร่ง จะบำรุงรากฐานพลังชีวิตให้ชิงเฟิง ไม่จำเป็นต้องเป็นโอสถเซียนก็ได้ใช่หรือไม่?”
“นี่…” หมออึ้งไป คิดอย่างละเอียดแล้วจึงตอบ “เป็นเช่นนี้จริงๆ ตามหลักทฤษฎีแล้วเป็นไปได้ แต่ปกติสิ่งที่แฝงพลังชีวิตแข็งแกร่งมีแค่พวกโอสถเซียนกับของวิเศษล้ำค่าเท่านั้น…”
“แบบนั้นก็ได้แล้ว” หลี่มู่พูดจบก็เดินลงไปชักกระบี่จากเอวทหารเกราะดำที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ก่อนจะตวัดมือกรีดไปบนข้อมือของตน
แก๊ง!
เสียงเหมือนโลหะกระทบกันดังขึ้น
ปลายกระบี่หักกระเด็นออกมาท่อนหนึ่ง
“เอ๋?”
หลี่มู่อึ้งตะลึง
ทหารเกราะดำคนนั้นไม่ทันได้ตั้งตัว จึงตกใจยกใหญ่
ส่วนคนอื่นๆ ก็รู้สึกประหลาดใจกับการกระทำเช่นนี้ของใต้เท้าขุนนางเมืองนัก
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
เหตุใดจู่ๆ ขุนนางเมืองจึงทำร้ายตัวเอง?
“บ้าเอ๊ย แข็งขนาดนี้เลย?”
หลี่มู่ตวัดกระบี่หักฟันไปบนข้อมือตัวเองติดกันหลายที แต่ท่ามกลางเสียงประหลาดราวโลหะประสาน กระบี่เล่มนั้นแหลกทลายลงเหมือนรูปปั้นดินเหนียว เหลือแค่ด้ามกระบี่เท่านั้น
หลี่มู่แทบจะคลุ้มคลั่ง
การยกระดับพลังหลังจากที่ทะลวงขั้นทุกครั้งของตัวเอง ที่จริงแล้วตลอดมาหลี่มู่ไม่เคยประเมินได้อย่างถูกต้องชัดเจนเลย เพราะระบบการฝึกฝนของดาววิถียุทธ์ดวงนี้ต่างจากระบบการฝึกฝนของวิชาทั้งสองที่ซินแสเฒ่าถ่ายทอดให้เขามาก ก็เหมือนกับครั้งนี้ หลังจากศึกษา ‘ทลายฟ้า’ กระบวนท่าที่สามของ ‘หมัดยุทธแท้’ ได้แล้ว ร่างกายแข็งแกร่งจนถึงระดับไหน เขาก็ไม่เคยลองมาก่อน
ดังนั้นเขาจึงคิดไม่ถึงเลยว่า เนื้อหนังของตัวเองในตอนนี้จะแข็งแกร่งจนถึงขั้นที่แม้แต่กระบี่คมก็ฟันแทงไม่เข้า
จะทำยังไงดี?
สีหน้าของหลี่มู่กระอักกระอ่วน
ส่วนคนอื่นๆ ต่างมองอย่างตกตะลึง
ต่อให้เป็น ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ เจิ้งฉุนเจี้ยนก็ไม่เว้น
หลี่มู่คนนี้เป็นสัตว์ประหลาดใช่ไหม?
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าหลี่มู่เป็นบ้าอะไร แต่ฟันกระบี่ไปยังข้อมือ ไม่เพียงจะฟันแทงเนื้อหนังไม่เข้าแม้แต่รอยขีดข่วน หนำซ้ำยังสะเทือนจนกระบี่แหลกละเอียด นี่…เป็นกระบี่ของทหารชุดเกราะดำ เป็นกระบี่ที่ช่างฝีมือดีในเมืองฉางอันทุ่มเทแรงใจตีขึ้นมาเชียว เรียกได้ว่าคมกริบแตะผมขาด แต่กลับฟันกายเนื้อไม่เข้า?
หลี่มู่คนนี้คงไม่ใช่ปีศาจหรอกกระมัง?
พวกทหารชุดเกราะดำ ฉู่ซูเฟิง และหนิงจ้งซานที่แกล้งตายสูดลมหายใจเฮือกในใจ ความคิดขัดขืนเล็กๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่หายไปไร้ร่อยรอยทั้งหมดในพริบตา
เผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดฟันแทงไม่เข้า จะให้สู้อย่างไร?
หลี่มู่ไม่ได้คิดอะไรมากปานนั้น
เขาโยนกระบี่ไปอีกด้านหนึ่งอย่างผิดหวัง เสียดายว่าในมือไม่มีอาวุธเทพอะไร คิดให้ละเอียดดีแล้ว เขาก็ทำนิ้วดั่งกระบี่ เมื่อโคจรเคล็ดวิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ควบคู่กับ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ก็เห็นที่ปลายนิ้วมีสีแวววาวคล้ายโลหะปรากฏขึ้นรางๆ
หลี่มู่ถึงแม้จะเพิ่งได้เคล็ดของ ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ มา แต่จากการปรึกษาพูดคุยกับกัวอวี่ชิงก็มีความรู้ที่ลึกซึ้งยิ่งแล้ว รวมกับที่ร่างของเขาประหลาดยิ่งนัก ความสามารถรับรู้วิชายุทธ์ต่างๆ สูงเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วันก็ชำนาญเคล็ดวิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ได้ในระดับหนึ่ง
เขาใช้นิ้ววาววับดุจโลหะกรีดข้อมือของตนเบาๆ
ผิวหนังฉีกออกอย่างไร้สุ้มเสียง
เลือดไหลรินออกมา
หลี่มู่มาถึงเบื้องหน้าหมอ หยดเลือดสดๆ ของตนไปในถ้วยยาที่ใส่ยามา เพียงชั่วพริบตาก็เต็มครึ่งถ้วย
กลิ่นเลือดที่มีกลิ่นยาจางๆ ผสมลอยอวล
“ใต้เท้า นี่คือ…” หมอผู้นั้นตื่นตกใจ
เขาพบว่าเลือดในถ้วยค่อนข้างประหลาด เหมือนจะมีละอองหมอกสีเลือดจางๆ ลอยตลบ ราวกับเปลวไฟกำลังไหวระริก นี่ไม่เหมือนเลือดของมนุษย์เลย เพราะยามอยู่ใกล้ เขากระทั่งสัมผัสไอร้อนกลุ่มหนึ่งจากเลือดนี้ได้รางๆ
“เลือดของข้าแฝงด้วยพลังชีวิตแข็งแกร่ง เจ้าลองดูเถอะ บางทีอาจจะรักษาขาทั้งสองข้างของชิงเฟิงเอาไว้ได้” หลี่มู่กัดฟันกล่าว
ความรู้สึกที่ข้อมือถูกบาดเจ็บมากจริงๆ
เพราะเหตุที่ฝึกฝน ‘วิชาก่อนกำเนิด’ และยังผสานเลือดของเจียวเข้าไป พลังชีวิตของหลี่มู่แม้แต่กัวอวี่ชิงยังเอ่ยชมไม่หยุด เลือดลมสมบูรณ์ ในเลือดย่อมแฝงด้วยพลังชีวิตที่แข็งแกร่ง เวลานี้หลี่มู่ทำได้แค่รักษาม้าตายประดุจม้าเป็น[1] เรื่องที่ว่าหมู่เลือดจะเข้ากันได้หรือไม่อะไรพวกนี้ก็ไม่สนใจแล้ว อย่างไรเสียนี่ก็ไม่ใช่การให้เลือด
หมอเพิ่งจะเข้าใจ ที่แท้หลี่มู่กรีดข้อมือเอาเลือดก็เพื่อจุดประสงค์นี้นี่เอง
“ข้าน้อยจะพยายามให้ถึงที่สุด”
หมอทั้งตกตะลึงทั้งประทับใจ
ขุนนางทรงคุณธรรมที่ยอมกรีดข้อมือมอบเลือดเพื่อเด็กรับใช้บัณฑิต ตอนนี้เห็นได้น้อยมากแล้วในโลกใบนี้ อีกทั้ง ดูจากการกระทำเมื่อครู่ของหลี่มู่แล้ว เขาไม่สงสัยเลยว่าหากในมือของหลี่มู่มีโอสถเซียนจริงๆ คงจะนำมาต่อชีวิตให้กับเด็กรับใช้บัณฑิตอย่างไม่ลังเลแน่
ตอนนี้เด็กรับใช้บัณฑิตน้อยฝืนไม่ไหว หมดสติไปแล้ว
“พาเขาไปเรือนด้านหลังเถอะ” หลี่มู่ถอนใจ ในใจยังพะวง หลังคิดอยู่ชั่วครู่ก็โบกมือขึ้น “รักษาบาดแผลต้องอยู่ในที่เงียบสงบ เฝิงหยวนซิง หม่าจวินอู่ และเจินเหมิ่งก็ให้พาไปเรือนด้านหลังด้วยแล้วกัน พักรักษาตัวอย่างวางใจเสีย เรื่องในตอนนี้ไม่มีทางเกิดคลื่นลมอะไรอีกแล้ว”
ยังพูดไม่ทันจบ
“เอ๋? เกรงว่าจะไม่แน่กระมัง”
เสียงเคร่งขรึมพลันดังขึ้นในที่ว่าการอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เจิ้งฉุนเจี้ยนที่ปิดปากเงียบไม่พูดมาโดยตลอด ตอนนี้ในดวงตาฉายประกายพิกล บนใบหน้าปรากฏความยินดีอย่างยากจะควบคุมได้
ในที่สุดก็มาแล้ว!
……………………………………………………
[1] รักษาม้าตายประดุจม้าเป็น หมายถึง แม้ไม่มีหวัง แต่ก็ยังหวังว่าจะกอบกู้เรื่องนั้นๆ กลับมาได้ ถึงจะดันทุรังแต่ลองดูก็ไม่เสียหาย