จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 103 มาเอาเรื่องถึงที่
พริบตาเดียว ตัวต้นเหตุทั้งหลายได้รับโทษตายทั้งสิ้น
หลี่มู่โยนดาบยาวในมือทิ้งไปอีกด้านหนึ่ง
ตอนนั้นในพรรคเสินหนง เขาโมโหจนลงมือสังหารศิษย์พรรคเสินหนงตายไปไม่น้อย ผู้ที่ถูกก้อนหินถล่มลงมาทับบาดเจ็บล้มตายก็มีไม่น้อยเช่นกัน นั่นเพราะตอนนั้นเห็นแม่ลูกโจทก์คู่นั้นตายอย่างน่าอนาถในรังโจรพรรคเสินหนง หลี่มู่ที่อยู่ในสภาวะคลุ้มคลั่ง โกรธแค้นเต็มกำลัง ไม่อาจควบคุมตัวเองได้เลย
หลังจากจบเรื่อง หลี่มู่ก็เคยคิดทบทวนดู
คน…อย่างไรเสียก็ไม่ใช่หมูในโรงเชือด ฟ้าเมตตาต่อสรรพชีวิต ชีวิตของทุกคนมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
ดังนั้นหลังจากศึกนั้นมา เมื่อหลี่มู่ลงมือ ส่วนใหญ่จึงจะลงโทษเพื่อตักเตือนเป็นหลัก น้อยนักที่จะลงมือสังหาร
แต่วันนี้เขาสูญเสียการควบคุมอีกครั้ง
อีกทั้งตอนนี้เขาก็ไม่เสียใจด้วย
คนอย่างหนิงจ้งซานและฉู่ซูเฟิงพรรค์นี้ ชั่วช้าสามานย์ วิธีการโหดเหี้ยม ปีนขึ้นมาถึงตำแหน่งนี้ในวันนี้ได้ ไม่รู้ว่าเหยียบเลือดและกระดูกของผู้บริสุทธิ์ต่อเท่าไหร่เพื่อก้าวขึ้นมาทีละก้าว อีกทั้งต่อให้ไม่คิดเล็กคิดน้อยต่อความผิดก่อนหน้านี้ ลำพังแค่การกระทำทุกอย่างของพวกเขาในอำเภอขาวพิสุทธิ์ในไม่กี่วัน ก็ล้ำเส้นของหลี่มู่แล้ว
สังหารคนพวกนี้ทิ้ง หลี่มู่ไม่เสียใจแม้แต่น้อย
โดยเฉพาะตอนที่เขาซัดผู้ตรวจสวีตายในฝ่ามือเดียว เขาก็คิดตกแล้ว
เขาคิดถึงยามอยู่บนโลก ในละครหุ่นชุดอัสนีฟาด[1]ที่เป็นที่นิยมในช่วงหนึ่ง มีคำพูดติดปากซึ่ง ‘ฟ๋อเจี้ยนเฟินซัว[2]’ ตัวละครยอดนิยมเคยพูดไว้…ฆ่าเพื่อปกป้อง สังหารอธรรมมิได้สังหารคน
‘ฟ๋อเจี้ยนเฟินซัว’ ที่เป็นพระแห่งพุทธศาสนา ในขณะที่ถ่องแท้ในพระธรรม พลังฝึกวรยุทธ์ก็แข็งแกร่ง ตลอดชีวิตของเขาเกลียดชังความชั่วร้าย เมื่อเผชิญกับอธรรมก็ไม่เคยออมมือ สังหารพวกคนชั่วช้าเลวทรามไปไม่รู้ต่อเท่าไหร่ ทำให้คนชั่วนับไม่ถ้วน เมื่อได้ยินชื่อเขาต่างต้องถอยหนี ร่ำไห้ราวเสียบิดามารดา
ก็เหมือนดั่งนามของเขา ในใจของเขาฟ๋อเจี้ยนเฟินซัว ‘พระธรรม’ และ ‘กระบี่’ ต้องแยกกันพิจารณา ธรรมะช่วยคนที่มีวาสนาต่อกัน กระบี่สังหารอธรรม การสังหารอธรรมก็เพื่อปกป้องผู้มีจิตดีงามให้ดียิ่งขึ้น ส่งคนชั่วไปสำนึกผิดแก้ตัวในนรก ก็เป็นหลักธรรมอย่างหนึ่งเช่นกัน
ในบรรดาตัวละครมากมายในโลกที่โหดร้ายอำมหิตของละครชุดอัสนีฟาด พระเถระในพุทธศาสนาที่ไม่เหมือนใครผู้นี้ เป็นที่ชื่นชอบและนิยมจากผู้ชมอย่างที่ใครก็เทียบไม่ได้ ไม่แพ้ตัวละครหลักอย่างซู่หวนเจินเลย นี่ก็เพราะเสน่ห์ดึงดูดใจอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา
หลี่มู่มองศพของพวกหนิงจ้งซาน ฉู่ซูเฟิง และเฉียนเฉิงที่อยู่บนพื้น ในใจไม่มีความรู้สึกเสียใจแม้แต่น้อย
เขาฆ่าสวะพวกนี้ทิ้งก็จะสามารถปกป้องคนได้มากยิ่งขึ้น ไม่ให้พวกมันไปทำร้ายใครได้
สายตาของเขามองไปยังรองนายพลสองคนที่เหลืออยู่ และกองกำลังเกราะดำทั้งหลาย
รองนายพลสองคนนั้นตกใจจนขวัญผวาทันที แต่จะหนีก็ไม่กล้า จึงคุกเข่าลงบนพื้นเสียงดังตุ้บ เนื้อตัวสั่นเทิ้ม พลางอ้อนวอนร้องขอ
สายตาของหลี่มู่เพียงกวาดไป ทหารชุดเกราะดำเกือบร้อยนายก็คุกเข่าลงบนพื้น ทิ้งอาวุธในมือลง ศีรษะแตะผืนดิน ไม่กล้าตุกติกแม้แต่น้อย
“พวกเจ้าไปเสียเถอะ ไปจากอำเภอขาวพิสุทธิ์ภายในหนึ่งก้านธูป”
ถึงแม้หลี่มู่จะโกรธจัด แต่ก็ไม่ได้บ้าคลั่งจนถึงขั้นสังหารคนที่มาจากเมืองฉางอันทั้งหมด
เขาชี้ไปยังศพของหนิงจ้งซานและฉู่ซูเฟิงบนพื้น ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ทำความสะอาดลานของข้าให้สะอาด เอาศพเจ้าพวกนี้ไป กลับไปบอกใต้เท้าเจ้าเมืองคนนั้นของพวกเจ้าด้วยว่าไม่มีอะไรก็อย่าได้มาหาเรื่องข้าอีก มิเช่นนั้น ครั้งหน้าก็จะไม่ง่ายดายเช่นนี้แล้ว”
หลังจากได้ยินคำเอ่ยก่อนตายของฉู่ซูเฟิง หลี่มู่ไม่มีความรู้สึกดีกับใต้เท้าตำแหน่งเจ้าเมืองฉางอันที่ทรงอิทธิพลคนนั้นเลยสักนิด ด้วยพลังฝึกของเขาในตอนนี้ เขาไม่กลัวแค่เจ้าเมืองคนหนึ่งอีกต่อไป ดังนั้นจึงเอ่ยข่มขู่
รองนายพลสองคนนั้นได้ยินคำนี้ ก็เหมือนได้ยินเสียงสวรรค์
แต่เดิมพวกเขาคิดว่าดวงถึงคราวยากจะพ้นเคราะห์แล้ว ต้องโดนสังหารปิดปากเป็นแน่ แต่คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์จะมีจิตใจเมตตาปล่อยพวกเขาไป
“เมื่อข้ากลับไป จะพูดแต่เรื่องดีๆ เพื่อใต้เท้าหลี่แน่นอน” รองนายพลคนนั้นพูดอวดฉลาด
หลี่มู่แค่นเสียงขึ้นจมูก กล่าวว่า “ไม่ต้อง รายงานไปตามจริง”
รองนายพลคนนั้นหน้าแดงก่ำ
ทหารชุดเกราะดำเริ่มทำความสะอาดสนามต่อสู้ภายใต้การบัญชาจากนายทหารทั้งสอง เก็บศพของพวกหนิงจ้งซาน ฉู่ซูเฟิง และเฉียนเฉิงไป
ทหารชุดเกราะสองคนเดินไปพยุงหลี่ปิงขึ้นมา ต้องการจะพาจากไปด้วยกัน
“ทิ้งมันไว้” เขาชี้ไปยังหลี่ปิง
นี่ก็เป็นตัวต้นเหตุเช่นกัน จะปล่อยไปง่ายๆ ได้อย่างไร
อีกทั้งหลี่มู่ยังนึกถึงคำพูดของ ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ เจิ้งฉุนเจี้ยนก่อนหน้านี้ขึ้นได้ ในใจเดาได้เลาๆ ว่าลูกชายคนเล็กของเจ้าเมืองฉางอันอาจมีความสัมพันธ์กับหลี่มู่ตัวจริงอยู่บ้าง ต้องเอาตัวไว้เพื่อถามให้แน่ใจ
“ไม่ ไม่ๆๆ ข้าจะไปจากที่นี่ ปล่อยข้าไป…” หลี่ปิงตกใจอกสั่นขวัญแขวนทันที เขาคร่ำครวญดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตาย หลี่มู่ในสายตาของเขาตอนนี้ สยองขวัญน่ากลัวเหมือนปีศาจร้ายที่มาจากนรกชัดๆ
“ขืนโวยวายอีกประโยค ข้าจะตัดขาของเจ้าทิ้งซะ” หลี่มู่จงใจพูดเสียงเย็น
หลี่ปิงกลัวจนอุดปากตัวเองทันใด ใบหน้าเหยเก
หลี่มู่ก็ขี้เกียจจะสนใจอีก จึงเดินตรงไปยังศพของเจิ้งฉุนเจี้ยน หิ้วขึ้นมาแล้วเอ่ยปากว่า “คนคนนี้ ทิ้งไว้ที่นี่ก่อน”
รองนายพลทั้งสองและทหารเกราะดำย่อมไม่มีใครกล้าขัด
ผ่านไปครู่หนึ่ง ลานด้านหน้าที่ว่าการซึ่งเละเทะเพราะการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ร่องรอยการต่อสู้ก็ถูกลบหายไปสิ้น
“ไปเสีย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในลานหน้าที่ว่าการ พวกเจ้าอย่าได้ประกาศไปในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์” หลี่มู่ชี้ไปยังประตูใหญ่ “มาอย่างไรก็กลับไปอย่างนั้น อย่าได้หน้างอคอตกเป็นไก่ตีแพ้”
รองนายพลทั้งสองนำทหารเกราะดำกว่าร้อยคนตั้งขบวนเดินจากไป
ลานส่วนหน้าของหน้าที่ว่าการอำเภอกลับสู่ความสงบอีกครั้ง
หลี่มู่ดมกลิ่นเลือดจางๆ ในอากาศ ในใจครุ่นคิดเรื่องอะไรบางอย่าง
เขารู้สึกว่าตนต้องลงมือเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างแล้ว
อำเภอขาวพิสุทธิ์เป็นสถานที่ฝึกฝนของเขา ภูเขางามน้ำสวย เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ราวกับโลกในอุดมคติก็ไม่ปาน แผนของหลี่มู่คือในช่วงเวลาใกล้ๆ นี้ เขายังไม่คิดจะไปจากที่นี่ ดังนั้นเขาจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อรับประกันความปลอดภัยของอำเภอขาวพิสุทธิ์ โดยเฉพาะที่ว่าการอำเภอ
หากในวันหน้าเกิดคลื่นลมอะไรแล้วเป็นเหมือนกับครั้งนี้ ขอแค่คนอื่นมาหาเรื่องถึงที่ ก็บุกเข้ามาในที่ว่าการอำเภอได้ตามใจ เช่นนั้น การปกป้องเพื่อนพี่น้องอะไรที่ว่านั่นก็เป็นแค่เรื่องน่าขบขัน โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับพวกชิงเฟิงและหม่าจวินอู่ ก็จะเกิดขึ้นได้อีกทุกเมื่อ
อีกทั้งความจริงแล้ว ในใจของหลี่มู่ก็มีแผนบางอย่างแล้ว
ตอนนี้เอง รองหัวหน้าองครักษ์คนหนึ่งเดินเข้ามาจากข้างนอก คุกเข่าขอคำแนะนำจากหลี่มู่อย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ใต้เท้า โจวเจิ้นชิวผู้อาวุโสสายนอกจากสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ พร้อมลูกศิษย์สามสิบคน และยังมีคนในสำนักต่างๆ เช่นพรรคมังกรฟ้าและสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ ยามนี้มาขอพบใต้เท้าอยู่ด้านนอกที่ว่าการขอรับ” องครักษ์พูดเสียงดัง
ผู้อาวุโสสายนอกของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์?
ในดวงตาของหลี่มู่ฉายแววเยาะหยัน
อดทนไม่ไหว ในที่สุดก็มาแล้วอย่างนั้นรึ?
ตอนนั้นหม่าจวินอู่เคยเตือนเขาเอาไว้อยู่เลาๆ ตระกูลโจวของโจวอู่ผู้ช่วยขุนนางเมืองในวันวานมีความสัมพันธ์กับสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ เขาจะต้องขอความช่วยเหลือจากสำนักนี้แล้วกลับมาล้างแค้นแน่ ในใจหลี่มู่ก็เคยระแวดระวังเอาไว้ เพียงแต่ตลอดมาสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ดังนั้นเขาจึงละเลยเรื่องนี้ไป
คิดไม่ถึงว่าวันนี้ คนของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์จะมาแล้ว
ก็ดี จะได้ไม่ต้องไปลำบากคนอื่น วันนี้จะไล่ศัตรูทั้งหมดไปให้สิ้น
หลี่มู่จึงเอ่ยปาก “ก็ดี ให้พวกเขาเข้ามา”
เขาให้รองหัวหน้าองครักษ์คนนี้ออกไปถ่ายทอดคำสั่ง ในขณะเดียวกันก็ให้นำองครักษ์ที่พึ่งพาได้เข้ามานำตัวหลี่ปิงกับเจิ้งฉุนเจี้ยนออกไป หลังจากที่ถ่ายทอดคำสั่งแล้ว
เสียงฝีเท้าดังมา
หน้าประตูใหญ่ที่ว่าการอำเภอมีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
คนพวกนี้ล้วนแต่งกายแบบจอมยุทธ์ หน้าตาท่าทางแตกต่างกันไป ทุกคนพกอาวุธติดกาย กลิ่นอายกำลังภายในไหลวน พลังฝึกแข็งแกร่งมากทีเดียว
โดยเฉพาะผู้นำ ท่าทางดูแล้วประมาณห้าสิบกว่า รูปร่างสูงโปร่ง ผมสีขาวโพลน ข้างเอวมีกระบี่ยาวรูปร่างประหลาดเล่มหนึ่งแขวนอยู่ ชุดนักกระบี่ขาวบริสุทธิ์ดูเหมาะสมเข้าที ราวกับกองหิมะบนยอดเขาขาวพิสุทธิ์ที่สะสมมานานตลอดปี และอยู่ใต้แสงอาทิตย์กระจ่างบริสุทธิ์ ดึงดูดสายตาคนยิ่งนัก
นี่คือผู้อาวุโสสายนอกจากสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ โจวเจิ้นชิว
ข้างหลังเขามีคนหนุ่มสาวสวมชุดนักกระบี่สีขาวสามสิบกว่าคน อ่อนเยาว์น่าเกรงขาม หน้าตาหยิ่งยโส ราวกับนกยูงรำแพนตามติดมาข้างหลัง
จากนั้นจึงจะเป็นพรรคมังกรฟ้า สำนักเขี้ยวพยัคฆ์ อีกทั้งยอดฝีมือจากสำนักในยุทธจักรฝั่งพายัพ แบ่งออกเป็นสองแถวอยู่ข้างหลังเหล่าศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ สีหน้าท่าทางแตกต่างกันไป
“โจวเจิ้นชิวแห่งสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ คารวะขุนนางเมืองหลี่”
โจวเจิ้นชิวที่ผมขาวราวน้ำค้างแข็งเดินไปข้างหน้าสามก้าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนยกมือคารวะ
หลี่มู่กระจ่างแจ้งในทันที
ชื่อต่างจากผู้นำตระกูลโจวอย่างโจวเจิ้นไห่เพียงแค่ตัวอักษรเดียว ผู้อาวุโสผมขาวน่าจะเป็นผู้อาวุโสนอกของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ที่มาจากตระกูลโจว คนนั้นที่หม่าจวินอู่บอกเขาเป็นแน่ รัศมีอำนาจดูไม่ธรรมดา มีลักษณะอย่างยอดฝีมือ กลิ่นอายรอบกายคล้ายกับเว่ยชงผู้อาวุโสสำนักดับนิวรณ์ในศึกใหญ่ที่น้ำตกเก้ามังกรวันนั้น
“ผู้อาวุโสโจวมาขอพบ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใด?” หลี่มู่ถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ
โจวเจิ้นชิวสีหน้าสงบ และไม่คิดปิดบัง พูดอย่างเปิดอกว่า “เมื่อเดือนกว่าก่อนหน้านี้ น้องชายร่วมสายเลือดข้ามาขอความช่วยเหลือในสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ ชี้ว่าใต้เท้าหลี่สังหารผู้บริสุทธิ์ ทำร้ายโจวอู่ลูกชายของเขา ขอให้ข้าลงมือแก้แค้นให้กับโจวอู่ ก่อนหน้านี้สิบวันข้าและศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์รุ่นเก้าสามสิบหกคนเข้ามาในอำเภอ สี่วันก่อนได้พบศพของพวกลู่อวิ๋น ลูกศิษย์ในสำนักสี่คนที่โกดังเก็บศพ ตรวจสอบแล้วพบว่ามือปราบจากที่ว่าการส่งศพไปยังโกดัง ข้าแซ่โจวมาในวันนี้เพื่อล้างแค้นของตระกูล และทำหน้าที่เพื่อสำนัก ขอใต้เท้าหลี่โปรดอธิบายอย่างสมเหตุผลด้วย”
คำพูดของเขาชัดเจนเป็นลำดับขั้นตอน บรรยายตามความเป็นจริง ไม่เติมอารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวลงไป น้ำเสียงที่พูดสงบนิ่ง ไม่เหมือนคนที่โมโหกรุ่นโกรธพุ่งมาจะแก้แค้น นี่ทำให้หลี่มู่แปลกใจ
โจวเจิ้นชิวคนนี้ เหมือนจะไม่ใช่คนประเภทเดียวกับโจวเจิ้นไห่?
เพราะเห็นแก่สิ่งนี้ หลี่มู่จึงไม่ได้แตกหักกันไปข้าง กล่าวว่า “หากท่านเคยมาอำเภอขาวพิสุทธิ์ ก็คงรู้ว่าโจวอู่มือเปื้อนเลือด ทำเรื่องชั่วช้ามากมาย ข้าสังหารมันก็แค่ขจัดภัยให้ชาวบ้านเท่านั้น สำหรับศิษย์กระบี่ขาวพิสุทธิ์สี่คนที่ท่านว่ามานั้น ข้าไม่รู้จัก แต่ว่ายามย่ำค่ำของเมื่อห้าวันก่อน ที่ว่าการอำเภอโดนบุกโจมตี นักพรตตาบอดคนหนึ่งฝ่าเข้ามาในที่ว่าการ ฉวยโอกาสที่ข้าไม่อยู่จับตัวหมิงเยวี่ยเด็กรับใช้บัณฑิตของข้าไป เมื่อข้ากลับมาจากคุกที่ว่าการ ก็ได้พบศพแปลกหน้าสี่ร่างในที่ว่าการแล้วจริงๆ บางทีอาจเป็นลูกศิษย์ทั้งสี่ที่ท่านว่ามาก็ได้ ความตายของพวกเขาไม่เกี่ยวกับข้า และไม่เกี่ยวกับองครักษ์มือปราบของที่ว่าการเช่นกัน”
“เจ้าโกหก” ลูกศิษย์หนุ่มสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์คนหนึ่งยืนขึ้นในกลุ่มผู้คน อ้าปากตวาดอย่างอดไม่ได้ “อยู่ดีๆ พวกศิษย์พี่ลู่จะไปที่ว่าการอำเภอทำไม ทั้งยังตายในที่ว่าการอีก? จะต้องเป็นเจ้าสังหารพวกเขาแน่ เจ้ากล้าทำ ไยจึงไม่กล้ารับ?”
“เรื่องนี้ใช่เรื่องที่เจ้าพูดคำสองคำก็จะผ่านไปได้หรือ เจ้าต้องให้คำตอบกับพวกเราสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์” ศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์อีกคนหนึ่งตวาดขึ้นบ้าง
“ใช่แล้ว คนตายอยู่ในที่ว่าการของพวกเจ้า พวกเจ้าทุกคนในนี้ล้วนเป็นผู้ต้องสงสัย” ลูกศิษย์สาวจ้าวหลิงก้าวออกมาพลางจ้องหลี่มู่เขม็ง สายตาแฝงความรังเกียจ กล่าวด้วยน้ำเสียงโมโห
“ได้ยินว่าเจ้าจับเหล่าศิษย์ยอดฝีมือของสำนักต่างๆ ไว้ในคุก บีบเค้นทารุณ รีดเอาค่าไถ่ เพื่อทรัพย์สินเงินทองและเคล็ดวิชาลับในยุทธจักร หึๆ หลี่มู่ เจ้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ คนหน้าเลือดเช่นเจ้าจะต้องอยากได้วิชากระบี่ของสำนักเราจากพวกศิษย์พี่ลู่อวิ๋นเป็นแน่ จึงได้ลงมือกับพวกเขา เจ้ามันปีศาจ” ลูกศิษย์ชายที่แอบชอบพอจ้าวหลิงตวาดประณาม อารมณ์ร้อนวู่วาม ลืมการวิเคราะห์และคำตักเตือนของโจวเจิ้นชิวที่โกดังเก็บศพไปโดยสิ้นเชิง
กลุ่มคนอารมณ์พลุ่งพล่าน
สีหน้าของหลี่มู่เย็นชาขึ้นมาแล้ว
……………………………………………………
[1] ละครหุ่นชุดอัสนีฟาด เป็นละครชุดที่มีพื้นฐานมาจากการแสดงหุ่นกระบอกดั้งเดิม จากนั้นเอามาปรับใหม่ทั้งรูปลักษณ์และวิธีการนำเสนอ โดยเอาเทคนิคการถ่ายทำเข้ามาผสม เริ่มถ่ายทำและออกอากาศในปี 1988 และยังคงเป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบัน
[2] ฟ๋อเจียนเฟินซัว คือตัวละครตัวหนึ่งในละครหุ่นชุดอัสนีฟาด ชื่อของเขาสื่อความหมายว่า พระธรรมและเรื่องราวในยุทธจักรเป็นคนละเรื่องกัน การฆ่าคนชั่วไม่ผิดหลักธรรม เพราะเป็นการฆ่าอธรรม ไม่ใช่ฆ่าคน