จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 104 สองกระบี่
“ในเมื่อมาหาเรื่องถึงที่ เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดให้มากความ ข้าไม่ให้คำอธิบาย แล้วก็ไม่คิดอยากจะให้ด้วย พวกเจ้าจะเอาอย่างไร ข้ารับไว้หมด” หลี่มู่ก็ขี้เกียจจะพูดมากความกับศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ที่สมองงอกอยู่ที่ก้นพวกนี้
“เจ้า…” จ้าวหลิงลมหายใจติดขัด
“รนหาที่ตาย…ไปรับโทษขอขมาที่สำนักของพวกเราเสีย” ลูกศิษย์ชายคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา
ข้อเสนอนี้ได้รับการเห็นด้วยจากลูกศิษย์คนอื่นๆ ทันที
“หลี่มู่ เจ้าฆ่าพวกลู่อวิ๋น แล้วยังจะมาเสแสร้งอยู่ที่นี่อีก เจ้ามันฆาตกรอำมหิต” โจวเจิ้นไห่ที่หลบอยู่หลังลูกศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์มาโดยตลอด ในที่สุดก็ก้าวออกมาใส่ไฟให้เรื่องใหญ่กว่าเดิมอย่างอดไม่ได้
“เจ้าเป็นใคร”
สายตาของหลี่มู่จับไปยังร่างของผู้อาวุโสหน้าตาชั่วร้ายที่เห็นชัดว่าไม่ใช่ศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยพบโจวเจิ้นไห่ ดังนั้นจึงไม่รู้จัก
“เจ้ายังมีหน้ามาถาม ชายชราที่โดดเดี่ยวคนนี้ ก็คือบิดาของผู้ช่วยขุนนางเมืองโจวอู่ที่เจ้าลงมือสังหาร” จ้าวหลิงลากโจวเจิ้นไห่ออกมาจากกลุ่มคนอย่างโกรธแค้น แล้วเอ่ยขึ้นว่า “เผชิญหน้ากับคนชราน่าสงสารที่บุตรชายตายก่อนเช่นนี้ ใจของเจ้าไม่มีความละอายสักนิดเลยรึ?”
หลี่มู่หัวเราะเสียงเย็น “อ้อ เป็นตาแก่นี่เองน่ะหรือ…ไม่ล่ะ”
“เจ้า…ไม่มีความเป็นคนชัดๆ” จ้าวหลิงหน่ายใจกว่าเดิม
ดรุณีน้อยผู้งดงามออกมาจากสำนักครั้งแรก บริสุทธิ์ดุจดอกไม้ขาว เคยชินกับบรรยากาศที่ศิษย์พี่ศิษย์น้องชายในสำนักต่างรักใคร่เอ็นดู ดังนั้นจึงไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า ทำไมบนโลกใบนี้ถึงได้มีคนที่ใจแข็งดั่งศิลา เย็นชาไร้ยางอายเช่นขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์อยู่ด้วย
ลูกศิษย์คนอื่นของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ บางคนก็อดสบถด่าขึ้นมาบ้างไม่ได้
สีหน้าของหลี่มู่เย็นชา
“ผู้อาวุโสโจว ข้าขอแนะนำ ท่านให้พวกโง่เง่าข้างหลังท่านหุบปากเสียเถอะ วันนี้ข้าอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ เกิดว่าทนไม่ไหวขึ้นมา แล้วทำต้นกล้าที่โตมาในเรือนกระจกพวกนี้บาดเจ็บเข้า เช่นนั้นก็ต้องขอโทษด้วย” หลี่มู่ไม่สนใจเหล่าศิษย์อายุน้อยที่โง่เขลาเหมือนดอกไม้ขาวอย่างจ้าวหลิง แต่มองไปยังผู้อาวุโสสายนอกสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์โจวเจิ้นชิว
“เจ้า…ไร้ยางอาย”
“กำแหงเกินไปแล้ว”
“กล้าหยามหมิ่นพวกเรางั้นรึ?”
ลูกศิษย์หนุ่มสาวของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ใกล้จะอกแตกเต็มที
หากพูดถึงอายุ พวกเขาก็ล้วนสิบเจ็ดสิบแปดแล้ว แก่กว่าหลี่มู่อยู่บ้าง แต่ขุนนางเมืองหน้าเลือดกลับดูถูกหยามหมิ่นกันเช่นนี้ ทำให้นักกระบี่อายุน้อยที่หยิ่งทะนงชักกระบี่ยาวจากข้างเอวออกมาเสียงดัง
“หุบปาก! ไร้มารยาท…ยังไม่รีบถอยไปอีก”
โจวเจิ้นชิวเอ่ยปากแล้ว
ภายใต้ระลอกคลื่นกำลังภายใน เสียงของเขาดุจอสุนีบาต ดังก้องเข้าไปในหูของศิษย์หนุ่มสาวสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ทุกคน
ในใจโจวเจิ้นชิวค่อนข้างผิดหวัง
ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่เอ่ยอะไรอีก เพราะคิดอยากให้ลูกศิษย์หนุ่มสาวพวกนี้ลองจัดการสถานการณ์เบื้องหน้าดู
แต่เดิมเขาคิดว่าด้วยการวิเคราะห์และสั่งสอนในโกดังเก็บศพครั้งนั้น หลังจากที่ให้เหตุผลข้อน่าสงสัยทั้งหลายแล้ว ก็น่าจะทำให้ลูกศิษย์หนุ่มสาวก้าวหน้าขึ้น อย่างน้อยหลังจากมาถึงที่ว่าการก็จะมีสติมีเหตุผลบ้าง คิดไม่ถึงว่าเมื่อเผชิญกับหลี่มู่ที่ไม่อ่อนข้อให้ โจวเจิ้นไห่เติมฝืนใส่ไฟ ลูกศิษย์หนุ่มสาวพวกนี้ก็บุ่มบ่ามเดือดดาลอีกครั้ง
ในยุทธจักร ยอดฝีมืออายุน้อยที่ดื้อดึงไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเช่นนี้ ทุกปีตายไปไม่รู้ต่อเท่าไหร่
ต่อให้เป็นศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ เข้าไปฝึกฝนในยุทธจักรก็มีอัตราการตายในระดับหนึ่ง
“ไม่มีคำอนุญาตจากข้า หุบปากไปให้หมด”
โจวเจิ้นชิวสูดหายใจเข้าลึก จ้องจ้าวหลิงด้วยสายตาเข้มงวดดุดัน
จ้าวหลิงจึงทำได้แค่ถอยไปข้างหลัง ไม่พูดอะไรอีก แต่ก็ยังคงเชิดหน้าขึ้น ใบหน้าสะสวยอ่อนเยาว์ฉายแววไม่พอใจและดื้อดึง ดวงตาคู่งามจ้องหลี่มู่อย่างอาฆาต ราวกับจะใช้สายตาทิ่มแทงเขาให้เป็นรู
ลูกศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์คนอื่นๆ ก็มองเขาอย่างโกรธแค้นด้วยท่าทางกล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูดเช่นกัน
หลี่มู่เมินเฉยอย่างสิ้นเชิง
เขาเข้าใจความบุ่มบ่ามของศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์พวกนี้ได้ แล้วก็เข้าใจความเลือดร้อนของจอมยุทธ์มือใหม่เหล่านี้ กระทั่งรู้สึกว่าความโง่เขลาและความฉุนเฉียวของพวกเขาค่อนข้างน่ารักดีด้วยซ้ำ
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่า เขาจะรับและอ่อนข้อให้ความประสงค์ร้ายกับความคิดเป็นปฏิปักษ์ของพวกโง่งมไร้ไหวพริบพวกนี้
หากไม่ใช่เพราะคำเล่าลือของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ในอำเภอดียิ่ง เป็นสำนักสายธรรมที่ใหญ่ที่สุดในเขาขาวพิสุทธิ์ หลายปีที่ผ่านมานี้มีบทบาทสำคัญมากในการควบคุมสถานการณ์รอบแนวเขาขาวพิสุทธิ์ให้มั่นคง อีกทั้งไม่มีร่องรอยการทำชั่วอะไร หลี่มู่คงได้ตบบ้องหูเรียงคนไปนานแล้ว
“ผู้อาวุโสโจว ข้ายังมีธุระ ไม่มีเวลามาถกเถียงอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นแค้นส่วนตัวของท่าน หรือเรื่องส่วนรวมของสำนัก ท่านจะจัดการอย่างไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ” หลี่มู่พูดอย่างเหนื่อยหน่าย
ท่าทางหงุดหงิดและขอไปทีเช่นนี้ ทำให้ศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์พลันร้อนรนโกรธแค้นขึ้นมาอีกครั้ง
โจวเจิ้นชิวกลับมีสีหน้านิ่งสงบไร้คลื่นอารมณ์ พูดขึ้นว่า “เรื่องทั้งหมด ตัดสินในสองกระบี่”
“สองกระบี่?”
“ใช่แล้ว ในเมื่อเป็นข้อพิพาทในยุทธจักร เช่นนั้นก็ใช้กฎของยุทธจักร ประลองยุทธ์ตัดสินแพ้ชนะ หากใต้เท้าหลี่รับข้าได้สองกระบี่ เช่นนั้นข้าก็ขอรับประกันว่าหลังจากวันนี้ไป จะไม่มาที่ว่าการอำเภอเพราะสองเรื่องนี้อีก”
หลี่มู่อึ้งไปเล็กน้อย
เขาคิดไม่ถึงว่าโจวเจิ้นชิวจะเสนอวิธีตัดสินแบบนี้
พูดจากในมุมหนึ่ง ข้อเสนอนี้ยุติธรรมและสมเหตุสมผลนัก ไม่มีส่วนที่ระรานหรือเลอะเทอะไร้เหตุผลเลย
“ได้”
หลี่มู่ตอบรับอย่างเต็มใจยิ่ง
“รีบสู้รีบตัดสิน ผู้อาวุโสโจว โปรดลงมือเถอะ”
เขายืนอยู่บนขั้นบันได ก้มมองลงมาอย่างหยิ่งยโส
“ใต้เท้าหลี่ปรับลมหายใจเตรียมตัวสักหน่อยได้” โจวเจิ้นชิวกล่าว “สองกระบี่นี้ทั้งตัดสินแพ้ชนะ และตัดสินเป็นตาย ข้าจะไม่ออมมือให้ หากใต้เท้าหลี่ต้องกล้ำกลืนความเจ็บแค้นเพราะเตรียมตัวไม่พร้อม ข้าคงชนะโดยไม่รู้สึกภาคภูมิเท่าใด”
พลังฝึกของเขาล้ำลึก ดังนั้นจึงสามารถสัมผัสได้ว่า ลานหน้าที่ว่าการมีกลิ่นอายกำลังภายในของยอดฝีมือด้านยุทธ์และกลิ่นอายวิชาเวทที่แข็งแกร่งหลงเหลืออยู่ ถึงแม้สนามต่อสู้จะถูกเก็บกวาดเรียบร้อย แต่ร่องรอยการต่อสู้ชัดเจน เห็นได้ชัดว่าก่อนที่พวกเขาจะเข้ามา ที่นี่ผ่านศึกใหญ่มาก่อน หลี่มู่ต้องเป็นฝ่ายหนึ่งในนั้นแน่นอน และน่าจะใช้พลังไปไม่น้อย เขาไม่อยากฉวยโอกาสซ้ำเติม
“ไม่ต้อง” หลี่มู่กล่าว “แค่สองกระบี่เท่านั้น ข้ากำลังรีบ เริ่มได้ทุกเมื่อเลย”
ครั้งนี้ไม่ใช่การฝืนวางท่า แต่สิ่งที่พูดเป็นความจริง
เพราะเขาจะรีบไปดูการรักษาอาการบาดเจ็บของเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงและคนอื่นๆ
ตอนนี้ หลี่มู่มองโจวเจิ้นชิวสูงขึ้นมาอีกหลายส่วน
ผู้อาวุโสสายนอกจากสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์คนนี้ มีรัศมีของปรมาจารย์อยู่หลายส่วนจริงๆ
แต่คำพูดเช่นนี้ของหลี่มู่ เมื่อเข้าหูของศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ย่อมกลายเป็นความกำแหงอวดดี ทั้งยังทำให้จอมยุทธ์มือใหม่พวกนี้โมโหจนสบถด่าเสียงต่ำ ในขณะเดียวกันก็อดรนทนไม่ไหว อยากให้ผู้อาวุโสโจวฟันเจ้าคนชั่วร้ายเลวทรามคนนี้ให้ตายเพื่อแก้แค้นให้กับพวกลู่อวิ๋น
แม้แต่โจวเจิ้นไห่ยังกัดฟันแน่น ในใจตื่นเต้น อยากจะเห็นภาพหลี่มู่เลือดสาดกระจายตรงนี้เต็มทีแล้ว
พวกเขามั่นใจในพลังของโจวเจิ้นชิวมาก
คนในยุทธจักรที่ตามหลังสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์มา ได้ยินแล้วก็ตื่นเต้นเช่นกัน
สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์มีชื่อเสียงโด่งดังมาโดยตลอดในยุทธจักรทิศพายัพ ยอดฝีมือในนั้นมีมากมายไม่ขาด กำลังของผู้อาวุโสสำนักสายนอกคนหนึ่งก็ไม่น้อย โจวเจิ้นชิวถึงแม้จะหลงใหลอยู่ในวิชากระบี่ น้อยครั้งที่จะออกมาท่องยุทธจักร แต่นักกระบี่ขาวพิสุทธิ์เช่นเขามีเยอะแยะมากมาย บางครั้งที่ปรากฏตัวก็ราวกับมังกรผ่านท้องฟ้า ทิ้งไว้เพียงประกายแสงอันน่าตื่นตะลึง
หากหลี่มู่ตายในเงื้อมมือของโจวเจิ้นชิว เช่นนั้นสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ พรรคมังกรฟ้า สำนักและพรรคอื่นๆ ก็ไม่ต้องไปจ่ายค่าไถ่ราคาสูงลิ่วพวกนั้น และใช้ค่าตอบแทนเล็กน้อยนำคนที่ถูกคุมตัวอยู่ในคุกที่ว่าการออกมาได้
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้เป็นไปตามที่ใต้เท้าหลี่ต้องการ”
โจวเจิ้นชิวเดินไปข้างหน้าช้าๆ กระตุ้นกำลังภายใน พลังไร้รูปร่างที่ราวริ้วคลื่นหุ้มล้อมทั่วร่าง
ฝ่ามือของเขาแตะไปบนด้ามกระบี่ช้าๆ
สายตาของหลี่มู่จับจ้อง รู้สึกถึงแรงกดดันที่ไร้รูปร่าง
ผู้อาวุโสสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์คนนี้กำลังสะสมพลัง
พลังแท้จริงของเขาแข็งแกร่งมาก
ทำให้หลี่มู่รู้สึกว่า พลังฝึกของโจวเจิ้นชิวเกรงว่าจะไม่ด้อยไปกว่าเว่ยชงหนึ่งในสิบสองผู้อาวุโสของสำนักดับนิวรณ์นัก
แต่หลี่มู่ในวันนี้ ไม่ใช่หลี่มู่เมื่อหลายวันก่อนคนนั้นแล้ว
พลังแท้จริงของเขาแข็งแกร่งเพียงใด แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่แน่ใจ มีสิ่งเดียวที่สามารถยืนยันได้คือหากพบเว่ยชงอีกเขาสามารถซัดเว่ยชงให้ตายด้วยมือข้างเดียว
สำหรับการต่อสู้เช่นนี้ ในใจของหลี่มู่มีผลแพ้ชนะอยู่แล้ว
ไม่นานนัก พลังอำนาจของโจวเจิ้นชิวก็สั่งสมจนถึงขีดสูงสุด
เสื้อผ้าของเขาสะบัดขึ้นมาโดยไม่มีลม ผมยาวสีขาวปลิวพลิ้วราวไร้แรงดึงดูด กระบี่ยาวสั่นดังวิ้งๆ อยู่ในฝักดุจมีชีวิต พลังไร้รูปร่างแผ่ซ่าน ราวกับมีกระบี่ไร้ลักษณ์เล่มมหึมาที่คมกริบปรากฏออกมาจากท้องฟ้า
คนทั้งหมดรอบด้านต่างต้องถอยไปข้างหลัง เว้นระยะห่างถึงสองจั้ง จึงจะไม่โดนผลกระทบจากพลังน่ากลัวนั้น
ในดวงตาของโจวเจิ้นชิวมีประกายแสงหมุนวน คล้ายแสงกระบี่สะท้อนวาววับ
มือของเขาแตะไปบนด้ามกระบี่ นิ้วมือขาวเรียวทั้งห้าปล่อยพลังช้าๆ
‘กระบี่เป็นหนึ่ง’ ถูกชักออกมาจากฝักทีละน้อย คมกระบี่ประหนึ่งสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วงไหลริน ทุกครั้งที่กระบี่ออกมาจากฝักหนึ่งชุ่น รัศมีอำนาจและพลังของเขาจะพุ่งสูงขึ้นหนึ่งส่วน
หลี่มู่สูดลมหายใจเข้า กล้ามเนื้อทั่วร่างขยายใหญ่ขึ้น
เขาเตรียมรับกระบี่แล้ว
แต่ทว่า ตอนที่กระบี่ยาวของโจวเจิ้นชิวเหลืออีกเพียงหนึ่งชุ่นก็จะถูกชักออกมา กระบวนท่าขั้นสุดยอดจะสำแดง ทันใดนั้นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
“ฮ่าๆๆ หลี่มู่ เจ้าเศษสวะ ได้ยินว่าเจ้าหนีรอดมาได้ ครั้งนี้ต่อให้เจ้าติดปีกก็หนีไม่พ้นแล้ว”
เสียงหัวเราะหยิ่งผยองดังสะท้อนมาแต่ไกลจากนอกที่ว่าการ
เสียงนั้นราวคลื่นปั่นป่วน แฝงไว้ด้วยอานุภาพมหาศาล ยอดฝีมือในยุทธจักรทั้งหลายที่อยู่ตรงลานรู้สึกแก้วหูสั่น เหมือนหูจะแตกเพราะเสียงนี้ และเวียนหัวตาลาย จำต้องโคจรพลังต้านทานไว้
“ชิ้ง!”
แสงประกายในดวงตาของโจวเจิ้นชิวหายไป กระบี่ยาวถูกเก็บกลับเข้าฝัก
พลานุภาพน่าสะพรึงกลัวทั่วร่างของเขากลับเข้าไปในกายทั้งหมดในพริบตาที่เก็บกระบี่ยาว
“ท่าทางใต้เท้าหลี่จะมีแขกมาหา” โจวเจิ้นชิวถอยไปสามก้าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง แล้วเอ่ยขึ้น “รอให้ใต้เท้าหลี่ต้อนรับแขกเรียบร้อย ค่อยทำตามสัญญาสองกระบี่ก็แล้วกัน”
หลี่มู่ฟังออกว่าคนที่มาเป็นใคร จึงพยักหน้า “ได้”
เพิ่งพูดจบ
ลานหน้าที่ว่าการอำเภอก็พลันมีเงาร่างแข็งแกร่งที่แบกค้อนยักษ์เหล็กเหมันต์ปรากฏตัวขึ้น
……………………………………………………