จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 105 อ่อนแอเกินไป
ร่างที่จู่ๆ ปรากฏขึ้นนี้ไม่ใช่ใครอื่น เป็นเว่ยชงหนึ่งในสิบสองผู้อาวุโสของสำนักดับนิวรณ์นั่นเอง
“เจ้าเศษสวะ เจ้ามีชีวิตกลับมาได้อย่างนั้นรึ ฟื้นตัวได้ไม่เลวเลย”
แผลเป็นรอยดาบที่หน้าผากของเว่ยชงบิดเบี้ยว
เขาเมินเฉยคนอื่นๆ ทั้งหมด มองประเมินหลี่มู่ตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าตกใจ
จากการไล่สังหารหนึ่งวันหนึ่งคืน หลี่มู่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงใด ในใจของเว่ยชงรู้ดีกว่าใคร เพราะเป็นเขาที่ไล่ทุบอีกฝ่ายจนแทบจะกลายเป็นเนื้อเละๆ ดังนั้นหนึ่งก้านธูปก่อนหน้านี้ หลังจากที่ได้ข่าวลับจากสำนักดับนิวรณ์ และรู้ว่าหลี่มู่กลับมายังที่ว่าการอำเภอแล้ว เว่ยชงจึงรีบร้อนมาในทันที ด้วยกลัวว่าหลี่มู่มาเก็บของแล้วจะหนีไปอีก
สำหรับเขา หลี่มู่ที่ได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนั้น ต่อให้ฟื้นฟู อย่างมากก็แค่ฟื้นชีวิตกลับมาแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าหลี่มู่ที่อยู่ต่อหน้าจะมีสภาพดียิ่งยวด ไม่พบบาดแผลทั่วร่างเลย เห็นได้ชัดว่าฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
“ฮี่ๆ เจ้าเศษสวะ ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้ตายอย่างสบายๆ บอกมา ใครทำลายเรื่องสนุกของข้า กล้ามาช่วยเจ้าไป ทั้งยังรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าจนหายสนิท? แล้วซ่อนเลือดเจียวไว้ที่ไหน?”
เว่ยชงรัวถามเป็นชุด
เขาเชื่อมั่นอย่างมาก คิดว่าทั้งหมดอยู่ในการควบคุมของเขา และตนสังหารหลี่มู่ได้แน่
หลี่มู่ไม่ตอบเขา เพียงแค่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเท่านั้น
ย่ำรองเท้าเหล็กสึกไม่พานพบ ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย[1]
หลี่มู่ในวันนี้ไม่เห็นเว่ยชงอยู่ในสายตา
เขาแค่ปลงอนิจจัง โชคชะตาช่างเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดเสียจริง
หลังจากที่อาการบาดเจ็บฟื้นฟูดีแล้ว สิ่งที่หลี่มู่อยากทำมีมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือสังหารเว่ยชงศัตรูคนนี้
ต้องรู้ไว้ว่า เพื่อที่จะรักษาตัว เขาต้องทำให้เนื้อหนังและกระดูกแหลกเหลวแล้วปั้นขึ้นใหม่ ไม่ต้องพูดถึงว่าหากไม่มี ‘วิชาก่อนกำเนิด’ แล้วละก็ ตัวเองได้ตายไปแล้วแน่ ลำพังแค่ขั้นตอนการรักษาตัวสร้างร่างใหม่ ความเจ็บปวดแสนสาหัสราวกับถูกแล่เนื้อเถือหนังไม่ใช่สิ่งที่คนจะสามารถรับได้เลย
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะเว่ยชง
ไม่ว่าจะเป็นช่วงอนุบาล ประถม หรือมัธยมต้น เด็กชายหลี่มู่ไม่เคยเป็นพ่อพระที่จิตใจกว้างขวาง ใช้ความดีตอบแทนความแค้น ดังนั้นแค้นนี้จะต้องคิดบัญชีแน่
แต่เดิมเขายังกังวลอยู่ ศูนย์กลางของสำนักดับนิวรณ์ไม่ได้อยู่แถวแนวเขาขาวพิสุทธิ์ และคนในสำนักนี้ต่างลึกลับซับซ้อน เจอตัวยาก คิดไม่ถึงว่าเว่ยชงจะละโมบไม่รู้จักพอ คิดอยากได้เลือดเจียวจากตน จึงได้แอบเฝ้าอยู่ หลังจากได้ยินข่าวว่าตนกลับมาแล้วก็รีบบุกมาหาถึงที่
นี่มันรนหาที่ตายชัดๆ
คิดได้ถึงตรงนี้ หลี่มู่ก็หัวเราะอย่างเก็บความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ “ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆๆ…”
สีหน้าของเว่ยชงเหี้ยมเกรียม “เจ้าเศษสวะ จะตายอยู่แล้ว เจ้าหัวเราะอะไร?”
“ฮ่าๆๆ ข้าหัวเราะเจ้าไง สวรรค์มีทางเจ้าไม่ไป นรกไม่มีประตูเจ้ากลับบุกเข้ามา เว่ยชง วันนี้เป็นเจ้าที่รนหาที่ตายเอง” หลี่มู่ปรับลมหายใจ พลังภายในกายหมุนโคจร โดยเฉพาะที่กระดูกสันหลัง พลังไหลเวียนราวมีมังกรทะลวง
และท่าทางหัวเราะลั่นเช่นนี้ของเขา ยามอยู่ในสายตาของพวกจ้าวหลิงลูกศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ ก็กลายเป็นท่าทางของราชาปีศาจตัวร้ายโรคจิตโดยสมบูรณ์ ยิ่งเป็นการยืนยันการวิเคราะห์และความดูถูกที่มีต่อหลี่มู่ของเหล่าศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์
เว่ยชงได้ยิน ไม่โมโหแต่กลับหัวเราะ “ฮี่ๆ เจ้าสวะ พูดจาโอหังนัก อีกประเดี๋ยวเจ้าได้หัวเราะไม่ออกแน่”
ฝ่ามือเขาเพียงสะบัดไป โซ่เหล็กเหมันต์ที่พันอยู่บนร่างก็ขยับมีชีวิตราวงูเหลือมสีดำ ค้อนยักษ์สั่นดังวิ้งๆ กำลังภายในสีดำชั้นหนึ่งแนบลงไปที่โซ่และพื้นผิวค้อนยักษ์ แผ่กระจายกลิ่นอายราวกับเพลิงมารสีดำที่มาจากนรก มีความรู้สึกชั่วร้ายที่ชวนให้คนขาดอากาศหายใจ
ลูกศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์และคนในยุทธจักรคนอื่นๆ ที่นั่นหน้าเปลี่ยนสีทันที
พวกเขาตระหนักได้ว่า ยอดฝีมือแปลกหน้าซึ่งจู่ๆ ปรากฏตัวขึ้นคนนี้เป็นผู้แข็งแกร่งที่น่ากลัวกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้
“ลิ้มรสของความรู้สึกที่กระดูกแหลกอีกครั้งหนึ่งเสียเถอะ”
เว่ยชงแค่สะบัดมือ ค้อนยักษ์ก็พุ่งทะยานออกไป
เสียงมังกรคำรามคล้ายมายาคล้ายความจริง ภายใต้คลื่นกระแสอากาศ ค้อนยักษ์สีดำนั้นเสมือนกลายเป็นมังกรเกล็ดดำ แยกเขี้ยวกางกรงเล็บพุ่งไปกัดกินหลี่มู่
“ขั้นปรมาจารย์ระดับสูงสุด!”
ใบหน้างดงามของจ้าวหลิงเปลี่ยนสี กรีดร้องเสียงหลง
ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์หรือคนจากสำนักอื่นๆ เมื่อเห็นภาพนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างอดไม่ได้
เห็นได้ชัดว่า พลังของยอดฝีมือแปลกหน้าคนนี้น่ากลัวเสียยิ่งกว่าพลังสูงสุดที่พวกเขาประเมินไว้ก่อนหน้านี้
กำลังภายในถูกปลดปล่อยออกมาข้างนอก แปรเปลี่ยนประดุจเทพ!
นี่เป็นสัญลักษณ์ของขั้นปรมาจารย์สูงสุด
“ดีจริงๆ หลี่มู่ตายแน่แล้ว” ผู้อาวุโสสูงสุดพรรคมังกรฟ้าดีใจยกใหญ่
“ด้วยการโจมตีนี้ หลี่มู่จะต้องไม่เหลือซากแน่” ผู้อาวุโสสูงสุดสำนักเขี้ยวพยัคฆ์หัวเราะเสียงเย็น
“แค้นของลูกชายข้าได้คิดบัญชีแล้ว” โจวเจิ้นไห่ดีใจยิ่งนัก การปรากฏตัวของยอดฝีมือชั้นยอดที่ประสงค์ร้ายต่อหลี่มู่แน่นอนเช่นนี้ ช่างทำให้เขายินดีเป็นล้นพ้น
ในขณะเดียวกัน…
“หยุด”
เสียงหนึ่งดังมาจากนอกประตูใหญ่ สายลมเย็นโหมซัด เป็นนักเวทกลางคนชุดดำที่ตามมา
แต่ทุกอย่างไม่ทันกาลเสียแล้ว
เปลวเพลิงกำลังภายในสีดำปกคลุมไปยังหลี่มู่ที่ยืนอยู่ที่เดิม ท่ามกลางเสียงคำรามยาวขาดๆ หายๆ ของมังกรดำ
ระยะห่างและองศาเช่นนี้ ไม่อาจหลบหลีกได้แล้ว
ครืน!
ค้อนยักษ์สั่นสะเทือน มังกรดำแสงเพลิงท่วมมิดร่างของหลี่มู่
“ฮ่าๆ ข้าบอกแล้ว ครั้งนี้ต่อให้เจ้าติดปีกก็หนีไม่รอด ข้าจะให้เจ้าตายทั้งเป็น” เว่ยชงหัวเราะลั่น อีกฝั่งหนึ่งของโซ่เหล็กเหมันต์พันอยู่กับท่อนแขนของเขา จากการสั่นสะเทือน เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าค้อนยักษ์โจมตีเข้าเป้าแล้ว
เสียงร้องยินดีดังมาจากเหล่าศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์และคนในยุทธจักรเช่นพรรคมังกรฟ้า
“งั้นรึ?”
เสียงของหลี่มู่ดังขึ้นอย่างเยียบเย็น
เห็นเพียงกำลังภายในแสงเพลิงดำสลายไป มังกรดำภาพมายาเลือนรางบิดเบี้ยวดิ้นรน สุดท้ายก็หายไปเหมือนโดนทำลาย
รูม่านตาของเว่ยชงหดเล็กลง
ด้านตรงข้าม บนบันไดหินหน้าประตูโถงหลัก ร่างของหลี่มู่ไม่เปลี่ยนไปเลย
เขาแค่ยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง
แค่ยื่นมืออกมาข้างเดียวเท่านั้น
นิ้วทั้งห้ากางออกช้าๆ ทุกนิ้วขาววิจิตรราวหยกสลัก ทั้งเรียวยาวทั้งทรงพลังราวกับหัตถ์เทพ จากนั้นคว้าหัวค้อนยักษ์สีดำเอาไว้
“ข้าบอกแล้วว่าเจ้ารนหาที่ตาย”
หลี่มู่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
พูดแล้วนิ้วทั้งห้าก็ออกแรงบีบเบาๆ
แกรก กร๊อบ!
ค้อนยักษ์ที่หลอมขึ้นจากเหล็กเหมันต์จากนอกโลกแตกร้าว กลายเป็นเศษเหล็กไม่เป็นรูปร่างร่วงอยู่บนพื้นดุจรูปปั้นดิน
“อะไรกัน?”
เว่ยชงยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร?
พลังของเจ้าเศษสวะนี่ ทำไมถึงแข็งแกร่งขึ้นได้ถึงเพียงนี้
ไม่กี่วันก่อนนี้มันยังโดนตนไล่ล่าจนวิ่งพล่านไปทั่วภูเขาราวสุนัข แต่ตอนนี้…
หลายวันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
หรือว่า…มันจะผสานกับเลือดเจียวได้อย่างสมบูรณ์ และได้รับพลังที่มาจากเจียว?
สีหน้าผู้อาวุโสสายนอกสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์โจวเจิ้นชิวฉายแววตกใจ บนใบหน้าที่นับจากปรากฏตัวขึ้นก็แน่วแน่มั่นคงมาโดยตลอด กลับมีสีหน้ายากจะเชื่อ เขาดูไม่ออกว่าเสี้ยวขณะนั้น สิ่งที่หลี่มู่ปะทุออกมาเป็นพลังอะไร
จอมเวทวัยกลางคนชุดดำซึ่งเข้ามาจากประตูใหญ่ที่ว่าการอย่างรีบร้อน ยืนอยู่กับที่อย่างตื่นตะลึง
ส่วนเด็กชายสวมชุดคลุมยาวลายมังกรสีเหลืองที่ตามอยู่ข้างหลังดวงตาเปล่งประกาย มองหลี่มู่อย่างสนอกสนใจ ราวกับจะจำคนคนนี้เอาไว้ให้แม่น
สำหรับศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์หนุ่มสาวพวกนั้น อีกทั้งยอดฝีมือทั้งหลายของพวกสำนักเขี้ยวพยัคฆ์และพรรคมังกรฟ้า ล้วนตะลึงอ้าปากค้างยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่อาจเชื่อในสิ่งที่เห็นได้เลย
เศษเหล็กเหมันต์ร่วงกราวลงบนพื้น ราวกับกระทบไปบนใจของทุกคน
นัยน์ตาของเว่ยชงฉายแววเจ็บปวดใจ เหล็กเหมันต์นี้เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจมหาศาลถึงจะหลอมเป็นอาวุธได้ มันอยู่เคียงข้างเขามานานหลายปี เสมือนเป็นส่วนหนึ่งของเขา คิดไม่ถึงว่าวันนี้กลับแหลกสลายลงที่นี่ด้วยวิธีนี้
“เจ้าเศษสวะ ข้าจะฆ่าเจ้า” เว่ยชงพุ่งไปยังหลี่มู่ด้วยดวงตาแดงก่ำ
ภายใต้การสะบัดของเขา โซ่เหล็กเหมันต์เหี้ยมโหดดุจงูเหลือมชั่วร้ายสีดำสองตัว
ความเร็วของผู้แข็งแกร่งขั้นปรมาจารย์ราวอสุนีบาต ทุกคนล้วนรู้สึกภาพเบื้องหน้าพร่าเลือน เว่ยชงก็หายไปจากตรงนั้นแล้ว
ทว่าพริบตาต่อมา…
ฟิ้ว!
เสียงแหวกอากาศแหลมเล็กดังขึ้นมา
หลี่มู่ก็หายไปจากที่ตรงนั้นในชั่วขณะเดียวกัน
เร็วยิ่งกว่า
พลังแข็งแกร่งกว่า
ตูม!
เสียงราวกับกระสอบทรายถูกชกแตกดังขึ้น
เห็นเพียงหลี่มู่ลอยอยู่กลางอากาศ พลางคว้าโซ่เหล็กเหมันต์เอาไว้ด้วยมือเดียว เพียงสะบัดไปตามอารมณ์ เว่ยชงก็สูญเสียการควบคุมร่างกายและโดนเหวี่ยงขึ้นมา
“อ่อนแอเกินไป”
หลี่มู่คำราม จากนั้นสะบัดโซ่เหวี่ยงเว่ยชงไปบนพื้นเต็มแรง
ตูม!
ผืนดินสั่นไหว
“เจ้าในตอนนี้อ่อนแอเสียจนน่าสงสาร”
หลี่มู่สะบัดโซ่เหล็กเหมันต์ในมือ พลังที่น่ากลัวปะทุออกมา เขาเหวี่ยงเว่ยชงไปมาราวเหวี่ยงลูกตุ้ม เหวี่ยงขึ้นไปสูงและทุ่มลงไปเต็มแรง กระแทกเสียงดังตึงๆๆ ไปบนพื้นอย่าต่อเนื่อง
ภาพเช่นนี้ช่างสวยงามยิ่งนัก
เว่ยชงพบเจอโศกนาฏกรรมถึงแก่นแท้
เพราะโซ่เหล็กเหมันต์พันแขนของเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา ดังนั้นในช่วงเวลารีบร้อนเขาจึงไม่อาจสลัดพ้น ได้แต่ถูกหลี่มู่เหวี่ยงกระแทกอย่างบ้าคลั่ง ราวกับหุ่นกระบอกที่ผูกโยงไว้ด้วยเชือก
เป็นถึงผู้แข็งแกร่งขั้นปรมาจารย์สูงสุด แต่เมื่ออยู่ในมือของหลี่มู่ก็เสมือนเป็นแค่ของเล่น
ตูม ตูม ตูม!
ผืนดินแตกทลาย ปรากฏหลุมรูปคนไม่ขาดสาย
ภาพเช่นนี้ช่างรุนแรงและน่าตื่นตะลึงนัก
ก้อนหินและผืนดินที่ปลิวกระจายไปทั่วโจมตีจิตใจของทุกคน เสียงตูมตามดังสนั่นสะเทือนแก้วหู ภาพที่ยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ถูกจับเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาเหมือนของเล่นทิ่มแทงลูกตาพวกตา…ทั้งหมดนี้ ทำให้ทุกคนแทบจะสูญเสียความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ความคิดขาวโพลน
แรกเริ่มเดิมทีเว่ยชงยังดิ้นรนและคำรามอย่างโมโห ยังพยายามลองโจมตีกลับ
แต่สุดท้ายเขาโดนเหวี่ยงอัดจนมึน กำลังภายในคุ้มกายสลายไป กระดูกทั่วร่างหักไปไม่รู้กี่ท่อน ปากกระอักเลือดสดๆ ออกมา
“อ๊าก…” เขาตัดแขนตัวเองเพื่อให้หลุดพ้นจากโซ่เหล็กเหมันต์
ความรู้สึกไร้กำลังที่ยากจะบรรยายและความกลัวเหลือล้น ทำให้เขาสูญเสียความกล้าที่จะสู้ต่อไปอย่างสิ้นเชิง
เขาคิดอยากจะหนีไป
แต่หลี่มู่ไม่ให้โอกาสเขา
“เจ้าช่าง…อ่อนแอเกินไปจริงๆ”
ร่างของหลี่มู่ราวกับสายอัสนี รุกมาข้างหน้าเว่ยชง มือบีบคอของคู่ต่อสู้เอาไว้พลางพุ่งทะยานออกไป เสียงสนั่นดังขึ้น เขาจับศีรษะและร่างของเว่ยชงกระแทกเข้าไปในภูเขาจำลองลูกใหญ่ที่ห่างออกไปสี่จั้ง
ภูเขาจำลองถล่มทลาย
ฝุ่นควันปลิวฟุ้งไปทั่ว
ธุลีกลบเงาร่างของหลี่มู่และเว่ยชงจนมิด
ทุกคนตาเบิกกว้างราวกับต้องมนตร์ จ้องเขม็งไปยังใจกลางฝุ่นควัน
เมื่อฝุ่นควันจางไป หลี่มู่เดินออกมาทีละก้าวๆ จากกองเศษหิน
เขาเดินมาราวเทพมาร มือกระชากโซ่เหล็กเหมันต์ลากเว่ยชงยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์สูงสุดที่สลบเหมือด ราวกับลากสุนัขขี้เรื้อนหลังหักอย่างไรอย่างนั้น
ทุกคนต่างสูดลมหายใจ
จ้าวหลิงลูกศิษย์สาวอัจฉริยะของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ตะลึงอ้าปากค้าง ตัวแข็งดุจกลายเป็นหิน
……………………………………………………
[1] ย่ำรองเท้าเหล็กสึกไม่พานพบ ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย สำนวนจีนหมายถึง เมื่อต้องการหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ แต่เมื่อไม่ต้องการแล้วกลับพบเจอโดยง่าย