จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 11 ดาบเชือดหมูอันน่าหวาดกลัว
ดาบนี้หลี่มู่ผ่านการฝึกฝนทักษะมานับร้อยนับพันครั้ง เชี่ยวชาญอย่างยิ่ง เมื่อนำมาใช้งานกับหมูป่าตัวอ้วนพี มันต้องตายอย่างไร้ความเจ็บปวดเป็นแน่แท้
ดาบตัดนภาสวี่จื้ออยากจะอ้าปากตะโกน ทว่าสิ่งที่ออกมาจากลำคอกลับเป็นเสียงความหวาดกลัวและไม่ยินยอมของสัตว์ป่าเมื่อเผชิญหน้ากับความตาย
พรวด พรวด!
เลือดกระฉูดออกจากคอ เป็นละอองเลือดที่เข้มขึ้นทุกที สองมือสวี่จื้อย้อมไปด้วยสีแดงของเลือด หลังเสียงกระอักครั้งสุดท้าย เลือดก็พวยพุ่งออกมา เจ้าของฉายาดาบตัดนภาสวี่จื้อ หนึ่งในจตุรเทพแห่งพรรคเสินหนงที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ในอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์ ศีรษะของเขาร่วงหล่นลงมาราวกับต้นหญ้าที่โดนตัด
ฉากนี้ช่างโหดร้ายนองเลือด
หลี่มู่เหลียวกลับไปมอง
จะว่าไป ในค่ำคืนที่มีพายุฝน นักรบสองคนจากพรรคจันทราโลหิตถูกเขาคร่าชีวิตโดยไม่ตั้งใจ นี่จึงเป็นครั้งแรกที่หลี่มู่สังหารคนอย่างแท้จริงนับแต่เกิดมา แต่ภายในใจของเขาไม่มีร่องรอยของความรู้สึกผิดใดๆ
เมื่อมองไปที่ศพ ศีรษะที่ขาดสะบั้น และเลือดสดๆ ของสวี่จื้อ เขาไม่มีความรู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียนเลย
ในเวลานี้ หลี่มู่เข้าใจในทันทีว่าทำไมซินแสเฒ่าถึงบังคับให้เขาไปทำงานเชือดหมูที่โรงเชือด
แท้จริงแล้วก็เพื่อจะบ่มเพาะรังสีอำมหิตให้นั่นเอง!
เพื่อให้เขารับรู้และเคยชินกับภาพเลือดสดๆ และอวัยวะที่โดนตัดเสียก่อน
ซินแสเฒ่าคาดการณ์เอาไว้นานมากแล้วว่าจะมีเรื่องเช่นวันนี้เกิดขึ้น
เขาส่งหลี่มู่มาขัดเกลาที่ดวงดาววิถียุทธ์ซึ่งมีกฎธรรมชาติว่าผู้อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง ไม่เพียงแต่ต้องป้องกันตนเอง ซ้ำยังต้องบากบั่นฝึกวรยุทธ์ เสริมสร้างร่างกายและขัดเกลาจิตใจ หากอยากจะโดดเด่นเหนือใครในดวงดาวแห่งนี้และกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่จับดาบหรือไม่ฆ่าฟัน
หากแต่ในเวลานี้ ความโกรธแค้นภายในใจหลี่มู่ยังไม่ดับสิ้น
“พรรคเสินหนงต้องชดใช้ จตุรเทพจะต้องตาย”
สีหน้าของหลี่มู่หนักแน่นมั่นคง
ในเวลานี้ ฝุ่นที่ล่องลอยอยู่ในอากาศค่อยๆ จางลง
มีเสียงฝีเท้าเป็นชุดดังขึ้น
ศิษย์หลายร้อยของพรรคเสินหนงออกมาล้อมหลี่มู่อย่างว่องไวตามคำสั่งของผู้นำในพรรค
คันศรอาบยาพิษเล็งมาที่หลี่มู่ แมลงพิษหลากพันธุ์ก็ถูกปล่อยออกมาอย่างลับๆ ควันพิษนานาชนิดลอยเข้ามา…คนส่วนใหญ่ในพรรคเสินหนงเป็นอาชญากร ถนัดการใช้พิษ ควบคุมแมลงเบญจพิษได้ สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขากล้าทำยโสโอหังในอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์
“จับมัน ข้าไม่สนว่าจะใช้วิธีการใด ขอเพียงมีลมหายใจพอ จะพิกลพิการก็ไม่เป็นไร”
เสียงอันชั่วร้ายดังมาจากทิศทางด้านหลังฝูงชน
…
ส่วนลึกของฐานที่มั่นพรรคเสินหนง
ซือคงจิ้งประมุขพรรคเสินหนงในชุดคลุมยาวผ้านุ่มสีเขียวนั่งสีหน้าราบเรียบอยู่ภายในถ้ำหินขนาดใหญ่
แสงอาทิตย์ยามเที่ยงสาดผ่านซอกหินลงมา ส่องสว่างสระน้ำทรงกลมขนาดราวหนึ่งจั้งที่อยู่ตรงกลางของโถงใหญ่ถ้ำหิน น้ำในสระเป็นสีเขียวดุจมรกต สะท้อนเป็นสีหนาทึบดูประหลาดตา ไร้รูปไร้กลิ่น ทำให้ทั้งถ้ำหินเต็มไปด้วยความรู้สึกเย็นเยือกน่าพรั่นพรึง
“ซือคงจิ้ง ไสหัวออกมาพบข้าเดี๋ยวนี้”
เสียงกราดเกรี้ยวราวฟ้าลั่นแว่วมาจากระยะไกล ดังเข้าไปตามซอกหินจนเกิดเป็นเสียงสะท้อนชัดเจนอยู่ภายในถ้ำ
ภายนอกของซือคงจิ้งดูไปแล้วเป็นเพียงชายวัยกลางคนอายุประมาณสามสิบปี มีหน้าตาหล่อเหลา ใบหูใหญ่ คิ้วกระบี่ ให้กลิ่นอายสูงศักดิ์ บนใบหน้าประดับรอยยิ้มบางๆ อยู่เสมอ ชวนให้รู้สึกประทับใจเมื่อแรกพบได้ง่าย
แต่หากมองพินิจดีๆ จะพบว่าผิวของเขาค่อนข้างซีดเหมือนผงแป้ง
หากมีแสงส่องลงมาอีกสักนิด จะเห็นเส้นเลือดสีเขียวภายใต้ผิวหนังซีดขาว
หลังจากควบคุมดูแลพรรคเสินหนงมาสิบห้าปี ตำแหน่งในพรรคของเขาไม่ต่างจากประมุข พูดได้ว่ามั่นคงไม่สั่นคลอน
เขาปลูกฝังความกลัวและหวั่นเกรงลงลึกในจิตใจคนในพรรคด้วยพลังอันแข็งแกร่งและการลงมือที่โหดเหี้ยม
“ฮ่าๆ ขุนนางเมืองคนนี้มาจริงๆ เสียด้วย เป็นคนหนุ่มที่มีความกล้าดังคาด” ซือคงจิ้งเอนนั่งสำราญอยู่บนเก้าอี้หวาย มีหญิงสาวสองคนสวมชุดแพรบางเบากำลังพัดขนนกอย่างนุ่มนวลอยู่ด้านหลัง มุมปากของเขามีรอยยิ้มดูถูกปรากฏให้เห็นจางๆ
พูดตามตรง เขาไม่สนใจขุนนางเมืองผู้นี้แม้แต่น้อย
ขุนนางเมืองคนก่อนฝีมือไม่ธรรมดา แต่ท้ายที่สุดก็ถูกไล่เข้าป่าไปศึกษาหนทางแห่งเต๋ามิใช่หรือ?
วันนี้ขุนนางในจักรวรรดิฉินวุ่นวาย อำเภอขาวพิสุทธิ์ตั้งอยู่เขตชายแดนทางทิศตะวันออกของจักรวรรดิ อยู่ห่างไกลจากวังหลวง กลุ่มอิทธิพลแก่งแย่งชิงอำนาจ คนดีคนชั่วผสมปนเป ขุนนางเริ่มจะควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่ พรรคต่างๆ เริ่มกุมอำนาจ เพียงแค่ขุนนางเมืองเล็กๆ คนหนึ่งที่ไม่มีฐานอำนาจเหมือนจอกแหนล่องลอย แม้แต่ที่ที่จะยืนก็ยังไม่มี จู่ๆ จะมาลงดาบกับพรรคเสินหนงอย่างนั้นหรือ?
ซือคงจิ้งยิ้มเยาะออกมา
ในถ้ำหินยังมีคนระดับสูงของพรรคเสินหนงด้วยบางส่วน เมื่อได้ยินดังนั้นพวกเขาต่างก็หัวเราะออกมา
บรรยากาศในถ้ำหินเต็มไปด้วยความครึกครื้น
สามารถทำให้ขุนนางเมืองอับจนหนทาง หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป อย่างไรก็นับว่าเป็นเกียรติแล้ว
ตูม!
ทันใดนั้นเกิดเสียงดังลั่น ภูเขาสั่นสะเทือน
ถ้ำหินสั่นดั่งมีแผ่นดินไหว
น้ำเขียวมรกตในสระตรงกลางกระเพื่อมเป็นวงๆ
เสียงหัวเราะทั้งหมดเงียบในบัดดล
กลุ่มผู้คนระดับสูงในพรรคเสินหนงต่างมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ ไม่มีเสียงสักนิดเล็ดลอดออกมา เหมือนเป็ดนับสิบตัวที่ถูกบีบคอเอาไว้
สีหน้าท่าทีของซือคงจิ้งเริ่มตื่นตัว
ชั่วขณะต่อมา มีคนของพรรควิ่งกระหืดกระหอบเข้ามารายงานว่า “รายงาน…ขุนนางเมืองบุกเข้ามาแล้วขอรับ มันเตะประตูใหญ่จนกระเด็นด้วยเท้าเดียว ไม่สามารถต้านทานได้เลย…”
“อะไรนะ?” มีคนบางคนหลุดอุทาน
“เตะประตูใหญ่กระเด็น? เท้าเดียว? พูดเป็นเล่นไป ประตูสองบานนั้นน่าจะหนักหมื่นจินได้เลยนะ”
“มั่นใจว่าเป็นขุนนางเมืองคนนั้นรึ”
“เขาเป็นบัณฑิตมิใช่หรือ”
สถานการณ์ตอนนี้เหมือนนกกระจอกแตกรัง คนระดับสูงของพรรคเสินหนงต่างแตกตื่น
สีหน้าของซือคงจิ้งเคร่งเครียด
เขากระแอมไอเบาๆ
เสียงที่วุ่นวายทั้งหมดหายไปทันควัน
“อาจเพราะชำรุดทรุดโทรมตามกาลเวลา…” ซือคงจิ้งยิ้มเรียบๆ แล้วกล่าว “ประตูสองบานนั้นตั้งอยู่แบบนั้นมาสิบกว่าปีแล้ว กรอบประตูอาจจะหลวมก็เป็นได้ ฮ่าๆ เดี๋ยวค่อยสั่งคนไปซ่อมแซมก็ได้” เขาอ้างเหตุผล แล้วยังกล่าวต่อด้วยความมั่นใจ “วันนี้เป็นหน้าที่สวี่จื้อเฝ้าประตูใหญ่ ดาบโลหะชั้นดีของเขาสั่งทำเป็นพิเศษ มีเพลงดาบลมครวญ 36 กระบวนท่า ขนาดตัวข้าเองยังมิอาจดูแคลน พลังของเขาอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นรวมกำลัง จึงสามารถวางใจได้ ทุกท่าน เกรงว่ายามที่พูดคุยกันเมื่อสักครู่ ผู้อาวุโสสวี่จื้อคงจะจับขุนนางเมืองเอาไว้แล้ว…”
ยังพูดไม่ทันจบประโยคดี
ก็มีเสียงฝีเท้าอันเร่งรีบดังขึ้นอีกครั้ง
ศิษย์พรรคเสินหนงอีกคนวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าขาวซีด ก่อนจะคุกเข่าลงหนึ่งข้างแล้วรายงานตะกุกตะกักด้วยเสียงสั่นเครือ “ท่าน…ท่าน…ท่านประมุข ผู้อาวุโสทุกท่าน แย่แล้ว พี่สวี่จื้อถูกสะบั้นคอแล้ว”
เสียงทั้งหมดเงียบลงทันควัน
รอยยิ้มบนใบหน้าของซือคงจิ้งจางหายไป มุมปากกระตุกขึ้น
ใบหน้าเขาเห่อร้อน เหมือนโดนตบหน้าก็ไม่ปาน
“มีอย่างนี้ที่ไหน ขุนนางเมืองผู้นี้รังแกกันเกินไปแล้ว ทุกคนลงมือเต็มกำลัง ออกไปจับมันผู้นี้มาให้ข้า ข้าอยากให้มันได้ลิ้มรสฝีมือข้า…” ในที่สุดประมุขพรรคก็โกรธเกรี้ยว เขาผุดลุกขึ้น เพลิงแค้นลุกโชนในดวงตา “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ให้ศิษย์ทุกคนใช้ได้ทุกวิธี ขอเพียงไม่ให้มันตายก็พอ!”
……
“เจ้า…เจ้านี่มัน…เพลงดาบอะไรกัน?”
‘ทวนไร้พ่าย’ ซ่งถง ผู้อาวุโสที่เป็นหนึ่งในจตุรเทพแห่งพรรคเสินหนงลำดับสุดท้าย แววตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและไม่ยอมรับ ทวนเหล็กยาวอันโด่งดังของเขาหักเป็นสองท่อนกระเด็นไปด้านข้าง เกิดความรู้สึกหนาวเหน็บและสิ้นหวังขึ้นในคอ ในสมองยังฉายวนดาบที่ฟันเข้ามาเมื่อครู่ เป็นที่แน่ชัดว่ามันเป็นดาบธรรมดายิ่งเล่มหนึ่ง สภาวะและพลังภายในถูกขับเคลื่อนไปถึงขีดสูง แต่เหตุใดจึงไม่สามารถหยุดดาบเล่มนี้ได้
“เพลงดาบเชือดหมู”
หลี่มู่พูดออกไปตรงๆ
ในมือของเขาเหลือเพียงด้ามดาบอันหนึ่ง
ดาบเหล็กธรรมดาขององครักษ์ไม่สามารถต้านทานพลังประหลาดที่น่ากลัวของหลี่มู่ได้ ในที่สุดก็แตกหักไปตอนลงดาบก่อนหน้านี้
ละอองเลือดสาดกระจาย
ศีรษะของ ‘ทวนไร้พ่าย’ ซ่งถงร่วงหล่นลง ศรเลือดพุ่งออกจากคอ สาดกระจายไปบนพื้น
หากแต่ข้างๆ ศพเขายังมีร่างอันเย็นเฉียบของจตุรเทพ ‘กระบี่หิมะพิษ’ จ้าวหย่ง และ ‘หัตถ์พิษ’ ตู้เหิงด้วย ทั้งคู่โดนตัดคอด้วยดาบทั้งสิ้น
หากนับ ‘ดาบตัดนภา’ สวี่จื้อที่โดนตัดหัวไปด้วย จตุรเทพชื่อเสียงกระฉ่อนแห่งพรรคเสินหนงก็ไม่มีใครคลานออกมาจากกองศพได้เลย ความโหดร้ายป่าเถื่อนของพวกเขายั่งยืนอยู่ในอำเภอขาวพิสุทธิ์มาเกือบสิบปี ทว่าในช่วงเวลาที่น้อยกว่าหนึ่งถ้วยชา[1] กลับถูกหนึ่งคนหนึ่งดาบตัดศีรษะทีละคนในระหว่างที่ผนึกกำลังเข้าสู้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ
อีกทั้งผู้ที่ตัดศีรษะของจตุรเทพกลับเป็นขุนนางเมืองหนุ่มที่ถูกทุกคนตราหน้าว่าอ่อนแอ ไม่มีความสำคัญ ไร้เรี่ยวแรงแม้กระทั่งจะมัดไก่
ในที่ที่ห่างออกไป
ในสมองหม่าจวินอู่ว่างเปล่า
ร่างเขาโซเซ ยืนไม่มั่น ภาพลวงตาเกิดขึ้นตรงหน้า ทั้งยังมีดาบอันน่าสะพรึงที่เร็วดุจฟ้าแลบ
น่ากลัว!
น่ากลัวเกินไปแล้ว
นั่นมันเพลงดาบปีศาจอะไรกันแน่ ผ่าจตุรเทพได้เหมือนผักแตง หนึ่งดาบหนึ่งคนชำระความได้จนสิ้น
ในอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์ หม่าจวินอู่นับว่าเป็นยอดฝีมือระดับต้นๆ
แต่เขายังกังขาในตนเอง ด้วยพลังของเขา หากต้องเผชิญหน้ากับหนึ่งในจตุรเทพ ในสามสี่ร้อยกระบวนท่าก็ยังยากที่จะกุมชัยชนะไว้ได้ หากอีกฝ่ายร่วมมือกันต้องไม่รอดเป็นแน่ คงไม่สบายมือเหมือนอย่างที่ท่านขุนนางเมืองทำ
ภาพและเหตุการณ์ทั้งหมดทำให้คนรู้สึกว่าไม่เหมือนจตุรเทพผู้มีชื่อเสียงกระฉ่อนมาเนิ่นนานยืนล้อมหลี่มู่ กลับเหมือนภาพหลี่มู่กำลังเชือดหมูอ้วนสี่ตัวลงทีละตัวเสียมากกว่า
อีกทั้งด้านหลังของหม่าจวินอู่ กลุ่มคนที่เฝ้ามองเหตุการณ์บ้างก็เปิดเผยบ้างก็แอบอยู่ ก็รู้สึกอึ้งตะลึงและหวาดกลัวไม่ต่างกัน
พวกเขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น ซ้ำยังหาเหตุผลไม่ได้ โดยเฉพาะคนที่หวังจะมาดูเรื่องน่าขันยามคนอื่นโชคร้าย ในเวลานี้เหมือนโดนสายฟ้าฟาด หลากอารมณ์มากองอยู่บนใบหน้า สีหน้าก็ซีดราวกับกระดาษเพราะตกใจสุดขีดและเกรงกลัว
“เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรกัน”
“หลี่มู่เป็นยอดฝีมือ!”
“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว”
“แย่แล้ว ต้องรีบกลับไปรายงาน มิเช่นนั้นต้องเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่แน่”
“เร็ว รีบกลับไปบอกนายท่านโดยด่วน ต้องรีบหากลยุทธ์รับมือกับขุนนางเมืองผู้นี้โดยเร็วที่สุด”
ในชั่วพริบตาเดียว ความคิดมากมายปรากฏในสมองของผู้คนเหล่านั้นดุจบ้าคลั่ง
…………………………
[1] ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชา เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของคนจีนโบราณ ใช้เปรียบถึงช่วงเวลาที่สั้นมาก บางตำราเทียบว่าประมาณ 10 – 15 นาที