จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 112 ปมในใจ
การวางค่ายกลเป็นงานที่ต้องใช้เวลาและเรี่ยวแรง
อีกทั้งไม่ใช่ทุกที่จะเหมาะกับการวางค่ายกล
การวางค่ายกล แก่นแท้คือการสื่อสารกับธรรมชาติ เป็นขั้นตอนการหยิบยืมพลังจากฟ้าดิน
และพลังของฟ้าดินก็ลึกลับซับซ้อนยิ่งนัก คิดจะยืมก็ได้มาง่ายดายอย่างนั้นเสียเมื่อไหร่
ยืมพลังฟ้าดิน จะขาดเวลา สถานที่ และแรงคนสามสิ่งใดสิ่งหนึ่งนี้ไปไม่ได้เลย
ดังนั้น เงื่อนไขของภูมิประเทศและฮวงจุ้ยจึงสูงมาก ลักษณะพื้นที่ที่ต่างกันควรจะวางค่ายกลแบบไหน และวางค่ายกลแบบไหนไม่ได้ ล้วนมีรายละเอียดซับซ้อนทั้งนั้น
หากศึกษาค่ายกลจนถึงจุดลึกซึ้ง จะติดต่อกับฟ้าดินได้ กระทั่งสามารถเปลี่ยนแปลงฟ้าดิน
จากคำพรรณาของซินแสเฒ่า ในจุดลึกที่สุดของจักรวาลอันไกลโพ้น เคยมีบุคคลเป็นเอกผู้หนึ่งสมญาว่าเทพจักรพรรดิจ้าวพิภพ ใช้ดวงดาวทั้งหลายเป็นหมากอาวุธเวทวางค่ายกล สร้างทั้งดาราจักรให้เป็นพื้นที่ต้องห้ามลึกลับเกินหยั่ง เพียงแค่ชั่วความคิดเดียวก็สังหารเซียนได้ น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
นี่เป็นบุคคลจำนวนไม่มากที่หลี่มู่ได้ยินซินแสเฒ่าชมเชยและชื่นชม เวลาส่วนมากที่เหลือ ซินแสเฒ่ามักจะมีท่าทีราว ‘ฟ้าดินคือน้องรอง ข้าคือพี่ใหญ่’ เห็นได้ว่าเทพจักรพรรดิจ้าวพิภพคนนี้สง่างามสูงส่งเพียงใด
น่าเสียดาย ซินแสเฒ่าพูดถึงแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น และพูดไม่ละเอียด
เมื่อหลี่มู่ถามโดยละเอียดอีกครั้ง ซินแสเฒ่าก็ไม่ยอมพูดอะไรมาก กล่าวแค่ว่าจักรวาลเวิ้งว้าง กว้างใหญ่ไกลโพ้น ดวงดาวและดาราจักรมีมากมายเพียงใด เรียกได้ว่ามากมายนับไม่ถ้วนดุจมหาสมุทร เทพจักรพรรดิจ้าวพิภพจากปากของเขาคนนี้คือบุคคลในส่วนลึกที่สุดของจักรวาลอันเป็นอนันต์ ห่างไกลจากโลกและระบบสุริยะจักรวาล อีกทั้งระบบทางช้างเผือกต่างๆ มากนัก ต่อให้เป็นต้าหลัวจินเซียน[1]ก็ไม่มีทางข้ามผ่านระยะทางเช่นนี้ได้
ใช้ดวงดาวมาเป็นหมากค่ายกล นั่นเป็นขอบเขตที่หลี่มู่ไม่กล้าจะคิดถึง
สิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้คือใช้วัสดุต่างๆ ที่พรรคมังกรฟ้า สำนักเขี้ยวพยัคฆ์ และสำนักในยุทธภพต่างๆ จ่ายมา เปลี่ยนแปลงลักษณะพื้นที่ ต้นไม้ใบหญ้า หรือธารน้ำ เพื่อรวบรวมพลัง เก็บพลัง จากนั้นใช้พลังงานของ ‘พลัง’ ชนิดนี้มาปกป้องที่ว่าการ
นี่คือขั้นแรกเริ่มของ ‘ค่ายกล’
และก็เป็นขั้นที่หลี่มู่ทดลองอยู่ในตอนนี้
เวลาสามวันติด หลี่มู่ไม่ว่างเลยแม้แต่ชั่วขณะเดียว
เขาวัดพื้นที่รอบที่ว่าการทุกชุ่นอย่างละเอียด ทั้งยังขุดดินด้วยตัวเองลงไปอีกสองจั้ง สำรวจองค์ประกอบของดิน สำรวจระดับความเข้มข้นของน้ำใต้บาดาล ทั้งยังรวบรวมสรุปชนิดพืชพันธุ์ทั้งหมดที่อยู่รอบที่ว่าการ ปริมาณน้ำที่ไหลออกมาตลอดทั้งสิบสองชั่วยามของตาน้ำ กระทั่งมีรังมดกี่รัง มีงูแมลงสัตว์อะไรบ้าง ล้วนแต่รวบรวมไว้อย่างตั้งอกตั้งใจ
สำหรับหลี่มู่ การวางค่ายกลก็เหมือนทำโจทย์คณิตศาสตร์ซับซ้อน จะต้องรับประกันว่าทุกขั้นตอนการแก้โจทย์ไม่มีช่องโหว่อะไร สุดท้ายถึงจะได้คำตอบที่ถูกต้อง
ซินแสเฒ่าปกติบ้าๆ บอๆ พึ่งพาอาศัยไม่ได้ แต่ในด้านวางค่ายกลกลับเข้มงวดเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้ทำพิธีที่ธรรมดามากหรือสำรวจฮวงซุ้ยก็ล้วนแต่ละเอียดรอบคอบ ความเข้มงวดนี้ส่งอิทธิพลมาถึงหลี่มู่ด้วย
ในตำนานเรื่องเล่ามากมายบนโลก ตัวเอกแค่สะบัดมือ โยนอาวุธวิเศษอะไรไปตามอารมณ์ หรือประทับตราอะไรบางอย่างตามใจก็จัดวางค่ายกลได้ เช่นนั้นเหลวไหลทั้งเพ
การวางค่ายกลที่แท้จริงไม่มีทางง่ายแบบนั้น แต่ต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบอื่นด้วย ต่อให้เป็นรายละเอียดเล็กๆ ก็จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
ยกตัวอย่างเช่น ละเลยเรื่องตาน้ำ น้ำบาดาลก็อาจจะทำให้รากฐานผุกร่อน ค่ายกลไม่มีผล ละเลยรังมดก็อาจทำให้ ‘พลัง’ ที่กักเก็บรั่วไหลออกเพราะการขุดขยายพื้นที่ของรังมด ละเลยเรื่ององค์ประกอบชั้นดิน หากใต้ดินมีชั้นทรายอาจทำให้เครื่องหยกกำเนิดค่ายกลที่ฝังอยู่ใต้พื้นดินจม ส่งผลให้พลังของค่ายกลทั้งหมดสลายไป…
ว่ากันตามจริง การวางค่ายกลจุดหนึ่งไม่ต่างอะไรกับการสร้างตึกหรืออาคาร ล้วนแต่มีขั้นตอนที่ซับซ้อน
หลี่มู่ยุ่งจนหัวปั่นเป็นเวลาสามวันเต็ม
หลี่เจาเฉินในฐานะที่เป็นผู้ช่วยชั่วคราว หลายวันมานี้จึงอยู่ข้างกายหลี่มู่โดยตลอด ในใจรู้สึกประหลาด แอบงึมงำไม่หยุดว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น หรือจู่ๆ ท่านขุนนางเมืองจะเปลี่ยนนิสัย ทำไมถึงมาสนใจดินทรายต้นไม้ใบหญ้าภูเขาน้ำตกขนาดนี้ หรือว่าจะเป็นราชาปีศาจจนเบื่อแล้ว?
หลี่เจาเฉินคือน้องภรรยาของหัวหน้าพัศดีเจินเหมิ่ง
หลายวันก่อนในช่วงเวลาสำคัญ เขาสร้างผลงานไม่เลว ภายใต้สถานการณ์ที่พวกเฝิงหยวนซิงและเจินเหมิ่งพักฟื้นไม่มีคนใช้งานได้ หลี่มู่จึงเลื่อนขั้นพัศดีคนนี้เป็นมือปราบข้างกาย เอามาไว้ข้างตัว
พัศดีหนุ่มที่ปีนี้เพิ่งจะอายุสิบแปด เคารพหลี่มู่ขุนนางเมืองคนนี้อย่างเต็มอก
ความเคารพนี้ไม่ใช่แค่เพราะความแตกต่างของระดับขุนนาง แต่เป็นเพราะความแข็งแกร่งที่หลี่มู่แสดงออกมาในเรื่องใหญ่หลายเรื่องที่ผ่านมามากกว่า ทั้งปกป้องคุ้มครองผู้ใต้บังคับบัญชา และพลังที่แทบจะไร้เทียมทาน ทั้งหมดนี้ตรงกับนิยามของวีรบุรุษสำหรับคนหนุ่มที่จิตใจฮึกเหิม
หรือพูดให้ตรงอีกหน่อยคือ น่าจะเป็นความเลื่อมใส
หลี่เจาเฉินเหมือนกับพัศดีคนหนุ่มคนอื่นๆ กลายเป็นสาวกที่คลั่งไคล้และผู้นับถือบูชาหลี่มู่
“รวมๆ ก็เรียบร้อยแล้ว”
หลี่มู่วัดรอบๆ ทั่วที่ว่าการอีกครั้ง หลังจากแน่ใจว่าไม่ตกหล่นแม้แต่น้อย ก็กลับมายังห้องหนังสือและเริ่มวาดภาพ
ครึ่งวันเต็ม หลี่มู่วาดออกมาทั้งหมดสามสิบหกแผ่น
เขาเรียกหลี่เจาเฉินเข้ามา ให้คนหยิบภาพไปเริ่มปรับปรุงสภาพแวดล้อมรอบที่ว่าการทั้งหมดตามที่ร่างบนกระดาษ
“จำเอาไว้ จะให้ภาพรั่วไหลออกไปไม่ได้เด็ดขาด เจ้าดูรอบหนึ่ง จำได้แล้วให้นำกำลังคนด้วยตัวเอง สั่งให้คนไปทำซะ หลังจากขั้นตอนทุกอย่างเสร็จสิ้น จงนำกลับมาให้ข้าทุกแผ่นอย่าให้ผิดพลาด”
หลี่มู่สั่งการอย่างจริงจัง
น้ำเสียงแบบนี้ ทำให้หลี่เจาเฉินรู้สึกถึงความสำคัญของเรื่องนี้และความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่บนบ่าของตน สามารถทำเรื่องสำคัญเช่นนี้ให้ใต้เท้าได้ ในใจของเขาตื่นเต้นยิ่งนัก
“ใต้เท้าวางใจขอรับ ต่อให้ข้าน้อยต้องทิ้งชีวิต ก็ไม่มีทางทำภาพหายแม้แต่ภาพเดียวเด็ดขาด” หลี่เจาเฉินตบอกพูด
หลี่มู่หัวเราะ “ชีวิตสำคัญกว่า”
หลี่เจาเฉินจึงหัวเราะฮี่ๆ ขึ้นมา
หลายวันนี้ตามอยู่ข้างกายใต้เท้า เขาจับนิสัยของใต้เท้าได้แม่น ที่จริงใต้เท้าขุนนางเมืองที่น่ากลัวเหมือนราชาปีศาจในสายตาของคนในยุทธจักรพวกนั้นเป็นคนสบายๆ และเป็นกันเองมาก
ไม่นานนัก การปรับปรุงรอบที่ว่าการครั้งยิ่งใหญ่ก็เริ่มขึ้น
ชาวยุทธ์ทั้งหลายถูกแบ่งกลุ่มปล่อยตัวออกมาจากคุก แต่ยังคงให้สวมโซ่ตรวน ในมือถือจอบ สิ่ว ถังน้ำ อุปกรณ์ต่างๆ เริ่มขุดเจาะทางน้ำ ขุดรังมด ขุดหลุม ขนย้ายหินก้อนใหญ่ ปลูกต้นไม้ตามเงื่อนไขของ ‘วิศวกร’ หลี่เจาเฉิน ภายใต้การควบคุมของเหล่าองครักษ์
เหล่าจอมยุทธ์ที่อดีตองอาจผ่าเผยในยุทธจักรพายัพ เรื่องที่ทำล้วนเป็นประเภทวางเพลิงฆ่าคน วันนี้กลับทำการเกษตรอย่างเชื่อฟัง ภาพนี้ช่างตลกขบขันยิ่งนัก ทว่าพวกเขาแต่ละคนกล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูด แม้แต่ ‘หนึ่งกระบี่มังกรฟ้า’ ตงฟางเจี้ยน และ ‘มือเหล็กสะท้านฟ้า’ เถี่ยเจิ้นตง คนหนึ่งมือถือจอบ คนหนึ่งแบกตะกร้าสาน ทำงานอย่างเชื่อฟัง
เรื่องนายทะเบียนและผู้ช่วยขุนนางเมืองคนใหม่ถูกสังหาร สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์พ่ายแพ้กลับไป ยอดผู้อาวุโสของสองสำนักถูกคุมตัวไว้ เรื่องพวกนี้พวกเขาก็ได้ยินแล้ว อีกทั้งยังมีข่าวลือพิลึกพิลั่นกระจายไปในหมู่นักโทษ พูดกันว่าหลี่มู่เป็นร่างแปลงของปีศาจ กินเนื้อคน ดื่มเลือดคน ชอบทรมานคน ชอบดองผักหมักเนื้อคนต่างๆ นานา…
เรื่องเล่าพวกนี้ทำให้พวกกล้าตายต่างกลัวจนขวัญกระเจิง
พวกเขากล้าก่อเรื่องอีกเสียที่ไหน เพราะกลัวว่าวันใดราชาปีศาจหลี่มู่อารมณ์ไม่ดี จะจับพวกเขามาควักหัวใจกินแกล้มสุรา ดังนั้นท่าทีที่แสดงออกมาจะให้ว่าง่ายเท่าไหร่ก็ว่าง่ายเท่านั้น เชื่อฟังเหล่าพัศดีเป็นที่สุด ไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย
ขั้นตอนนี้หลี่มู่ไม่ได้สนใจมากนัก และไม่ลงไปตรวจสอบเองด้วย
เพราะบนกระดาษที่เขามอบให้หลี่เจาเฉินเป็นเพียงขั้นตอนการปรับภูมิทัศน์ง่ายๆ บางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นขุดบ่อน้ำใหม่รอบที่ว่าการ ชักน้ำบาดาลสร้างธารน้ำ จัดวางภูเขาจำลอง กำจัดรังมด ปลูกต้นไม้ ต่อให้มีคนแอบสังเกตก็ไม่อาจมองความลี้ลับอะไรจากขั้นตอนง่ายๆ พวกนี้ออก
แน่นอน ความเคลื่อนไหวเช่นนี้ยังดึงความสนใจจากผู้ที่มีใจมุ่งมั่นบางคน
ยกตัวอย่างเช่น ‘สุภาพบุรุษวาโย’ หวางเฉิน
จอมเวทวัยกลางคนชุดดำคนนี้มายังนอกที่ว่าการอำเภอทุกวัน ยืนสำรวจอย่างไม่ล้ำเส้น
เขามองออกว่าวัสดุที่ใช้ปรับปรุงรอบที่ว่าการ โดยพื้นฐานแล้วเป็นของที่หลี่มู่ ‘ขูดรีด’ มาจากมือของบรรดาสำนักในยุทธจักรเช่นพรรคมังกรฟ้าในวันนั้น
ในความทรงจำของเขา ขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์คนนี้ไม่ใช่คนรักสนุกนี่
ยิ่งดูยิ่งเดาไม่ออก ในใจของเขาก็ยิ่งสงสัย
ต่อให้กลับมาที่หอสูงส่วนพระองค์ ในใจก็ยังขบคิด
บนหอสูง เด็กชายตัวน้อยฉินเจิ้งหมอบอยู่ข้างหน้าต่างชั้นบนสุดของหอสูง ทำการบ้านของทุกวัน องค์หญิงฉินเจินสวมกระโปรงยาวเรียบง่าย ไร้เครื่องประทินโฉม คิ้วตางามดั่งภาพวาด ยืนอยู่ในระเบียงทางเดินนอกหน้าต่างพลางมองไปข้างนอก
“ท่านอาจารย์หวาง”
ฉินเจิ้งเห็นหวางเฉินมาถึง ก็ลุกขึ้นทำความเคารพอย่างนอบน้อม
หวางเฉินยิ้มและพยักหน้า ก่อนให้เขาทำการบ้านต่อ ส่วนตัวเองเดินมายังระเบียงทางเดินด้านนอก
เขาพบว่าทิศที่องค์หญิงฉินเจินมองคือตำแหน่งที่ตั้งของที่ว่าการ
ทั้งอำเภอขาวพิสุทธิ์สร้างขึ้นติดภูเขา ที่ว่าการอำเภอตั้งอยู่บนส่วนยอดสุด ตำแหน่งสูงที่สุด ส่วนตำแหน่งหอเอื้องสุคนธ์ของพวกหวางเฉินตั้งอยู่ข้างล่างที่ว่าการ แต่เพราะหอมีทั้งหมดหกชั้น สูงสิบกว่าจั้ง ยามยืนอยู่บนทางเดินชั้นบนสุดจึงมองเห็นที่ว่าการได้พอดี
“ฝ่าบาทเดาออกหรือไม่ว่าขุนนางเมืองน้อยคนนี้จะทำอะไร?” หวางเฉินอมยิ้มกล่าวเปิดประเด็น
ฉินเจินส่ายหน้าเบาๆ ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เดาไม่ออก”
ถึงแม้ความรู้สึกที่นางมีต่อหลี่มู่จะไม่ดี ซ้ำยังเหยียดหยามคุณลักษณะประจำตัวของหลี่มู่ แต่ไม่มีทางมองความสามารถของหลี่มู่ต่ำต้อยเพราะเหตุนี้แน่ ในฐานะที่เป็นชนชั้นปกครองซึ่งผ่านลมฝนของเมืองหลวงมา ฉินเจินแยกความแตกต่างของคุณลักษณะประจำตัวกับความสามารถออกชัดเจน นางจึงไม่คิดง่ายๆ ว่าการปรับปรุงที่ว่าการครั้งนี้เป็นเพียงการไขว่คว้าหาความสุขของหลี่มู่
นางเดาไม่ออกว่าหลี่มู่จะทำอะไร
แน่นอน นางก็ไม่ยินดีจะเปลืองแรงคิดด้านนี้มากนัก
เพราะนางไม่สนใจจะดึงขุนนางเมืองที่ไร้คุณธรรม ละโมบ และโหดร้ายมาเป็นพวก ต่อให้หวางเฉินชมหลี่มู่อยู่กลายๆ หลายต่อหลายครั้ง นางก็ยังคงไม่สนใจ ยิ่งได้ยินเรื่องบางอย่างที่เกี่ยวข้องมากขึ้น นางก็ยิ่งไม่พอใจหลี่มู่
งูกัดครั้งหนึ่งกลัวเชือกไปอีกสิบปี นางไม่อยากซ้ำรอยเดิมอีกแล้ว
ถึงขั้นหลี่มู่หน้าตาเป็นเช่นไร ฉินเจินก็ไม่สนใจอยากรู้
“ข้าก็เดาไม่ออกเช่นกัน” หวางเฉินเดินมา ถอนหายใจแล้วกล่าว “ข้าสังหรณ์ว่าเขากำลังทำการใหญ่อยู่ แต่กลับสันนิษฐานจับต้นชนปลายไม่ได้เลย หลายปีมานี้ หลี่มู่คนนี้เป็นอัจฉริยะประหลาดเพียงคนเดียวที่ข้ามองไม่ออก”
ฉินเจินไม่รับคำ
ในใจของหวางเฉินทอดถอนใจ
เขารู้ปมในใจขององค์หญิง แต่ไม่รู้จะแก้อย่างไร หากพลาดจากหลี่มู่ไป จะเป็นความเสียหายอย่างใหญ่หลวงแน่นอน ในใจของหวางฉินร้อนรนนัก แต่เรื่องนี้กลับไม่อาจเร่งรัดได้
ฉินเจินดึงสายตากลับมา พูดขึ้นว่า “ทางตะวันออกส่งข่าวมารึยัง?”
สายตาของหวางเฉินจับจ้องมาทันที ในดวงตาฉายแววกังวล “ยืนยันแล้ว ภรรยาม่ายและลูกของแม่ทัพถังจะถูกตัวส่งไปเมืองฉางอันอีกสิบวันให้หลัง”
ฉินเจินหยักหน้า ยืนอยู่ที่เดิมเงียบๆ และครุ่นคิดประเมินอยู่นาน
สุดท้าย ในดวงตาคู่งามขององค์หญิงผู้นี้ฉายแววเด็ดเดี่ยว วงคิ้วผ่อนคลายลง “สิบวันให้หลัง? เร็วขนาดนี้เชียว… ได้ เช่นนั้นเจ็ดวันให้หลังพวกเราจะออกเดินทาง ปลอมตัวแอบไปเมืองฉางอันสักรอบหนึ่งแล้วกัน อาจารย์หวาง ท่านเตรียมการล่วงหน้าด้วย”
“เรื่องนี้…” หวางเฉินได้ยินดังนั้น สีหน้าเปลี่ยนไปทันที “ฝ่าบาทจะไปด้วยพระองค์เอง? ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
……………………………………………………
[1] ต้าหลัวจินเซียน เซียนผู้อยู่ในดินแดนไตรวิสุทธิ (ภูมิสวรรค์ชั้นสูงสุดตามคัมภีร์เต๋า) ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่ดับสูญ