จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 115 สิบเท่า
ใช่แล้ว ที่ว่าการอำเภอเปลี่ยนไป
ยามงูอัสนีสีม่วงเลือนหาย ขณะเดียวกับที่เมฆดำลอยต่ำบนท้องฟ้าหายไป ไม่รู้ว่าละอองหมอกสีขาวเหมือนผ้าโปร่งจากไหนปกคลุมทั่วทั้งที่ว่าการอำเภอขาวพิสุทธิ์เอาไว้
ภายใต้การปกคลุมของละอองหมอกขาว ไม่ว่ามองจากทางไหน ทั่วทั้งที่ว่าการก็ดูคลุมเครือ เห็นประตูกำแพงอยู่รางๆ สิ่งก่อสร้างข้างในเดี๋ยวเลือนหายเดี๋ยวปรากฏ ไม่ว่ามองจากระยะไหนล้วนชวนให้รู้สึกมีระยะห่างอย่างไม่อาจควบคุม ที่ว่าการอำเภอเหมือนใกล้แค่เอื้อม แต่ก็เหมือนอยู่ไกลสุดขอบฟ้า ยากจะเข้าไปใกล้ได้
บนทางเดินชั้นหกของหอเอื้องสุคนธ์ ฉินเจินและหวางเฉินต่างตกอยู่ในความตื่นตะลึงและสงสัยอย่างหนัก
พวกเขาทั้งสองล้วนเป็นยอดฝีมือ ดังนั้นจึงสัมผัสได้ชัดเจนและลึกซึ้งยิ่งกว่า
พริบตาที่สายฟ้าสีม่วงหายไป ไม่ว่าจะกระตุ้นพลังดวงตาอย่างไร จากตำแหน่งที่พวกเขามองไปก็ไม่อาจมองรูปร่างแท้จริงของที่ว่าการได้ชัด หมอกสีขาวบางๆ สกัดกั้นทุกอย่าง แฝงด้วยพลังเซียนแปลกประหลาด ทำให้ทั่วทั้งที่ว่าการอำเภอเหมือนถูกปิดกั้นจากโลกใบนี้ ราวกับอยู่ในแดนเซียนอย่างไรอย่างนั้น
ความรู้สึกแบบนี้ช่างพิลึกเสียจริงๆ
ตอนนี้เป็นเวลากลางวันชัดๆ แต่ทั้งที่ว่าการราวกับซ่อนตัวอยู่ใต้แสงอาทิตย์ มองเห็นไม่ชัด เลือนรางเป็นอย่างยิ่ง หากฝืนจ้องครรลองสายตาจะถึงขั้นมีภาพลวงตาบางอย่างปรากฏ เหมือนมีระลอกคลื่นไร้รูปร่างกระเพื่อมอยู่ข้างนอกที่ว่าการอำเภอ แม้แต่เส้นแสงก็ยังบิดเบี้ยว
“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หวางเฉินตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก
เขาไม่เคยได้ยินว่ามีวิชาเวทอะไรที่มีพลังสกัดกั้นสายตาและหักเหแสงได้
อีกทั้งในฐานะจอมเวท เขายังสัมผัสได้ว่าพลังกลุ่มหนึ่งที่น่ากลัวยิ่งปกคลุมทั้งที่ว่าการอำเภอไว้ หรือพูดให้ชัดเจนขึ้นอีกหน่อยก็คือ ‘ปกป้อง’ ทั้งสิ่งปลูกสร้าง ทำให้คนรู้สึกว่าหากมีพลังของศัตรูที่อยู่ด้านนอกลองโจมตีละก็ จะต้องเหนี่ยวนำการปะทุของพลังกลุ่มนี้แล้วโจมตีกลับราวสายฟ้าฟาดอย่างแน่นอน
ความรู้สึกแบบนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน
……
ในที่ว่าการอำเภอ
หลี่มู่หายใจหอบ
“บ้าเอ๊ย…เกือบเล่นใหญ่เกินแล้วไง”
เขาคิดไม่ถึงว่าวิชา ‘เหนี่ยวอัสนีสวรรค์’ ที่ซินแสเฒ่ามักพูดอย่างสบายๆ อยู่บ่อยครั้ง เวลาสำแดงขึ้นมาจะสิ้นเปลืองแรงใจแรงกายถึงเพียงนี้ ด้วยพลังจิตวิญญาณและความแข็งแกร่งของกายเนื้อเขา คงสภาพได้แค่เวลาหนึ่งถ้วยชาก็เกือบโดนดูดจนแห้งแล้ว
แน่นอน พลังของ ‘เหนี่ยวอัสนีสวรรค์’ มากมายจริงๆ
เมื่อย้อนนึกถึงภาพที่สายฟ้าสีม่วงเริงระบำทั่วฟ้าเมื่อครู่ หลี่มู่ยังรู้สึกตัวชาเป็นระยะๆ
พลังแบบนั้นน่ากลัวเกินไปแล้ว
หากไม่ใช่ว่าช่วงเวลาสุดท้าย ‘ค่ายกลดาราพิฆาต’ ทำงานขึ้นพอดี ดังนั้นเขาจึงหยุดประสานปางมือและสลาย ‘เหนี่ยวอัสนีสวรรค์’ ถ้าขืนปล่อยให้พลังนั่นปะทุต่อไป เกรงว่าทั้งที่ว่าการอำเภอ…ไม่สิ ทั้งอำเภอขาวพิสุทธิ์อาจจะถูกพลังของสายฟ้าทำลาย
พลังของ ‘เหนี่ยวอัสนีสวรรค์’ เหมือนระเบิดปรมาณูอย่างไรอย่างนั้น
ลองคิดภาพดู ระหว่างสู้กับศัตรูหรืออยู่ในกองทัพ ถ้าสำแดงพลังวิชาอัสนีเช่นนี้ เกรงว่ากองทัพนับพันนับหมื่นคงกลายเป็นเถ้าธุลีสลายไปในชั่วพริบตา
นอกจากจะต้องใช้เวลาเตรียมการนานหน่อย ทั้งยังต้องอยู่ในพื้นที่ที่แน่นอน ‘เหนี่ยวอัสนีสวรรค์’ คืออาวุธพิฆาตโจมตีที่อยู่ฝ่ายเดียวชัดๆ
หลี่มู่โคจร ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ฟื้นฟูพลัง
หลังจากนั้นสักครู่เขาก็ฟื้นคืนพลัง และเริ่มวางค่ายกลต่อ
ค่ายกลที่เขาวางชื่อว่า ‘ค่ายกลดาราพิฆาต’
ค่ายกลนี้คือค่ายกลเซียนที่พบเห็นบ่อยที่สุดตามที่ซินแสเฒ่าเคยพูดไว้ตอนนั้น สามารถติดต่อกับดวงดาวสามสิบหกดวงและดาราพิฆาตทั้งเจ็ดสิบสองในกลุ่มดาวเหนือได้ จากนั้นอาศัยพลังของดวงดาวร้อยแปดดวงมาปกป้องบ้านเรือนหรือสำนักต่างๆ
จากคำของซินแสเฒ่า ค่ายกลนี้เป็นของธรรมดายอดนิยมในแดนเซียน
แน่นอนว่าระดับที่ว่าเป็นแค่คำพูดของซินแสเฒ่าเท่านั้น
บนดาวดวงนี้ อานุภาพของ ‘ค่ายกลดาราพิฆาต’ สะท้านไปทั้งโลกได้
‘พลังที่เหนี่ยวนำมาเมื่อครู่ เป็นแค่พลังของดวงดาวสามสิบหกดวงเท่านั้น’
หลี่มู่คิดในใจ
อาวุธเวทหยกที่แกะสลักเรียบร้อยถูกฝังลงไปในบ่อทั้งสามสิบหกบ่อ เป็นตัวแทนดวงดาวสามสิบหกดวง สามารถดูดซับพลังของดวงดาวได้
ต่อไปควรจะเหนี่ยวนำพลังของดาราพิฆาตทั้งเจ็ดสิบสองดวงแล้ว
สายตาของหลี่มู่มองไปยังภูเขาจำลองทั้งเจ็ดสิบสองลูกที่จัดวางรอบที่ว่าการอำเภอ
ภูเขาจำลองเจ็ดสิบสองลูก แทนดาราพิฆาตเจ็ดสิบสองดวง
แต่ว่าตำแหน่งภูเขาจำลองทั้งเจ็ดสิบสองบนกระดาษที่หลี่มู่วาดเอาไว้ก่อนหน้า แท้จริงแล้วไม่ถูกต้อง ตำแหน่งถูกสลับมั่วหมด นี่ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ยอดฝีมือในยุทธจักรที่จับตามอง ‘งานปรับปรุง’ จดจำตำแหน่งของภูเขาจำลองแล้ววิเคราะห์อะไรออกมาได้
ราชาปีศาจหลี่มู่ ที่จริงเป็นหญิงแพศยามากเล่ห์
ตอนนี้สิ่งที่หลี่มู่ต้องทำก็คือวางภูเขาจำลองพวกนี้ไว้ในตำแหน่งที่ถูกต้อง
ถึงแม้ภูเขาจำลองทุกลูกจะหนักหลายหมื่นจิน แต่สำหรับหลี่มู่ที่พลังมหาศาล นี่เป็นเรื่องที่ง่ายมากไม่ต่างจากเด็กน้อยเล่นตัวต่อไม้
หลังจากนั้นหนึ่งก้านธูป หลี่มู่ก็ย้ายภูเขาจำลองทั้งเจ็ดสิบสองลูกเสร็จสิ้น
“ที่สุดท้ายแล้ว”
หลี่มู่ยกภูเขาจำลองลูกสุดท้ายมาวางไว้ในตำแหน่งที่ถูกต้องด้วยมือเดียว
ครืน
พริบตาที่ภูเขาจำลองแตะพื้น ผืนดินก็สั่นไหว
ผืนดินทั่วบริเวณหลายพันจั้งประหนึ่งมีระลอกคลื่นแผ่ออกมาโดยมีที่ว่าการเป็นศูนย์กลาง
หลังจากนั้น คนทั่วทั้งอำเภอขาวพิสุทธิ์สัมผัสได้ถึงความหวาดหวั่นสั่นกลัว
ราวกับว่าจุดลึกใต้ดินมีตัวอะไรหลับสนิทอยู่แล้วถูกทำให้ตกใจ พลังที่เลือนรางอย่างยิ่งกะพริบวูบแล้วหายไป ภูเขาจำลองเจ็ดสิบสองลูกส่งแรงสั่นสะเทือนที่มีเพียงหลี่มู่เท่านั้นที่สัมผัสได้ออกมาในเวลาเดียวกัน เสมือนได้รับจิตวิญญาณบางอย่าง
จากนั้นระลอกคลื่นจิตวิญญาณนี้ก็เริ่มแผ่ขยายไปทั้งในและนอกที่ว่าการอำเภอ
โลกในสายตาหลี่มู่พลันแจ่มชัดมีชีวิตชีวา ราวกับทิวทัศน์รอบที่ว่าการแต่เดิมเป็นเพียงภาพขาวดำ แล้วพลันระบายด้วยสีสันหลากหลาย ‘ค่ายกลดาราพิฆาต’ ขับเคลื่อนแล้วโดยสมบูรณ์ พลังดวงดาวและดาราพิฆาตเริ่มผสานกันอย่างเต็มที่
จากนั้นพลังวิญญาณในฟ้าดินทั่วบริเวณหลายสิบลี้ถาโถมมารวมตัวกันที่นี่ โดยมีที่ว่าการเป็นจุดศูนย์กลาง
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น คนทั่วไปจึงสัมผัสอะไรไม่ได้
แต่ผู้แข็งแกร่งด้านยุทธ์กลับสัมผัสได้
หลี่มู่ถึงแม้จะไม่เคยฝึกได้กำลังภายใน แต่เพราะ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ การสัมผัสรับรู้พลังวิญญาณในฟ้าดินของเขาจึงว่องไวเป็นที่สุด เสี้ยวขณะนี้ เขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าระดับความเข้มข้นของพลังวิญญาณทั่วที่ว่าการอำเภอกำลังยกระดับขึ้นด้วยความเร็วอันบ้าคลั่ง
“เรานี่เป็นหมูโง่จริงๆ”
หลี่มู่พลันตระหนักได้ถึงอะไร จึงตบหน้าผากตัวเองพลางร้องลั่น
ค่ายกล
นี่ต่างหากถึงจะเป็นการใช้งานได้อย่างยอดเยี่ยมที่แท้จริงของค่ายกล
รวมพลัง คือหนึ่งในประโยชน์ของค่ายกล
ค่ายกลไม่ใช่เพียงนำมาใช้สู้รบ สังหารศัตรู หรือสกัดกั้นศัตรูเท่านั้น แต่ยังสามารถนำมาเปลี่ยนสภาพแวดล้อม ทำให้พื้นที่รกร้างแห้งแล้งกลายเป็นที่อุดมสมบูรณ์ สามารถทำให้ภูเขาดินหัวโล้นกลายเป็นภูเขาเขียวขจี ทำให้ภูเขาเขียวขจีกลายเป็นพื้นที่ฮวงจุ้ยล้ำค่า และทำให้พื้นที่ฮวงจุ้ยล้ำค่ากลายเป็นแดนเซียน
สิ่งที่จอมยุทธ์ผู้ฝึกตนต้องการคืออะไร?
สิ่งนั้นคือพลังวิญญาณ
ไม่ว่าจะเป็นพลังเวทของจอมเวทหรือกำลังภายในของยอดยุทธ์ ล้วนเป็นการพลิกแพลงและใช้งานพลังวิญญาณทั้งสิ้น
ไม่ว่าการรวบรวมพลังเวทหรือฝึกฝนกำลังภายใน อันที่จริงล้วนเป็นขั้นตอนการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินมาไว้ในกายของตน
กัวอวี่ชิงเคยพูดเอาไว้ หลี่มู่ฝึกฝนกำลังภายในออกมาไม่ได้ เป็นไปได้มากว่าเพราะพลังวิญญาณทั่วไปไม่อาจเข้ากับกายเนื้อที่แข็งแกร่งของเขา จำต้องไปลองดูในดินแดนเซียนระดับตำนานเหล่านั้น บางทีอาจดูดซับพลังวิญญาณชั้นดีแล้วฝึกฝนกำลังภายในออกมาได้
ทว่าแดนเซียนโดยปกติแล้วหาได้ง่ายอย่างนั้นเสียที่ไหน
แดนเซียนที่โลกรู้จักบางแห่ง สำนักชั้นยอดและราชวงศ์ก็ยึดครองไปแล้ว
ก่อนหน้านี้เขาก็ค่อนข้างอับจนหนทาง
ทว่าชั่วขณะที่ ‘ค่ายกลดาราพิฆาต’ สำเร็จ เขาพลันตระหนักได้ว่าตัวเองผิดพลาดอย่างมหันต์ ไม่ต้องไปหาแดนเซียนที่ไหนเลย ในเมื่อตนเองสามารถสร้างแดนเซียนออกมาเอง เพราะจัดวางค่ายกลได้
แต่ก่อนความสนใจทั้งหมดของเขาอยู่ที่ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ และ ‘หมัดยุทธ์แท้’ เพราะสองวิชานี้คือวิชาที่ซินแสเฒ่าคอยคุมอย่างเข้มงวดที่สุดยามอยู่บนโลก บังคับให้เขาฝึกฝนมาสิบกว่าปี ทำให้เขาละเลยไปว่าแท้จริงแล้ว นอกจาก ‘วิชาก่อนกำเนิด’ และ ‘หมัดยุทธ์แท้’ ซินแสเฒ่ายังสอนอะไรมั่วซั่วให้ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจอีกมาก
ยกตัวอย่างเช่น ค่ายกล
ซินแสเฒ่าเคยบรรยายถึงอานุภาพและประโยชน์ของค่ายกลเสียฟองฟอด
แต่ยามที่อยู่บนโลก เขากลับหัวเราะและปล่อยผ่านไป
ต่อให้ซินแสเฒ่าบังคับให้ท่องจำ เขาก็ไม่เคยคิดว่าสิ่งเก่าทั้งสี่[1]ที่งมงายขนาดนี้จะมีประโยชน์จริงอะไร
ความคิดแบบนี้ ต่อให้หลังจากมาถึงโลกใบนี้แล้วก็ยังมีอยู่ตลอด
ทว่าตอนนี้ ขณะสัมผัสระดับความเข้มข้นของพลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่ขาดสายทั้งในและนอกที่ว่าการ ขอแค่อยู่ในพื้นที่ที่ค่ายกลปกคลุม หลี่มู่ตระหนักได้ว่าถึงแม้ตนยกระดับมุมมองและความคิดที่มีต่อซินแสเฒ่าครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ยังไม่อาจเข้าใจความหมายของวิชาและความรู้ที่อาจารย์ถ่ายทอดให้ตนได้อย่างแท้จริง
พลังวิญญาณในค่ายกลเพิ่มขึ้นไม่หยุด
สุดท้าย หลังจากเพิ่มขึ้นประมาณสิบเท่าของระดับปกติก็เริ่มนิ่งลง
เรื่องอัศจรรย์บังเกิดขึ้นแล้ว
เมื่อได้รับการหล่อเลี้ยงจากพลังฟ้าวิญญาณ ต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่ในค่ายกลเหมือนจะเขียวขจีขึ้น ดอกไม้บางดอกที่เริ่มแห้งเหี่ยวกลับเบ่งบานงดงามใหม่อย่างไม่น่าเชื่อ ใบไม้หงิกงอใกล้หลุดร่วงบนต้นไม้ที่ปลูกใหม่พวกนั้นก็แผ่ใบเขียวชอุ่มชุ่มชื่น ราวกับว่าเวลาหมุนไปยามวสันต์ปีหน้า
หลี่มู่หายใจเฮือกใหญ่ อากาศหวานชุ่มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
‘ค่ายกลนี่ช่างมีพลังช่วงชิงความดีงามจากธรรมชาติจริงๆ ‘ค่ายกลดาราพิฆาต’ มีอานุภาพป้องกันโจมตีกลับเป็นหลัก ไม่ใช่ค่ายกลรวมพลัง แต่กลับยังมีผลถึงเพียงนี้ หากใน ‘ค่ายกลดาราพิฆาต’ ผสานค่ายกลรวมพลังไปด้วยละก็ ผลลัพธ์จะต้องยิ่งน่ากลัวขึ้นอีกแน่ ถ้าสามารถรวมพลังฟ้าดินให้เข้มข้นขึ้น ผลของการฝึกฝนก็จะยิ่งดีขึ้น’
หลี่มู่ปล่อยความคิด เริ่มจินตนาการไปไกล
แต่ว่าเขาก็รู้ดี ต่อให้เป็นค่ายกลรวมพลังทั่วไปก็วางไม่ได้ง่ายๆ
เรื่องนี้จึงทำได้แค่วางเอาไว้ก่อน รอให้การเดินทางไปเมืองฉางอันของเขาจบสิ้นลงค่อยทำให้สมบูรณ์กว่าเดิม
……………………………………………………
[1] สิ่งเก่าทั้งสี่ ได้แก่ ความคิดแบบเก่า วัฒนธรรมแบบเก่า ประเพณีแบบเก่า นิสัยแบบเก่า เป็นสโลแกนที่ปลุกเร้าให้ยุวชนเรดการ์ดขจัดภัยทั้งสี่นี้ให้สิ้นในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม