จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 116 เลี้ยงหมูปลูกผัก
หลี่มู่เดินอยู่ในค่ายกล เริ่มเก็บรายละเอียดบางอย่างขั้นต่อไป
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาวางค่ายกล หลายแห่งเป็นสิ่งที่เขาอนุมานออกมา ดังนั้นจึงต้องระวังเอาไว้
ไม่นานนัก ภายใต้การปรับของหลี่มู่ การขับเคลื่อน ‘ค่ายกลดาราพิฆาต’ จึงทำได้ราบรื่นขึ้นเรื่อยๆ
เหมือนรถใหม่เมื่อผ่านการปรับสภาพเครื่องยนต์แล้ว ถึงจะสำแดงความเร็วที่แท้จริงออกมา
ยกตัวอย่างเช่นเมื่อครู่ ในยามที่กระตุ้นพลังของดวงดาวทำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดทั่วทั้งที่ว่าการ จุดนี้เป็นสิ่งที่เขารู้ และหลังจากกระตุ้นพลังของดาราพิฆาต พลังหยินหยางทั้งสองปรับสมดุลแล้ว เหตุการณ์ประหลาดถึงค่อยๆ สงบลง พลังทั้งหมดถูกควบคุมเอาไว้ ราวกับลบล้างทุกสิ่งกลับคืนสู่สภาพปกติ
โดยเฉพาะจากการที่หลี่มู่ปรับสมดุล ‘ค่ายกลดาราพิฆาต’ อยู่ตลอด เหตุการณ์ประหลาดจึงหายไปโดยสิ้นเชิง
เช่นนี้แล้ว ต่อให้มียอดฝีมือมาถึงที่ว่าการก็ไม่มีทางสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
มองภูเขาก็ยังเป็นภูเขา มองสายน้ำก็ยังเป็นสายน้ำ มองต้นไม้ใบหญ้าหินผาไม่มีอะไรแตกต่างไป
เช่นนี้ไม่มีทางก่อให้เกิดเรื่องยุ่งยากหรือถูกจ้องจับตามองเป็นมันโดยไม่จำเป็นแล้ว
แน่นอน หากมีคนไม่รักษากฎฝืนบุกเข้ามาตกอยู่ในค่ายกล ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปในเพียงชั่วพริบตา
ถึงตอนนั้นเกิดการปะทุของพลังดาราพิฆาต จิตสังหารก็จะปรากฏขึ้น ฟ้าดินจะผันเปลี่ยนทันที
ต่อให้เป็นกองทัพนับพันนับหมื่น เกรงว่าคงเข้าได้ออกไม่ได้
ขอแค่หลี่มู่ยินดีก็สามารถควบคุมค่ายกล เปลี่ยนแปลงทุกสรรพสิ่ง กักขังหรือสังหารยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ไว้ในค่ายกลดาราพิฆาตได้ทันที ราวกับเป็นเขาวงกตก็ไม่ปาน
……
“อีกแล้ว…กลับเป็นปกติอีกแล้ว?”
หวางเฉินตื่นตะลึงอีกครั้ง
ฉินเจินที่อยู่ข้างๆ ก็รู้สึกตกใจเช่นกัน
เพราะพวกเขาพบเห็นสิ่งที่ยากจะเข้าใจได้ ที่ว่าการอำเภอขาวพิสุทธิ์กลับมามองเห็นได้อีกแล้ว ทั้งต้นไม้ใบหญ้า สายธารภูเขาจำลอง ประตูกำแพง อาคารบ้านเรือน ล้วนมองเห็นได้อย่างชัดเจน แสงอาทิตย์เพียงสาดส่องมา หมอกสีขาวที่ปกคลุมทั่วทั้งที่ว่าการก่อนหน้านี้หายไปโดยสิ้นเชิง และไอเซียนลึกลับนั่นก็หายไปตามกัน
ที่ว่าการกลับสู่สภาพปกติ
ราวกับทุกอย่างก่อนหน้านี้เป็นภาพลวงตา ที่จริงแล้วไม่เคยเกิดขึ้นเลย
แต่ว่า ไม่ว่าจะเป็นฉินเจินหรือหวางเฉินก็ไม่มีทางคิดว่าทุกอย่างเมื่อครู่เป็นภาพลวงตาจริงๆ
เพราะลางสังหรณ์บอกเขาว่า ที่ว่าการเบื้องหน้านี้เปลี่ยนไปแล้ว
“องค์หญิง ขออภัยที่ข้าพูดตรงๆ หลี่มู่คนนี้ภูมิหลังลึกลับ ไม่เพียงแต่พลังเป็นเลิศ เบื้องหลังอาจจะมีขั้วอำนาจชั้นยอดสนับสนุนอยู่ หากองค์หญิงดึงเขามาเป็นพวกได้ บางที…” หวางเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากโน้มน้าวอีกครั้ง
ความตื่นตะลึงและประหลาดใจแต่ละครั้งล้วนมาจากหลี่มู่ เขาต้องยกระดับการประเมินหลี่มู่ขึ้นอีกครั้ง ยกตัวอย่างเช่นครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าในที่ว่าการซ่อนจอมเวทขั้นยอดปรมาจารย์ซึ่งอาจเป็นคนในสำนักของหลี่มู่เอาไว้ บุคคลเช่นนี้หากนำไปไว้ในสักจักรวรรดิในบรรดาทั้งสาม ก็นับว่าเป็นระดับอาวุธทำลายล้างแล้ว ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ลำพังแค่บุคคลเช่นนี้ผู้หนึ่ง หากเลือกยืนอยู่ข้างฝ่ายองค์หญิง เช่นนั้นก็มากพอจะเปลี่ยนแปลงตำแหน่งในจักรวรรดิขององค์หญิงองค์ชายสองพี่น้องได้ อย่างน้อยก็มีพลังปกป้องตัวเอง
องค์หญิงฉินเจินยิ้มพูดขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ หรือท่านไม่เคยคิดว่าขั้วอำนาจเบื้องหลังหลี่มู่อาจหวังมากกว่านั้น และไม่ใช่ขั้วอำนาจที่พวกเราจะดึงมาได้?”
หวางเฉินนิ่งอึ้ง
เขาละเลยจุดนี้ไป
ใช่แล้ว ในโลกใบนี้มีผู้แข็งแกร่งยอดฝีมือมากมายนับไม่ถ้วน แต่ไม่มีทางมีจอมเวทขั้นยอดปรมาจารย์ที่ไร้ภูมิหลังโผล่ออกมาเฉยๆ แน่นอน ก่อนหน้านี้ตนปรารถนาจะดึงหลี่มู่มาเป็นพวกอย่างแรงกล้า ดังนั้นจึงไม่ได้พิจารณาถึงด้านนี้
ก่อนหน้านี้ หวางเฉินแค่รู้สึกว่าขุนนางเมืองน้อยหลี่มู่คนนี้เป็นคนในแวดวงขุนนางของจักรวรรดิ ขอแค่องค์หญิงมอบอำนาจและตำแหน่งให้ก็น่าจะดึงมาเป็นพวกได้ แต่คิดให้ละเอียดแล้ว ในเมื่อข้างหลังมีจอมเวทขั้นยอดปรมาจารย์อยู่ ไยหลี่มู่จึงพอใจเป็นแค่ขุนนางเมืองในเมืองเล็กๆ ในที่ไกลกันดารเช่นนี้?
บางที แท้จริงแล้วหลี่มู่อาจจะเป็นหมากที่ขั้วอำนาจอื่นของจักรวรรดิวางไว้ก็ได้?
หากเป็นเช่นนี้แล้วละก็…
หวางเฉินตระหนักได้ทันที ก่อนหน้านี้ตนคิดตื้นเขินไปเพราะความคิดแบบเดิมๆ เสียแล้ว
มิน่าเล่าตนยื่นไมตรีไปหลายต่อหลายครั้ง แต่หลี่มู่กลับไม่รับน้ำใจไว้เลยแม้แต่น้อย
“อาจารย์หวาง ช่วงนี้ท่านค่อนข้างร้อนรนนะ” ใบหน้างามล้ำของฉินเจินเผยความซาบซึ้งจริงใจ “ข้ารู้ว่าท่านร้อนใจเพื่อพวกเราพี่น้อง แต่ยิ่งรีบร้อนก็จะยิ่งช้าได้ ตอนนี้ดูแล้วหลี่มู่เป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งของขั้วอำนาจลึกลับเท่านั้น หมากตัวนี้วางเอาไว้อย่างโจ่งแจ้ง หมายความว่าตำแหน่งของเขาไม่สูง ตัดสินใจอะไรไม่ได้ เป็นแค่บุคคลเล็กๆ เท่านั้น ท่านอย่าได้สนใจให้มากเกินไป เพียงติดตามความเคลื่อนไหวของเขาอย่างใกล้ชิดก็พอ พวกเราแค่ติดต่อกับจอมเวทขั้นยอดปรมาจารย์เบื้องหลังของเขาคนนั้นหรือบุคคลคนอื่นๆ อีกระดับที่มีอำนาจพูดและตัดสินใจก็ได้แล้ว”
“องค์หญิง ข้าเข้าใจแล้ว” หวางเฉินพยักหน้ากล่าว
ในใจของเขาวางแผนแล้ว จะทำอย่างไรให้รู้ว่าขั้วอำนาจลึกลับเบื้องหลังหลี่มู่ตกลงแล้วเป็นใครจากที่ใดกันแน่
เรื่องนี้ยังต้องหาเบาะแสจากตัวของหลี่มู่อีก
ในเมื่อองค์หญิงไม่เสียดายที่จะคบค้ากับบุคคลเล็กๆ เช่นหลี่มู่ เช่นนั้นเรื่องแบบนี้ให้เขาไปทำก็แล้วกัน
สำหรับคำตำหนิอ้อมค้อมเมื่อครู่ เขาไม่ได้ใส่ใจนัก กระทั่งชาชินเสียแล้ว
คนต่างคิดว่า ‘สุภาพบุรุษวาโย’ หวางเฉินคือมันสมองข้างกายองค์หญิงฉินเจิน ผู้นำระดับสูงของจักรวรรดิฉินตะวันตกต่างมีความเห็นเหมือนกัน หลายคนคิดว่าเป็นเพราะมีความช่วยเหลือจากหวางเฉิน ฉินเจินถึงได้ผ่านลมฝนมากมายในเมืองฉินที่มีภัยอันตรายซุกซ่อนมาได้อย่างปลอดภัย และพาน้องเล็กที่ไม่เป็นที่โปรดปรานรวมถึงอำนาจที่กระจัดกระจายยืนหยัดมาได้นานถึงเพียงนั้น
แต่ว่าสิ่งที่ผู้คนไม่รู้ก็คือ ที่จริงการวางแผนและกลยุทธ์สำคัญมากมายในตอนนั้น แผนการที่ผู้คนมากมายจนถึงวันนี้ก็ยังคงมองว่าเป็นแผนการแยบคาย ผู้วางแผนที่แท้จริงก็คือตัวองค์หญิงฉินเจินที่ทั้งอ่อนเยาว์และงดงามผู้นี้เอง
เรื่องนี้มีเพียงแค่หวางเฉินที่รู้
ผู้ทรงปัญญาที่แท้จริงคือฉินเจิน
องค์หญิงที่มีรูปโฉมเป็นหนึ่ง ได้รับการขนานนามว่างดงามพิลาศสะกดใจที่สุดในประวัติศาสตร์ฉินตะวันตก แท้จริงแล้วมีสติปัญญาที่ยิ่งน่าตื่นตะลึงมากกว่าความงามของนาง เพียงแต่ตลอดมาเคยชินกับการซ่อนคมไว้ในฝักเสมอ
หวางเฉินแอบปรับสภาพจิตใจของตนหลังจากผ่านการเตือนสติจากฉินเจิน
“พี่หญิง อาจารย์หวาง พวกท่านสัมผัสได้หรือไม่ว่าพลังวิญญาณในหอเหมือนจะเข้มข้นกว่าปกติมาก” องค์ชายน้อยฉินเจิ้งพลันเอ่ยปากอย่างตื่นเต้น
เขาฝึกฝนวิชา ‘หยกจรัส’ จึงไวต่อระดับความเข้มข้นของพลังวิญญาณเป็นที่สุด
ฉินเจินพยักหน้า “ใช่แล้ว เข้มข้นขึ้นอย่างน้อยสามเท่า”
นางที่เป็นยอดฝีมือด้านยุทธ์แน่นอนว่ารู้สึกได้
แต่ว่า สำหรับนางเรื่องนี้ไม่ประหลาดอะไร
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นผลลัพธ์ปกติของพลังเวทที่สลายแผ่กระจาย หลังจากที่จอมเวทขั้นยอดปรมาจารย์ลึกลับในที่ว่าการคนนั้นสำแดงเวทอัสนีเมื่อครู่ ในเมื่อวิชาเวทอัสนีน่าสะพรึงกลัวขนาดนั้น พลังที่แฝงอยู่ย่อมน่ากลัวอย่างยิ่ง ต่อให้สำแดงเวทอัสนีเสร็จสิ้นแล้ว พลังวิญญาณฟ้าดินที่ฝืนรวบรวมมาพวกนั้นไม่มีทางหายไปหมดสิ้นในชั่วพริบตาแน่นอน แต่จะกระจายไปในอากาศ แล้วทำให้พลังวิญญาณรอบที่ว่าการเพิ่มขึ้นมหาศาล
นี่เป็นเหตุการณ์ปกติทั่วไป
ส่วนหวางเฉินเห็นได้ชัดว่ามีความคิดเหมือนกับองค์หญิงฉินเจิน ดังนั้นจึงไม่สนใจการเพิ่มขึ้นของระดับความเข้มข้นพลังวิญญาณในอากาศ
ผ่านไปอีกครึ่งวัน เมื่อพลังเวทของวิชาเวทอัสนีสลายไปจนหมด พลังฟ้าดินในอากาศก็จะค่อยๆ เบาบางลง
……
ในที่ว่าการ
หงส์ฟ้าน้อยจ้าวหลิงยืนอยู่ในสวนดอกไม้ข้างหลังที่ว่าการด้วยสีหน้าตื่นตะลึง
แน่นอนว่านางเห็นเหตุการณ์ประหลาดอัสนีฟาดผ่าเมื่อครู่ แต่ที่นางตกตะลึงไม่ใช่เพราะเหตุนี้
ไม่รู้จักหน้าตาของเขาหลูซาน ก็เพราะตัวอยู่ในเขาหลูซาน
บางทีอาจเป็นเพราะตัวอยู่ข้างใน จึงสัมผัสถึงความน่ากลัวของเหตุการณ์สายฟ้าประหลาดได้ไม่ชัดเจนเหมือนคนข้างนอก เมฆดำสายอัสนีบดบังไว้ ดังนั้นนางจึงมองไม่เห็นภาพด้านนอกที่ว่าการ นางยังคิดว่าทั่วทั้งอำเภอขาวพิสุทธิ์ล้วนถูกปกคลุมอยู่ในสายฟ้า ดังนั้นจึงมองการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นสภาพอากาศผิดปกติบริเวณกว้างอย่างหนึ่ง
สิ่งที่ทำให้นางอึ้งตะลึงก็คือ ในที่ว่าการอำเภอมีพลังวิญญาณเข้มข้นขึ้นมากกว่าสิบเท่า
มีเพียงจุดรวมชีพจรมังกรใต้ดินบางแห่งบนยอดเขาหลักของเขาขาวพิสุทธิ์เท่านั้น ถึงจะมีความเข้มข้นของพลังวิญญาณได้ถึงระดับนี้
แต่ที่แบบนั้น ต่อให้เป็นในสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ก็มีแค่สิบกว่าแห่ง มีเพียงผู้นำระดับสูงของสำนักและศิษย์หัวกะทิคนสำคัญที่แท้จริงจึงจะมีคุณสมบัติเข้าไปปิดด่านฝึกฝนข้างในนั้น ยกตัวอย่างเช่นอัจฉริยะเช่นพี่ชายของนางจ้าวอวี่ จ้าวหลิงเองถึงแม้จะเป็นอัจฉริยะ แต่เพราะยังไม่เข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ จึงไม่อาจได้รับสิทธิ์นั้นมา
“ฝึกฝนอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ประหยัดเวลาได้กว่าครึ่งเชียว”
จ้าวหลิงหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่อย่างละโมบ
หากสามารถฝึกฝนอยู่ในที่ที่พลังวิญญาณเพียงพอเช่นนี้หนึ่งปี เช่นนั้นก็ช่างเป็นเรื่องที่ดีนัก
ในใจของนางเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้น
แต่นางก็รู้ว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมเหตุการณ์ประหลาดที่สายฟ้าฟาดผ่าทำให้ระดับความเข้มข้นของพลังวิญญาณในอากาศเพิ่มขึ้นได้ แต่ที่ว่าการอำเภอแห่งนี้ไม่ใช่แดนเซียน ดังนั้นพลังวิญญาณเข้มข้นเช่นนี้จะต้องสลายหายไปตามเวลาที่ล่วงเลยแน่นอน สุดท้ายทุกอย่างก็จะกลับเป็นปกติ
ในตอนนี้เอง เสียงหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลัง
“แอบมาอู้อยู่ที่นี่อย่างนั้นรึ? คนป่วยที่ข้าให้เจ้าดูแลตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
หลี่มู่ปรากฏตัวข้างหลังจ้าวหลิงอย่างเงียบงัน
“เจ้า…มาตอนไหนกัน? แอบดูข้าอย่างนั้นรึ?” จ้าวหลิงตกใจสะดุ้ง หมุนตัวมองอย่างโมโห
“แอบดูมารดาเจ้าสิ” หลี่มู่ดีดหน้าผากของหงส์น้อยที่หยิ่งยโสคนนี้อย่างไม่เกรงใจ ก่อนจะเอ่ย “ข้าเป็นถึงขุนนางเมือง ทุกอย่างในที่ว่าการรวมถึงเจ้าล้วนเป็นของข้า จำเป็นต้องแอบดูหญิงรับใช้ที่ขนยังขึ้นไม่หมดแบบเจ้ารึไงกัน?”
“โอ๊ย เจ้า…” จ้าวหลิงร้องขึ้นอย่างเจ็บปวด โมโหจนกัดฟันกรอด แต่จนแล้วจนรอดก็หลบไม่พ้น หน้าผากโดนดีดจนปูด นางที่โมโหสุดๆ วู่วามชักกระบี่ยาวข้างเอวออกมา “เจ้าคนบ้าตัณหา หากมือไม้ยังอยู่ไม่สุขอยู่อีกละก็ ข้าจะสู้สุดชีวิตกับเจ้า…”
“ชิ” หลี่มู่ตวัดมือไปตามอารมณ์ กระบี่ยาวของจ้าวหลิงก็ถูกดันกลับเข้าไปในฝัก
เขากล่าวด้วยใบหน้าดูถูกว่า “อย่าหลงตัวเองนักเลย เจ้าหน้าตาอัปลักษณ์ขนาดนี้ ต่อให้ข้าหิวเลือกไม่ได้ ก็ไม่มีทางไปลวนลามเจ้าเด็ดขาด…ถามเจ้าอยู่นะ เจ้ารักษาพวกนายทะเบียนเฝิงเป็นอย่างไรบ้างแล้ว? อย่าลืมนะว่าเจ้าลงนามสัญญาเอาไว้แล้ว มีระยะเวลากำหนด”
บอกว่าข้าอัปลักษณ์?
นี่เจ้าตาบอดใช่หรือไม่
จ้าวหลิงโมโหจนใกล้เสียสติแล้วเต็มที แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ตอนนี้นางรู้อย่างลึกซึ้งแล้วว่า พลังของราชาปีศาจหลี่มู่น่ากลัวถึงเพียงใด
นางเทียบกับหลี่มู่แล้วไม่ใช่ระดับเดียวกันเลย
วิชากระบี่ที่โดดเด่นเหนือใครในพี่น้องรุ่นเดียวกันซึ่งนางภาคภูมิใจมาโดยตลอด เมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่มู่ก็เป็นเหมือนเรื่องตลกขำขัน ไม่มีโอกาสให้ต่อต้านใดๆ ทั้งสิ้น ไม่แปลกเลยที่ในตอนนั้นผู้อาวุโสโจวเจิ้นชิวจะพ่ายแพ้ทั้งที่ยังไม่ได้ต่อสู้
“แซ่เฝิงกับแซ่เจินลงจากเตียงเดินได้ตามอารมณ์แล้ว อย่างมากอีกสามวัน สะเก็ดแผลบนร่างก็จะหลุดออก ภายในสามเดือนรอยแผลจะจางหายไปจนหมด การฟื้นฟูการรับรู้ของแซ่หม่า อีกห้าวันจะสามารถลงจากเตียงได้ สำหรับเด็กรับใช้บัณฑิต ผลจากเลือดถ้วยนั้น ขาทั้งสองถือว่ารักษาเอาไว้ได้แล้ว แต่กล้ามเนื้อลีบอ่อนแรงอย่างสาหัส กระดูกก็เปราะบางมาก หากไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น คิดจะเดินเคลื่อนไหวก็ยากยิ่งนัก” นางกัดฟันเอ่ย
นิ่งไปครู่หนึ่ง ก็เอ่ยเสริมอีกว่า “แน่นอน หากความเข้มข้นของพลังวิญญาณในที่ว่าการคงอยู่ในสภาวะนี้ได้ เช่นนั้นผ่านไปอีกหกเจ็ดปี ไม่แน่ว่าบางทีเด็กรับใช้บัณฑิตน้อยอาจจะฝืนเดินเคลื่อนไหวได้ แต่ว่า…เหอะๆ เจ้าทำให้พลังวิญญาณมากเพียงพอเช่นนี้ไปตลอดได้รึ?”
“ระดับความเข้มข้นของพลังวิญญาณช่วยในการรักษาอาการบาดเจ็บรึ?” หลี่มู่ลิงโลด เพิกเฉยคำท้าทายของหงส์น้อยแล้วถามขึ้น
จ้าวหลิงเอ่ยพร้อมอาการดูถูกที่ฉายชัดบนใบหน้างดงาม “นี่เจ้าไม่รู้งั้นรึ? พลังวิญญาณย่อมสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ เพราะมันไม่เพียงแต่นำมาฝึกฝนกำลังภายในและพลังเวทได้ แต่ยังสามารถนำมาหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง เป็นพลังที่น่าอัศจรรย์ที่สุดในฟ้าดิน สถานที่ที่พลังวิญญาณมากเพียงพอ ต่อให้ปลูกหอมยักษ์ก็ยังหวานกว่าหอมยักษ์ที่ปลูกในพื้นที่ทั่วไป”
หลี่มู่หัวเราะลั่น
“เจ้าพูดถูกแล้ว ฮ่าๆ พรุ่งนี้ข้าจะสั่งให้ในที่ว่าการหักล้างถางพงทำเป็นสวนผัก เอามาปลูกหอมยักษ์ แครอท พริกแล้วก็ผักบุ้ง ฮ่าๆ ใช่แล้ว ยังต้องเลี้ยงไก่เป็ดหมูอีกด้วย ฮ่าๆๆ…” ในใจของหลี่มู่มีแผนการใหม่แล้ว
คำพูดโมโหของหงส์น้อยเอ่ยเตือนเขา
ที่ที่พลังวิญญาณเพียงพอ สิ่งที่เติบโตจะยิ่งมีพลังชีวิตและพลังมากกว่าสถานที่ทั่วไป พลังชนิดนี้สามารถเข้าไปในร่างกายของเขาผ่านวิธีกิน ร่างกายที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงจาก ‘วิชาก่อนกำเนิด’ และ ‘หมัดยุทธ์แท้’ ดูดซับมันไว้ และยกระดับความเร็วในการฝึกฝนของเขา นี่ก็เป็นหนึ่งในประโยชน์ของค่ายกลเช่นกัน
จากคำพรรณนาของซินแสเฒ่า ในอดีตสำนักเซียนพวกนั้นบุกเบิกนาศักดิ์สิทธิ์สวนศักดิ์สิทธิ์มาปลูกพืชพรรณธัญญาหารและสมุนไพรต่างๆ เชียวนะ หากกินอาหารเซียนพวกนี้เป็นเวลานาน จะสามารถทำให้กายของผู้ฝึกฝนยกระดับขึ้นใกล้เคียงกับกายฟ้าประทาน ฝึกฝนเคล็ดวิชาต่างๆ แล้วประหยัดเวลาไปได้กว่าครึ่ง พูดได้ว่าชนะได้ตั้งแต่จุดปล่อยตัว
เรื่องแบบนี้ หลี่มู่ในตอนนั้นฟังแล้วเหมือนกับตำนานเทพนิยายอย่างไรอย่างนั้น
แต่ตอนนี้ หลี่มู่กลับมั่นใจว่านี่คือเรื่องจริง
ในเมื่อวางค่ายกลสำเร็จ เปลี่ยนแปลงระดับความเข้มข้นพลังวิญญาณในที่ว่าการแล้ว ถึงแม้จะสู้สำนักเซียนเหล่านั้นตามคำพูดของซินแสเฒ่าไม่ได้ แต่ดีกว่าสำนักทั้งหลายในโลกใบนี้แน่นอน พืชพรรณที่ปลูกอาจไม่ใช่ข้าววิเศษยาวิเศษ แต่พลังวิญญาณมากเพียงพอแน่นอน คนทั่วไปกินแล้วร่างกายแข็งแกร่ง ผู้ฝึกฝนกินแล้วยกระดับพลังฝึกได้ นานไปเรื่อยๆ ต่อให้เป็นหมูตัวเมียก็สามารถกินจนบรรลุเป็นปีศาจ
หลี่มู่ต้องไปจากดาวดวงนี้ภายในยี่สิบปี่ เพื่อเปลี่ยนแปลงชะตาของโลกที่จะถูกทำลาย ดังนั้นขอแค่สามารถยกระดับพลังได้ เขาล้วนยินดีที่จะลอง
แต่จ้าวหลิงฟังคำของหลี่มู่แล้วกลับหัวเราะอย่างดูถูก
“เจ้าจะวาดฝันสวยเกินไปแล้วกระมัง พลังวิญญาณที่เหตุการณ์ประหลาดของดินฟ้าอากาศรวบรวมมาแบบนี้ หลังจากนี้สองสามวันก็จะหายไป ต่อให้เจ้าเปลี่ยนที่ว่าการอำเภอให้กลายเป็นที่เพาะปลูกก็ไม่ทันแล้ว ฝันกลางวันให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ” เห็นได้ชัดว่านางไม่มีสำนึกในฐานะหญิงรับใช้ ไม่ปล่อยโอกาสที่จะฉีกหน้าหลี่มู่ไปแม้แต่น้อย
หลี่มู่ดีดหน้าผากของหงส์น้อยอีกครั้งอย่างไม่เกรงใจ ก่อนจะเอ่ย “หากนับจากวันนี้ ในที่ว่าการมีระดับความเข้มข้นของพลังวิญญาณอย่างนี้ไปตลอดกาลเล่า?”
“เจ้า…” จ้าวหลิงกุมหน้าผาก พูดขึ้นอย่างฉุนเฉียว “นั่นเป็นไปไม่ได้”
“ฮ่าๆๆๆ…” หลี่มู่หมุนตัวจากไป “เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม โตแต่ตัวสมองไม่มี เจ้ารอดูก็แล้วกัน”
จ้าวหลิงมองหลี่มู่เดินอาดๆ จากไป นวดหน้าผากพลางสาปแช่งอย่างเคียดแค้น “เจ้าปีศาจโง่งมสมควรตาย ฝันไปเถอะ”
หลายวันมานี้รักษาอาการบาดเจ็บให้พวกเด็กรับใช้บัณฑิตน้อย นางจึงพอจะรู้ถึงเหตุผลที่มาที่ไปของเรื่องที่เกิดขึ้นในอำเภอคร่าวๆ นางที่เกิดมาใจผดุงคุณธรรมล้นเหลือรังเกียจการกระทำของพวกเจิ้งฉุนเจี้ยนเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้บาดเจ็บทั้งหลายมาก โดยเฉพาะเด็กรับใช้บัณฑิตน้อย
ดังนั้น อย่ามองว่าท่าทีนางต่อหน้าหลี่มู่จะไม่เต็มใจยินดี อันที่จริงในเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บของเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงกลับกระตือรือร้นเอาการเอางานที่สุด พยายามคิดหาวิธีต่างๆ แทบจะอยู่ข้างกายเด็กน้อยอยู่ทั้งวันทั้งคืน ถึงรักษาขาทั้งสองข้างที่แทบอยู่ในสภาพเน่าเฟะเอาไว้ได้อย่างอัศจรรย์
และเพราะรู้เหตุผลของเรื่องราวหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะหลังจากที่รู้ว่าหลี่มู่กรีดข้อมือเพื่อรักษาเด็กรับใช้บัณฑิต ความจริงแล้วมุมมองต่อหลี่มู่ของจ้าวหลิงก็เปลี่ยนแปลง อย่างน้อยก็ไม่เหมือนกับภาพลักษณ์เที่ยวคลั่งสังหารคนโหดเหี้ยมไร้คุณธรรมที่นางจินตนาการเอาไว้ก่อนหน้านี้ นางที่จิตใจมีเมตตาเป็นล้นพ้น กระทั่งว่าในใจวางแผนอยู่เงียบๆ ว่าจะใช้ความพยายามของตนเปลี่ยนแปลงหลี่มู่ ให้เขาหันกลับมาในทางที่ถูก และกลับเนื้อกลับตัวเสียใหม่
แต่ตอนนี้หลี่มู่ฉีกหน้านางติดๆ กัน รวมกับ ‘มะเหงก’ สองทีที่หลี่มู่มอบให้ ความรู้สึกต่อหลี่มู่ที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยจึงกระเด็นลอยไปไกลนอกฟ้าทันที คิดอยากจะใช้กระบี่เสียบร่างของหลี่มู่ให้เป็นรูใหญ่สิบกว่ารูเสียเหลือเกิน
“ไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมเด็กที่ฉลาดใจดีมีเมตตาอย่างชิงเฟิง ถึงได้พบกับเจ้านายโรคจิตไร้เหตุผลอย่างหลี่มู่? คงไม่ได้ถูกข่มขู่มาหรอกนะ?”
จ้าวหลิงเริ่มคิดว่าตัวเองควรจะช่วยเด็กรับใช้บัณฑิตน้อยให้หลุดพ้นจากกรงเล็บปีศาจของหลี่มู่อย่างไรแล้ว
‘ใช่แล้ว ทำไมเลือดของราชาปีศาจนี่ถึงได้มีพลังชีวิตแข็งแกร่งถึงขนาดนี้?’
นางเริ่มคิดถึงปัญหาที่รบกวนตนมาหลายวัน
หากไม่ใช่เพราะเลือดชามนั้นของหลี่มู่ นางไม่มีทางรับประกันได้ว่าจะทำให้พวกเฝิงหยวนซิงฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ในเวลาครึ่งเดือนโดยไม่เหลือรอยแผลใดๆ ซ้ำยิ่งไม่มีทางรักษาขาทั้งสองข้างของชิงเฟิงเอาไว้ได้ก่อนชั่วคราว พลังชีวิตที่แฝงอยู่ในเลือดชามนั้นทำลายมุมมองแต่เดิมที่สร้างขึ้นในฐานะหมอยาของนางไปแล้ว
หากไม่ใช่เพราะพลังสู้หลี่มู่ไม่ได้ นางอยากจะจับเขามากรีดเลือดอีกรอบ แล้วเอามาศึกษาให้ดีๆ
แม้แต่จ้าวหลิงเองก็สัมผัสไม่ได้ว่าคิดไปคิดมา ความโกรธแค้นในใจของนางหายกลับไปหมดแล้ว แต่ความแปลกใจที่มีต่อหลี่มู่กลับมากขึ้นเรื่อยๆ
บนโลกมีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่งว่า อยากรู้อยากเห็นเกินเหตุจะนำภัยมาสู่ตน
……
หลี่มู่ไม่ได้กลับมาห้องฝึกยุทธ์
เขามายังห้องฝึกจิตด้านหลังที่ว่าการเพื่อเยี่ยมเยียนพวกเฝิงหยวนซิงที่ได้รับบาดเจ็บ
หลังจากแน่ใจว่าทุกคนใกล้จะฟื้นตัวอย่างที่จ้าวหลิงพูดเอาไว้จริงๆ ก็วางใจลงไปมาก
โดยเฉพาะเด็กรับใช้บัณฑิตน้อยชิงเฟิง ถึงแม้ขาทั้งสองจะสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหว ไม่อาจยืนขึ้นมาได้ แต่บาดแผลที่อื่นๆ บนร่างก็เกือบหายแล้ว อีกทั้งภายใต้การดูแลของหญิงรับใช้สองคน สีหน้าท่าทางเขาดูแล้วไม่เลวเลย ทำให้ใจที่เป็นกังวลของหลี่มู่เบาลง
“เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะต้องหาทางรักษาขาของเจ้าให้หายดีให้ได้”
หลี่มู่รับประกันกับเด็กรับใช้บัณฑิตน้อยอีกครั้ง
ใบหน้าของชิงเฟิงฉายรอยยิ้ม ความแข็งแกร่งของเขาทำให้หลี่มู่รู้สึกละอายใจ
“ใต้เท้า หมิงเยวี่ยนาง…” ตอนนี้คนที่เด็กรับใช้บัณฑิตน้อยเป็นห่วงที่สุดก็คือโลลิน้อยคนทึ่มหมิงเยวี่ย
นักพรตตาบอดโจมตีที่ว่าการอำเภอก็ผ่านไปแล้วช่วงหนึ่ง แต่หมิงเยวี่ยยังไม่กลับมา ถึงแม้ที่ว่าการจะส่งคนออกไปตามหา ทั้งยังประกาศให้เงินรางวัลในยุทธจักร ใครหาเบาะแสของหมิงเยวี่ยเจอสามารถเว้นค่าไถ่แล้วพาคนออกไปจากคุกได้เลย แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีเบาะแสอะไร
“วางใจเถิด มีข่าวแล้ว ข้าฝากให้สหายผู้หนึ่งดูแลนาง อีกไม่นานก็กลับ” หลี่มู่ยิ้มพูด
แท้จริงแล้วในใจของเขายังสบถด่า
ขอทานเฒ่าเวรตะไล เชื่อถือไม่ได้ถึงขนาดนี้ พาหมิงเยวี่ยเอาเลือดเจียวหนีไปแล้ว
พูดเอาไว้ดีแล้วว่าให้มารวมตัวกันในอำเภอ ผลสุดท้ายหลายวันผ่านไป แม้แต่เงาก็ยังไม่เห็น
หลี่มู่โมโหกัดฟันกรอด ตอนนั้นทำไมถึงได้เชื่อตาเฒ่าเวรตะไลนี่ได้
หากเจอได้เจอขอทานเฒ่าอีก หลี่มู่จะเชือดสุนัขที่พูดได้ของเขาตัวนั้นลงหม้อแน่นอน
แต่ว่าหลี่มู่ก็รู้ว่าขอทานเฒ่าคิดจะรับหมิงเยวี่ยเป็นลูกศิษย์ ช่วยนางกำจัดภูตปีศาจในกาย ดังนั้นสามารถแน่ใจได้ว่าหมิงเยวี่ยน่าจะไม่มีอันตรายอะไร ฉะนั้นเขาจึงไม่หุนหันพลันแล่น ได้แต่ค่อยๆ สืบหาไป
หลี่มู่ออกมาจากห้องฝึกจิต กลับมายังห้องฝึกยุทธ์
ตอนนี้เขาไม่พักผ่อนทั้งวันทั้งคืนแล้ว เมื่อรู้สึกเหนื่อยล้าก็โคจร ‘วิชาก่อนกำเนิด’ บำรุงรักษากายใจ ความเหนื่อยล้าทั้งหมดก็หายไปสิ้น จากนั้นก็ยุ่งวุ่นวายต่อ
นอกจากฝึกฝนยกระดับพลัง งานใหญ่ที่สุดของหลี่มู่คือจัดระเบียบเคล็ดลับและวิชาที่ซินแสเฒ่าถ่ายทอดให้ผ่านวิธีย้อนระลึก ถึงแม้จะเป็นคำพูดที่ซินแสเฒ่าพูดไปตามอารมณ์ เขาก็ต้องคิดให้ดี คิดทบทวนและสัมผัสกับความหมายภายในนั้น
หลังจากเข้าใจถึงความประหลาดพิลึกของซินแสเฒ่าอย่างถ่องแท้แล้ว หลี่มู่ต้องจัดระเบียบทุกสิ่งที่ซินแสเฒ่าสอนให้เป็นระบบคร่าวๆ อย่างรวดเร็ว เมื่อมีระเบียบที่ชัดเจนแล้วจึงจะสามารถเข้าใจทุกสิ่งได้อย่างถ่องแท้ และแปลงเอามาใช้เป็นของตน
เวลาหนึ่งคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
วันที่สอง หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ หลี่มู่ก็สั่งลงไป ให้คนถมสวนดอกไม้ทุกแห่งที่ส่วนด้านหลังของที่ว่าการ จัดระเบียบห้องว่างทุกห้อง แล้วถมสนามหญ้าที่เพิ่งปูเสร็จตรงป่าทึบซึ่งแต่เดิมเป็นส่วนหนึ่งของหุบเหวหน้าผา จากนั้นก็เริ่มสร้างเล้าไก่ เล้าเป็ด เล้าหมู แปลงผัก สวนผลไม้ สวนสมุนไพรต่างๆ นานา เปลี่ยนให้ที่ว่าการให้กลายเป็นพื้นที่เพาะปลูกขนาดเล็ก
คำสั่งนี้ทำให้คนอื่นๆ รวมถึงพวกเฝิงหยวนซิงที่เริ่มกลับมาทำงานงุนงงสับสน
สวนดอกไม้ในที่ว่าการอำเภอทิวทัศน์งดงาม ข้างในปลูกดอกไม้แปลกหายากเอาไว้ทั้งหมด นับว่าเป็นหนึ่งในทัศนียภาพอันงดงามของอำเภอขาวพิสุทธิ์ สถานที่ที่งดงามเช่นนี้กลับถมให้เป็นแปลงผัก ช่างเสียของจริงๆ
แต่ไม่มีใครกล้าสงสัยการตัดสินใจของหลี่มู่
งานช้างเริ่มขึ้นอย่างครึกครื้น
หลี่มู่ดึงพลังของ ‘ค่ากลดาราพิฆาต’ มาแต่ไม่ปล่อยพลังออกไป คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องแค่เดินไปตามถนนเล็กๆ ที่ปูเอาไว้ ก็ไม่มีทางเกิดเรื่องไม่คาดฝันใดๆ แน่นอน
ในเวลาสามวันต่อมา หลี่มู่ปิดด่านอยู่ในห้องฝึกยุทธ์ตลอด
แต่ผลลัพธ์ทำให้เขาค่อนข้างผิดหวัง
เพราะถึงแม้อยู่ในที่ที่พลังวิญญาณเข้มข้นสิบเท่า แต่เขาก็ยังคงฝึกกำลังภายในออกมาไม่ได้
กลับเป็นประสิทธิผลของพลังจิตวิญญาณที่เปลี่ยนแปลงโดยวิชาก่อนกำเนิดเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะเดียวกันประโยชน์ของหมัดยุทธ์แท้ในด้านเพิ่มพลังกายและยกระดับคุณสมบัติร่างกาย ก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในสภาพแวดล้อมที่พลังวิญญาณเข้มข้นสิบเท่า นับว่าได้อย่างเสียอย่างกระมัง
หลังจากนั้นห้าวัน หลี่มู่ก็ปล่อยตัวคนในยุทธจักรที่ถูกกักขังอยู่ในคุกของที่ว่าการ
จากนั้น เขาแอบมอบป้ายหยกทั้งสิบให้กับเด็กรับใช้บัณฑิตน้อยชิงเฟิง ให้เด็กชายหยดเลือดตีตราเป็นเจ้าของ จากนั้นถ่ายทอดวิธีควบคุมป้ายหยกให้ การควบคุม ‘ค่ายกลดาราพิฆาต’ ผ่านป้ายหยกสามารถป้องกันรักษาที่ว่าการอำเภอได้ชั่วขณะ ต่อให้มียอดฝีมือขั้นปรมาจารย์มาก็ต้านทานเอาไว้ได้ ปกป้องตัวเองได้อย่างไม่ต้องกังวล
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น หลี่มู่ก็ไปจากอำเภอขาวพิสุทธิ์
เขาพาเจิ้งฉุนเจี้ยนมุ่งหน้าไปเมืองฉางอัน ต้องการไปรับมารดาของหลี่มู่ที่โลกใบนี้กลับมา
ในขณะเดียวกัน ก็อาศัยการเดินทางครั้งนี้เปิดหูเปิดตา สัมผัสความงดงามของโลกข้างนอกเสียหน่อย
……………………………………………………