จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 14 รวมฝ่าย
เสียงการฆ่าฟันหยุดลงแล้ว
ภายนอกฐานที่มั่นของพรรคเสินหนง บรรยากาศเงียบอย่างประหลาด เหล่าคนที่แอบดูเหตุการณ์เหมือนกับลืมแม้แต่จะหายใจ เงียบจนพวกเขาสามารถได้ยินเสียงหัวใจเต้นของตัวเองชัดเจน
หม่าจวินอู่สีหน้าเปลี่ยนไปมา
ท่านขุนนางเมืองชนะแล้วกระมัง?
ขณะเขาลังเลใจ ในที่สุดก็ตัดสินใจจะเข้าไป
ทันใดนั้นด้านหลังก็มีเสียงเกือกม้าดังราวอัสนีบาตตรงเข้ามา
ทหารและองครักษ์กว่าห้าร้อยนายของอำเภอขาวพิสุทธิ์รีบเร่งยกพลมาภายใต้การนำของนายตรวจการเจิ้งหลงซิง
“หม่าจวินอู่ ท่านขุนนางเมืองอยู่ที่ใด?” เขาตะโกนถามจากไกลๆ
“เรียนใต้เท้า ท่านขุนนางเมืองหลี่บุกเข้าไปแล้ว…” หม่าจวินอู่ตอบอย่างนอบน้อม
เขาคือหัวหน้าองครักษ์ เจิ้งหลงซิงคือผู้บังคับบัญชาของเขา เขาจึงไม่กล้าเพิกเฉยแม้แต่น้อย
“เหตุใดเจ้าถึงยังอยู่ภายนอก? ทุกคน อย่าหยุดทัพ ตามข้าไปช่วยท่านขุนนางเมือง” เจิ้งหลงซิงตะโกนเสียงดัง สีหน้ากระวนกระวาย จากนั้นกระทุ้งม้าตรงเข้าไปในซากประตูใหญ่พรรคเสินหนงด้วยความเร็วปานสายฟ้า
เจิ้งหลงซิงมา?
กลุ่มผู้สังเกตุการณ์รอบด้านเห็นแล้วก็รู้สึกประหลาด
นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
ใครๆ ก็รู้ หลายปีที่ผ่านมาผู้สนับสนุนพรรคเสินหนงอยู่เบื้องหลังก็คือนายตรวจการเจิ้งนี่เอง
ทำไมพรรคเสินหนงจึงยั่วโทสะหลี่มู่ เหตุผลที่อยู่เบื้องหลัง คนมีปัญญาและเข้าถึงข่าวสารต่างก็เดาออกกันทั้งนั้น มาวันนี้พรรคเสินหนงถูกทำลายก็เท่ากับตัดแขนข้างหนึ่งของเจิ้งหลงซิงไป ไม่เท่าเป็นการยกหินโยนใส่เท้าตัวเองหรอกหรือ?
การที่เจิ้งหลงซิงรีบร้อนมา เดาว่าคงอยากทำลายหลักฐานที่เกี่ยวพันกับพรรคเสินหนง หวังจะเอาตัวรอด
แต่ว่าเรื่องจะง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร?
ทุกคนรู้ว่าครั้งนี้นายตรวจการเจิ้งประสบปัญหาครั้งใหญ่แล้ว
หลังจากที่เจิ้งหลงซิงและไพร่พลเข้าไป ก็มีเสียงฝีเท้ารีบร้อนดังมาจากไกลๆ
เมื่อมองไปก็เห็นผู้ช่วยขุนนางเมืองโจวอู่นำทหารกว่าสามร้อยนายรีบเดินทางมา
ทว่าคนที่อยู่ด้านหน้าสุดกับโจวอู่ นอกจากนายทะเบียนเฝิงหยวนซิงก็เป็นชิงเฟิงและหมิงเยวี่ยเด็กรับใช้ของหลี่มู่ ไม่รู้ว่ามากับโจวอู่ได้อย่างไร
“หม่าจวินอู่ ใต้เท้าหลี่ล่ะ?” โจวอู่แสดงท่าทางเหมือนเจิ้งหลงซิงทุกประการ ตะโกนถามมาจากระยะไกล
หม่าจวินอู่ชี้ไปที่ประตูใหญ่พรรคเสินหนง ยังไม่ทันเอ่ยปากพูด…
….ก็มีลมโฉบผ่านข้างตัวเขาไป
“คุณชาย คุณชาย ท่านอยู่ข้างในหรือไม่ ท่านยังไม่ตายใช่ไหม? ท่านยังมีชีวิตอยู่กระมัง?” หมิงเยวี่ยเด็กหญิงผู้ซื่อบื้อสติแตก วิ่งปรี่เข้าไปเหมือนหมาเตลิด พร้อมลากผู้รับใช้บัณฑิตชิงเฟิงที่เหงื่อท่วมและมีสีหน้ากระวนกระวายเข้าไปด้วย ทิ้งโจวอู่และคนอื่นให้งงอยู่ด้านหลัง
เร็วมาก!
หม่าจวินอู่นิ่งอึ้ง
เด็กหญิงคนนี้เลี้ยงให้โตมาด้วยอะไร ทำไมถึงวิ่งไวอย่างนี้?
“อะไรนะ? นายตรวจการเจิ้งเข้าไปแล้ว? เร็ว…เร็วเข้า เข้าไปช่วยใต้เท้า!” เมื่อโจวอู่ได้ยินว่าเจิ้งหลงซิงเข้าไปในซากฐานที่มั่นแล้ว เขาก็พลันร้อนรน คิดว่าต้องไม่ให้เจิ้งหลงซิงตัดหน้าทำลายหลักฐานจนหมด รีบพาพรรคพวกพุ่งเข้าไปโดยไม่สนสิ่งใด
ดูจากลักษณะของโจวอู่ที่กังวลและร้อนรน หากเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องคงคิดว่าพ่อแม่ของเขาติดอยู่ในนั้นเป็นแน่
ในเวลานี้หม่าจวินอู่ไม่ลังเลใจอีกต่อไป รีบตามเข้าไปเช่นกัน
ไม่นานพวกเขาก็เห็นภาพซากปรักหักพังในป่าหิน
“สวรรค์ นี่มัน…”
ในป่าหินอันเป็นฐานที่มั่น ทุกคนต่างตกใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ภายในป่าหินของพรรคเสินหนงไม่เหมือนเพิ่งผ่านการต่อสู้มา แต่เหมือนมีแผ่นดินไหวรุนแรงเสียมากกว่า
สิ่งปลูกสร้างเกือบทั้งหมดล้มระเนระนาด หินพังทลายลง บางจุดเห็นรอยเว้าเป็นรูปหมัดหรือรอยเท้า แขนขาขาดกระจายอยู่ทั่ว ทั้งยังมีรอยเลือดสาดกระเซ็น ชิ้นเนื้อที่แหลกเละ และกระดูก…ศพของจตุรเทพมีองครักษ์ที่เข้ามาก่อนหน้าจัดการรวบรวมเอาไว้แล้ว ศิษย์คนสำคัญของพรรคเสินหนงแทบไม่มีศพไหนมีอวัยวะอยู่ครบ ทั้งหมดถูกทำให้แหลกทั้งเป็น
เมื่อมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ในใจของโจวอู่ เฝิงหยวนซิง และหม่าจวินอู่ก็สั่นเทา
สามารถจินตนาการได้เลยว่า การต่อสู้ในตอนนั้นน่ากลัวถึงระดับไหน
แม้ว่าก่อนหน้านี้จะได้ยินข่าวจากข้ารับใช้คนสนิท แต่เมื่อโจวอู่ได้เห็นสถานที่ต่อสู้ด้วยตาตนเอง เขาก็อดสั่นสะท้านไม่ได้ ภายในใจหวาดกลัวและรู้สึกไร้เรี่ยวแรง เป็นที่แน่ชัดว่าพลังที่แท้จริงของหลี่มู่มากกว่าที่เขาคาดการณ์ไปไกล เขารู้สึกรางๆ ว่าเหมือนตนเองกำลังเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายบ้าคลั่งสมัยบรรพกาล ไม่ใช่บุคคลอายุไม่เต็มสิบห้าปีที่สอบจิ้นซื่อได้
โจวอู่สะกดความกลัวที่อยู่ภายใน หันไปหานายทะเบียนเฝิงหยวนซิงที่อยู่ข้างๆ ก่อนจะกดเสียงต่ำกระซิบบอกบางอย่าง
เฝิงหยวนซิงพยักหน้า จากนั้นก็โบกมือแล้วนำกลุ่มองครักษ์ชั้นยอดแยกย้ายไปทั่วสารทิศ
หม่าจวินอู่ขบคิดสักครู่ แต่ก็ยังอยู่ข้างโจวอู่ไม่จากไปไหน
ยิ่งเดินเข้าไปลึกขึ้น ก็ยิ่งเห็นร่องรอยการต่อสู้ที่น่าหวาดกลัว
หม่าจวินอู่เห็นเสาหินตามธรรมชาติขนาดห้าหกคนโอบโดนโจมตีเข้าตรงกลาง มีรอยบุ๋มลึกลงไป เห็นชัดเจนว่าเป็นรอยหมัด เป็นที่แน่ชัดว่าเสาหินถูกซัดด้วยกำปั้น คิดๆ ไปแล้วก็น่าขนลุก เป็นพลังแบบไหนกันแน่ถึงทำให้เป็นแบบนี้ได้?
ต่อให้เป็นจุดสูงสุดของขั้นรวมปราณ ก็ไม่น่าจะโจมตีมือเปล่าด้วยพลังน่าสะพรึงกลัวแบบนี้ได้?
ผู้ช่วยขุนนางเมืองโจวอู่เปลี่ยนสีหน้าไม่หยุด
เขาก็นับเป็นจอมยุทธ์ยอดฝีมือคนหนึ่ง เป็นธรรมดาที่จะรู้ว่าร่องรอยการต่อสู้ที่เกิดขึ้นตามทางหมายถึงอะไร
พรรคเสินหนงเป็นหนึ่งในสี่พรรคใหญ่ของอำเภอขาวพิสุทธิ์อำเภออำเภอขาวพิสุทธิ์ และเป็นพรรคที่ปลุกปั่นได้ยากที่สุด ศิษย์ของพรรคถนัดการใช้พิษ มีวิธีสกปรกสารพัดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ โจวอู่เคยคิดที่จะกำจัดพรรคเสินหนงโดยใช้คดีใหญ่ๆ หลายครั้ง แบบนี้จะสามารถตัดแขนขาของนายตรวจการเจิ้งหลงซิงได้ แต่แผนการกลับล้มเหลวหลายครั้ง กระทั่งเกิดการสูญเสีย ฐานพลังของพรรคเสินหนงนับวันก็ยิ่งมั่นคงขึ้น
แต่มาตอนนี้ กลุ่มอิทธิพลที่แข็งข้อแบบนี้กลับถูกคนคนหนึ่งทำลายลงในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม
โจวอู่รู้สึกเพียงเย็นวาบที่หลัง
เหล่าคนสนิทที่ติดตามเขามามีสีหน้าขาวซีดเกินทน บางคนพอเห็นฉากสยดสยองของกองเลือดผสมเนื้อที่เละราวกับดินเหนียวและกระดูกคนตาย ก็กลัวจนตัวสั่นงันงก มีไม่น้อยที่ไม่อาจทนได้จนนั่งลงสำรอกออกมา
กลุ่มคนรีบเร่งเดินทางไปอีกราวสองลี้ จนมาถึงหน้าทางเข้าถ้ำหินของพรรคเสินหนง
สิ่งที่น่าแปลกใจคือนายตรวจการเจิ้งหลงซิงและทหารใต้บังคับบัญชานับร้อยยืนรอที่ทางเข้า ไม่ได้ติดตามเข้าไป
คนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่หน้าทางเข้าถ้ำหิน ดูคล้ายลังเลใจด้วยเหตุผลบางประการ
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เจิ้งหลงซิงหันไปมอง ยามเห็นโจวอู่และพวก ดวงตาก็มีแววชั่วร้ายวาบผ่าน
แต่สีหน้านั้นของเขาหายไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเจิ้งหลงซิงเปลี่ยนมายิ้มอ่อนโยน เหมือนได้พบสหายเก่าที่ไม่ได้เจอกันหลายปี ก่อนจะหัวเราะแล้วพูดว่า “ใต้เท้าโจวมาเร็วยิ่งนัก เรื่องนี้คงทำให้ท่านตกใจแล้ว”
โจวอู่แสร้งยิ้ม ก้าวไปหาอย่างรวดเร็วแล้วประสานมือคารวะ “ไม่มาคงไม่ได้ ท่านขุนนางเมืองมีภัย ข้าต้องมาช่วยสิ ได้ยินว่ามีคนบางคนอยากสังหารใต้เท้าหลี่…ฮ่าๆ กลับเป็นท่านเจิ้งที่มาเร็วกว่าข้า น่าเลื่อมใส น่าเลื่อมใส”
“หึๆ ข้าเป็นนายตรวจการ รับผิดชอบกำลังทหาร นี่เป็นหน้าที่อยู่แล้ว แน่นอนว่าข้าต้องมาเร็ว” ใบหน้าเจิ้งหลงซิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสองพูดกันด้วยวาจาสุภาพเป็นมิตร หัวเราะยินดี
หากใครไม่รู้ ยังจะคิดไปว่าขุนนางใหญ่แห่งอำเภอขาวพิสุทธิ์ทั้งสองเป็นพี่น้องท้องเดียวกันจริง
“อ้อ หากเป็นเช่นนั้น เหตุใดใต้เท้าเจิ้งไม่เข้าไป?” โจวอู่เอ่ยถาม
เจิ้งหลงซิงยิ้มน้อยๆ แต่กลับไม่ตอบคำถาม
เขามาถึงประตูถ้ำหินเป็นเวลาหนึ่งถ้วยชาแล้ว แต่ยังไม่ได้เข้าไป
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก ไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวใดๆ ออกมาจากถ้ำหินอีก เขาลองตะโกนดูหลายครั้งแต่ไม่มีเสียงตอบกลับเลยสักนิด เมื่อส่งคนไปดูลาดเลารอบถ้ำหินกลับไม่พบร่องรอยการหนี จึงแน่ใจได้ว่าจะประมุขหรือหลี่มู่ก็อยู่ในถ้ำหินกันทั้งคู่
เป็นไปได้ว่า…พวกเขาตายตกไปพร้อมกันแล้ว?
ประมุขพรรคผู้นี้ เจิ้งหลงซิงรู้ดีว่าเป็นคนเหี้ยมโหดไร้ความปรานี เจ้าคิดเจ้าแค้น มีกลยุทธ์หลากหลาย ลงมืออำมหิต หลี่มู่บุกเข้าไปในถ้ำหิน อาจถูกซือคงจิ้งวางแผนร้ายเล่นงานแล้ว สุดท้ายก็ตายไปพร้อมกัน?
หากเป็นเช่นนั้นจริงคงจะดีไม่น้อย
ดังนั้นเจิ้งหลงซิงจึงยืนอยู่หน้าประตู สังเกตุการณ์ไปพลางสงสัยไปพลาง
เขากังวลใจว่าหากเข้าไปแล้วหลี่มู่ยังไม่ตาย กลับจะประดักประเดิดแทน ทว่าเรื่องมาถึงขนาดนี้ เขาก็ไม่กล้าที่จะไปโจมตีหลี่มู่ต่อหน้าทหารมากมาย
ในระหว่างที่ลังเล โจวอู่ก็ตามมาถึง
และไม่นานโจวอู่ก็รู้ทันความคิดของเจิ้งหลงซิงเช่นกัน
หากหลี่มู่ตายอยู่ข้างใน ย่อมเป็นข่าวดีสำหรับโจวอู่ ขอแค่ใช้เหตุการณ์นี้ให้เป็นประโยชน์ ลงแรงเล็กน้อยก็สามารถจัดการเจิ้งหลงซิงได้ ภายหลังตำแหน่งขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ก็จะตกอยู่ในมือเขาแน่นอน
นี่เป็นโชคที่สวรรค์ประทานให้ชัดๆ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ โจวอู่ก็อธิษฐานในใจ ขอให้หลี่มู่ตายอยู่ภายในเป็นการดีที่สุด
กลุ่มคนทั้งสองฝ่ายยืนคุมเชิงกันอยู่หน้าประตูถ้ำหินเช่นนี้ ไม่ได้เข้าไปข้างใน ทุกคนนิ่งเงียบ บรรยากาศพิลึกนัก
เวลานี้เอง มีเสียงร่ำไห้ออกมาจากในถ้ำหิน
“คุณชาย เกิดอะไรขึ้น? ฮึกๆๆ คุณชาย ท่าน… ”
เป็นเสียงโศกเศร้าของเด็กชายผู้รับใช้บัณฑิตชิงเฟิง
ก่อนหน้านี้ ตอนที่เจิ้งหลงซิงกำลังลังเลอยู่ เด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงหมิงเยวี่ยรีบพุ่งเข้าไปอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง ในเวลานี้แน่ชัดแล้วว่าพวกเขาพบอะไร ฟังจากเสียงร้องไห้เจ็บปวดของเด็กชายผู้รับใช้บัณฑิต ต้องเป็นเรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดีแน่ เกรงว่าหลี่มู่คงตายอยู่ด้านในจริงๆ
ใบหน้าโจวอู่เผยความยินดี
เจิ้งหลงซิงลอบถอนหายใจเบาๆ
“ไป เข้าไปเร็ว ไปช่วยใต้เท้าหลี่”
“เข้าไป!”
คนทั้งสองออกคำสั่ง นำทหารหลายร้อยวิ่งกรูกันเข้าไป
………………………