จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 16 หักหลัง
พึงรู้ไว้ว่า ภายในใจของหวงเหวย ที่ผ่านมาซือคงจิ้งเป็นดั่งเทพมารที่ตัดสินชะตาทุกคนในพรรคเสินหนง
เวลานี้ คนที่เขาคิดว่าไร้เทียมทาน คาดไม่ถึงว่าจะถูกจัดการจนกลายเป็นก้อนเนื้อกองหนึ่ง
หนำซ้ำคนที่สังหารก็คือขุนนางเมืองหนุ่มน้อยที่ไม่กี่วันก่อนเขาเยาะเย้ยดูแคลนอย่างเปิดเผยในศาล
หากย้อนเวลากลับไปได้ หวงเหวยอยากกลับไปที่ศาลในวันนั้น เขาจะคุกเข่าเรียกบิดามากกว่าเยาะหยันดูแคลนขุนนางเมืองผู้นี้อย่างเปิดเผย
ระหว่างที่หลี่มู่กินเนื้องูย่างหอมกรุ่น เขาก็ยิ้มร่ามองสีหน้าของหวงเหวยไปด้วย
เป็นเวลาอันดี จะไม่วางท่าได้อย่างไร?
เขาชอบเห็นผู้ที่กล้าหัวเราะเยาะเขาถูกเขาข่มขวัญจนสติหลุดในพริบตา
ความรู้สึกแบบนี้ช่างสาแก่ใจนัก!
“ตะ ตะ ตะ ตะ…ใต้เท้าไว้ชีวิตด้วย…” หวงเหวยถูกหลี่มู่มองจนเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม วิญญาณหลุดลอยไปไกล
หลี่มู่ระเบิดเสียงหัวเราะ “ตะ ตะ ตะ ตะ…ใต้หัวเจ้าน่ะสิ ฮ่าๆๆ จะว่าไปแล้ววันนั้นที่ศาล เจ้าไม่ได้ทำตัวหยิ่งยโสมากหรือ?”
“ผู้น้อยสมควรตาย ผู้น้อยสมควรตาย…” หวงเหวยโขกศีรษะเหมือนโขลกกระเทียม
หัวใจของหลี่มู่พองโต เขากล่าวขึ้นมาว่า “นี่ วันนั้นเจ้าพูดว่าคำพูดของข้าไม่มีความหมายในอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์ ตอนนี้จะบอกข้าได้หรือไม่ คำพูดใครมีความหมาย?”
“คือว่า…” หวงเหวยแทบกลัวจนตัวแข็งแล้ว ไม่คิดว่าขุนนางเมืองผู้นี้จะเจ้าคิดเจ้าแค้นเพียงนี้ เขาเอ่ยตอบด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทาว่า “ผู้น้อยโง่เขลาเบาปัญญา ผู้น้อยสมควรตาย ในอำเภอเมืองนี้คำพูดใต้เท้าหนักแน่นดั่งกระถางสามขาเก้าอัน มีเพียงคำพูดท่านที่เชื่อถือได้”
อีกด้านหนึ่ง โจวอู่และเจิ้งหลงซิงในเวลานี้เข้าใจแล้ว ‘เรื่องใหญ่’ ที่หลี่มู่เอ่ยถึงนั้นก็คือการนำตัวหวงเหวยเจ้าของร้านโอสถของพรรคเสินหนงมาคิดบัญชีย้อนหลัง จะเจ้าคิดเจ้าแค้นเกินไปแล้วกระมัง?
ทั้งสองต่างพูดอะไรไม่ออก
แต่หลี่มู่ใส่ใจมากมายเพียงนั้นเสียที่ไหน
หวงเหวยวางท่าใหญ่โตในวันนั้น ก็สมควรตบหน้าฉาดใหญ่ในวันนี้
ชายชายตรีอกสามศอก จิตใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ หากมีคนมาวางก้ามต่อหน้า ไม่หักหน้ากลับจะยังนับว่าเป็นบุรุษเหรอ?
เวลานี้เป็นโอกาสดีที่สุดในการตบหน้ากลับ
“ข้ายังจำได้ วันนั้นเจ้าบอกให้ข้าถามเรื่องอำนาจร้านโอสถของพวกเจ้าในอำเภอเมืองดู วันนี้ข้ามาถามที่พรรคเสินหนงแล้ว ดูเหมือนว่าซือคงจิ้งไม่ยินยอมที่จะบอกข้าเท่าไร ข้าจึงส่งเขากลับบ้านเก่าไปแล้ว ไม่สู้เถ้าแก่ฮวงบอกข้าด้วยตัวเองดีกว่า?” หลี่มู่กินเนื้อย่างไปพลาง ถามอย่างจริงจังไปพลาง
หวงเหวยกลัวจนฉี่จะราดแล้ว
“ต่อหน้าใต้เท้า ร้านโอสถเทพไร้ค่า…” เขาสำนึกเสียใจแล้ว
หลี่มู่ร้องอ้อออกมา ก่อนพูดต่อไปว่า “เช่นนั้นคดีของบ้านนางจางหลี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าอธิบายได้ไหม?”
“คือ…” หวงเหวยอกสั่นขวัญแขวน อยากแก้ตัวสักประโยคสองประโยคโดยสัญชาตญาณ แต่ตาเหลือบไปเห็นศพซือคงจิ้งที่ถูกต่อยตีจนกลายเป็นก้อนเนื้อข้างสระน้ำ แล้วมองสายตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของหลี่มู่ ฉับพลันนั้นใจเขาก็กระจ่างแจ้งราวกระจก ไม่กล้าลองดีอีก เล่าวิธีที่ตนเองให้ศิษย์ในร้านโอสถใช้กำลังข่มเหงช่วงชิงตั้งแต่แรกเริ่มโดยไม่มีปิดบัง สารภาพออกมาหมดเปลือก
“ใต้เท้า ผู้น้อยสารภาพหมดแล้ว ผู้น้อยผิดไปแล้ว ผู้น้อยสมควรตายเป็นหมื่นครั้ง…แต่ใต้เท้าโปรดไว้ชีวิตสักครั้ง หลังจากนี้ผู้น้อยจะกลับตัวกลับใจ เปลี่ยนเป็นคนใหม่” หลังจากหวงเหวยพูดจบ ก็ร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล ทำท่าทางสำนึกในสิ่งที่ทำไป สารภาพออกมาอย่างขมขื่น
หลี่มู่วางเนื้อย่างในมือลง สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง
“จะกลับตัวกลับใจ พูดง่ายดีจริงๆ เถ้าแก่หวงกลับตัวเริ่มต้นใหม่ได้ แล้วบ้านจางหลี่ล่ะ? จางเสี่ยวฉินเป็นเพียงแค่เด็กน้อย ก่อนตายอย่างน่าอนาถ นางต้องพบเจอกับอะไรในฐานที่มั่นพรรคเสินหนงที่เป็นดังขุมนรกแห่งนี้ เจ้ารู้หรือไม่? เจ้ากล้าจินตนาการดูไหม? ได้ หากเจ้าทำให้ครอบครัวจางเสี่ยวฉินฟื้นคืนกลับมาได้ ข้าจะให้โอกาสเจ้ากลับตัวกลับใจครั้งหนึ่ง ดีหรือไม่?”
เมื่อหวงเหวยได้ยินดังนั้น ดวงตาเขาฉายแววสิ้นหวัง ราวกับโดนสายฟ้าฟาด
“ใต้เท้าช่างโหดร้ายนัก…” เขาจ้องมองหลี่มู่ราวสาปส่งด้วยสายตาชิงชัง
หลี่มู่สบสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังนั้น หัวเราะออกมานิ่งๆ “ข้ายังโหดร้ายไม่ถึงหนึ่งในสิบของเจ้า…จำไว้ ชาติหน้าทำดีให้มากหน่อย ทำชั่วให้น้อยลง”
เมื่อสิ้นเสียง เท้าของเขาส่งพลังออกมา หินบนพื้นก้อนหนึ่งพุ่งทะลุหน้าผากหวงเหวย
เถ้าแก่ร้านโอสถเทพผู้ก่อกรรมทำชั่วมานับไม่ถ้วน จบชีวิตอันโฉดชั่วลงเช่นนี้
โจวอู่และเจิ้งหลงซิงที่อยู่ด้านข้างใจสะท้านในทันใด
ไม่ใช่ว่าขุนนางเมืองหนุ่มน้อยกำลังเชือดไก่ให้ลิงดูหรอกกระมัง?
หลี่มู่หันศีรษะมองพวกเขาสองคน เอ่ยขึ้นมาว่า “พวกเจ้าก็เห็นแล้วว่าเขาสารภาพผิดเอง ตามกฎหมายจักรวรรดิ เขาสมควรโดนประหาร ข้าลงมือเองไม่นับว่าเป็นการแก้แค้นส่วนตัวกระมัง?”
เห็นได้ชัดว่าเป็นการแก้แค้นไม่ใช่หรือ
เรื่องใหญ่ที่ว่าก็คือจงใจนำหวงเหวยที่เป็นดั่งกุ้งตัวจ้อยมาพรรคเสินหนงในเวลาแบบนี้เพื่อข่มขู่และฆ่าทิ้ง?
โจวอู่และเจิ้งหลงซิงแอบก่นด่าอยู่ในใจ แต่ไม่สามารถหลุดปากพูดออกไปอย่างแน่นอน
“แน่นอนๆ ใต้เท้าตัดสินอย่างเป็นธรรม เห็นแก่ราษฎรเป็นสำคัญ จะเป็นการแก้แค้นส่วนตัวได้อย่างไร”
“ฮ่าๆ ฆ่าได้ดี คนชั้นต่ำที่คอยช่วงชิงชีวิตผู้อื่นพรรค์นี้สมควรถูกสับเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น”
ทั้งสองกล่าวตอบอย่างชื่นชม
กล่าวตามจริง ถึงแม้เป็นเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน พวกเขาก็ไม่กล้าจินตนาการว่าตัวเองจะมาพูดยกยอขุนนางเมืองหนุ่มแบบนี้
หลี่มู่พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “อย่างนั้นก็ดี ทหาร นำร่างคนชั่วช้านี่ไปแขวนไว้หน้าทางเข้าฐานที่มั่นพรรคเสินหนง ติดประกาศบอกเล่าความผิดเพื่อเตือนสติผู้อื่น ภายหลังหากยังมีคนกล้าฝ่าฝืนกฎหมาย ใช้กำลังเข้าช่วงชิงของผู้อื่น จะพบจุดจบแบบนี้”
ทหารมากมายตอบรับเสียงดัง รีบเข้ามาเอาศพหวงเหวยออกไป
หลี่มู่ครุ่นคิดอยู่สักครู่ แล้วออกคำสั่งเพิ่มเติมว่า “ถ่ายทอดคำสั่งออกไป ทุกคดีที่เกี่ยวข้องกับร้านโอสถเทพจงนำมาสอบสวนให้หมด ไม่เว้นแม้แต่คดีเดียว ขุดผู้ที่อยู่เบื้องหลังออกมา ไม่ว่าจะสาวไปถึงใคร ก็ให้พิพากษาลงทัณฑ์ตามกฎหมายจักรวรรดิ” เสียงของหลี่มู่เปรียบเหมือนระฆังก้องกังวานไปทั่วถ้ำหิน ทุกคนรับรู้ถึงเจตนาอันแรงกล้าผ่านน้ำเสียงของเขา
“รับบัญชา”
นายทหารที่ฮึกเหิมตอบรับเสียงดัง
หลี่มู่พยักหน้า ในหัวของเขาปรากฏภาพแม่ลูกสกุลจางในสภาพน่าเวทนาอีกครั้ง จึงอดเศร้าและโทษตัวเองไม่ได้
คดีนี้เขาจัดการให้ดีกว่านี้ได้ สามารถช่วยชีวิตอันขื่นขมของสองแม่ลูกคู่นี้ แต่เพราะความประมาทชั่วขณะ เพราะมองข้ามไป และคิดตามหลักเหตุผลมากเกินไป….เพราะเหตุผลนานับประการ ทำให้ชีวิตผู้บริสุทธิ์สองคนจบลงในถ้ำมารแห่งนี้
เหตุใดโลกใบนี้ช่างโหดร้ายนัก?
ทำไมใจคนถึงอำมหิตได้ถึงเพียงนี้?
หลี่มู่รู้สึกแน่นในอกขึ้นมาบ้าง
เขาทลายฐานที่มั่นพรรคเสินหนงด้วยมือของเขาเอง แต่ความแค้นภายในใจกลับยังขับออกไปไม่หมด
ก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้ ต้องไม่ใช่พรรคเสินหนงเล็กๆ กระทำการแต่เพียงผู้เดียว
ผู้ร้ายตัวจริง ‘นายใหญ่’ ซึ่งคอยชักใยเรื่องชั่วช้าอยู่เบื้องหลังโดยที่มือไม่เปื้อนเลือดยังคงลอยนวลอยู่
ในเวลานั้น มีเสียงฝีเท้าดังมาจากไกลๆ
นายทะเบียนเฝิงหยวนซิงนำคนเข้ามา
เมื่อเห็นเฝิงหยวนซิง นัยน์ตาโจวอู่ก็เปล่งประกาย
ก่อนหน้านี้เขาสั่งให้ค้นหาหลักฐานมัดตัวนายตรวจการเจิ้งหลงซิงในซากฐานที่มั่นแห่งนี้ หรือว่าทำสำเร็จแล้ว?
คิดถึงหลายปีที่ผ่านมา เฝิงหยวนซิงติดตามเขา เป็นกุนซือที่ปรึกษา ช่วยเขาแก้ปัญหามากมาย นับว่าเป็นคนที่จงรักภักดี อืม…ขอแค่เขาไต่เต้าไปถึงตำแหน่งขุนนางเมืองได้ ต้องแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญให้เฝิงหยวนซิงอย่างแน่นอน เช่นนี้ช่างรู้จังหวะรุกจังหวะถอยนัก
คิดมาถึงตอนนี้ โจวอู่ถามเฝิงหยวนซิงผ่านทางสายตา อยากรู้ผลว่าเป็นเช่นไร
ใครจะรู้ว่าเฝิงหยวนซิงไม่เหลียวมองโจวอู่ กลับเดินหน้าไปคุกเข่าข้างหนึ่งลงตรงหน้าหลี่มู่ แล้วกล่าวว่า “ข้าน้อยนายทะเบียนแห่งอำเภอขาวพิสุทธิ์ คารวะใต้เท้าหลี่”
หลี่มู่นั่งอย่างสบายๆ บนเก้าอี้หิน เหลือมองแวบหนึ่งแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขากัดเนื้องูคำโตเข้าปาก
“รายงานท่านขุนนางเมือง ข้าน้อยนำคนเก็บกวาดซากพรรคเสินหนง ปลดปล่อยสตรีผู้บริสุทธิ์กับชาวบ้านยากจนที่โดนกักขังเป็นที่เรียบร้อย และจับกุมศิษย์พรรคเสินหนงที่ยังรอดชีวิตจำนวนร้อยเจ็ดสิบเอ็ดคนมากักขังก่อนแล้ว ต้องการจัดการเช่นไร ท่านขุนนางเมืองโปรดรับสั่ง” เฝิงหยวนซิงก้มศีรษะลง ไม่สนใจโจวอู่ที่คอยส่งสายตามา
หลี่มู่ยังคงเมินเขา
ราวกับว่าหิวมากจริงๆ เขากัดเนื้อคำโต ที่มุมปากมีน้ำมันสีทองไหลออกมา
เฝิงหยวนซิงกัดฟันกรอด ตั้งสติก่อนจะตัดสินใจกล่าวว่า “เรียนใต้เท้า ยังมีอีกเรื่องที่สำคัญมาก ข้าไม่กล้าเก็บงำเอาไว้ ขณะจับกุมคนชั่วของพรรคเสินหนงที่เหลือรอด บุคคลอาวุโสสองสามคนให้ปากคำเพื่อลบล้างความผิดว่านายตรวจการเจิ้งหลงซิงมีส่วนรู้เห็นกับพรรคเสินหนง เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์… “
“หุบปาก” เจิ้งหลงซิงโกรธจัด ตะคอกเสียงดัง “เฝิงหยวนซิง เจ้ากล้ากล่าวหาข้า เจ้า…”
“เฮ้อ นายตรวจการเจิ้ง อย่าเพิ่งฉุนเฉียวสิ ให้นายทะเบียนเฝิงพูดให้จบก่อน ผู้บริสุทธิ์ย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ คนชั่วย่อมเป็นคนชั่ว นายตรวจการเจิ้งจะกลัวไปไย?” โจวอู่ที่อยู่อีกด้านลอบดีใจ ในใจคิดว่าเฝิงหยวนซิงผู้นี้เป็นงานเสียจริง ใช้โอกาสตอนที่ขุนนางเมืองกำลังโกรธเปิดโปงเรื่องนี้ จุดชนวนสักเล็กน้อย เจิ้งหลงซิงก็จบเห่แล้ว ในจักรวรรดิต้าฉิน ขุนนางเมืองมีอำนาจสูงยิ่ง สามารถชี้ขาดเป็นตายได้
แต่ยังไม่สิ้นเสียงโจวอู่ดี กลับได้ยินเฝิงหยวนซิงกล่าวต่อว่า “ยังมีอีกหนึ่งผู้รอดชีวิตให้การสารภาพลบล้างความผิดว่าเป็นคนสนิทของผู้ช่วยขุนนางเมืองโจวอู่ เขาสารภาพว่าการไปบุกโรงหมอแล้วฆ่าองครักษ์จางหรูครั้งนี้ แท้จริงเป็นแผนของผู้ช่วยขุนนางเมือง เพื่อให้ท่านขุนนางเมืองขัดแย้งกับนายตรวจการเจิ้ง ในเวลาเดียวกัน…ในเวลาเดียวกัน พวกเขาเตรียมยืมมีดฆ่าคน หมายทำร้ายใต้เท้า”
“หุบปาก” ครั้งนี้เป็นโจวอู่ที่ตะโกนด้วยความตกใจ “เฝิงหยวนซิง เจ้าพูดเหลวไหลอะไร? เจ้า…ข้าเลี้ยงดูเจ้าอย่างดีมาโดยตลอด จะ…เจ้ากลับใส่ร้ายข้า เจ้า…”
…………………………