จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 20 หมัดยุทธ์แท้กระบวนท่าที่สอง
ที่ว่าการประจำอำเภอเมือง
ห้องฝึกยุทธ์ที่ด้านหลังจวนผู้ว่า
หลี่มู่นั่งขัดสมาธิบนเบาะรองนั่ง กำลังกำหนดจิตไปที่ตา จมูก ลมหายใจเข้าออก ฝึกฝนพลังก่อนกำเนิด
ชำระล้างเลือดงูในกายของเขา
หลี่มู่รู้สึกได้ชัดถึงการทำงานของพลังก่อนกำเนิด ความเจ็บปวดจากเลือดงูชนิดนี้ที่เหมือนไฟแผดเผาแขนขาทั้งสี่และกระดูกภายในตัวค่อยๆ จางหายไป แล้วเปลี่ยนเป็นความรู้สึกที่สบายเหมือนกำลังอาบน้ำพุร้อนไปทั่วร่างกาย
งูประหลาดที่ซือคงจิ้งเรียกว่ามังกรเขียวถูกเลี้ยงไว้ในพรรคเสินหนง มันถูกเลี้ยงด้วยยาชั้นดีทำจากกรรมวิธีลึกลับ เกือบซึมลึกเข้าไปถึงจิตวิญญาณ บนหัวงูมีเขางอกออกมา กำลังจะกลายร่างเป็นมังกรแล้ว สำหรับจอมยุทธแล้ว มันมีค่าเป็นอย่างมาก สามารถกระตุ้นเลือดลม เพิ่มกำลังภายใน รวมไปถึงเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพ จากนั้นก็จะสามารถต้านพิษได้เกือบทั้งหมด พูดได้ว่าตั้งแต่หัวจรดหางเป็นของล้ำค่าทั้งสิ้น
ซือคงจิ้งทุ่มแรงเลี้ยงมันมานานกว่าสิบปีเตรียมที่จะนำมันมาเพิ่งพลังของตนเอง
หากไม่มีเรื่องในวันนี้ เกรงว่าเขาคงดื่มเลือดงูไปแล้ว ท้ายที่สุดกลับเป็นโชคของหลี่มู่แทน
เวลาผ่านไป
พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งวันแล้ว
ร่างกายหลี่มู่มีไอน้ำสีขาวพวยพุ่งออกมา ทั่วร่างเสมือนอาหารที่กำลังนึ่ง มีไอร้อนออกมาจากทุกรูขุมขน
อุณหภูมิในห้องฝึกยุทธ์เพิ่มขึ้นหลายองศา
“ฟู่…” เขาหายใจออกยาวๆ เขาเปิดตาและยืนขึ้นช้าๆ รู้สึกสบายไปทั่วร่าง
โดยเฉพาะบริเวณไหล่ที่บาดเจ็บ ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย
เมื่อหลี่มู่ดึงผ้าพันแผลออกก็ต้องตกใจเมื่อหันไปมองดู
“หืม? อาการบาดเจ็บได้รับพื้นฟูเต็มที่แล้ว แต่กลับไม่เหลือรอยแผลเลยแม้แต่น้อย?”
เรื่องนี้สร้างความประหลาดใจให้เขาเป็นอย่างมาก
เพราะการบาดเจ็บจากลูกธนูเป็นแผลลึก จากนั้นเขายังแสร้งทำเก่งดึงลูกธนูออกมา ทำให้แผลฉีกขาดมากขึ้น พูดได้ว่ามองทะลุจากหน้าไปหลังได้เลย แต่ตอนนี้เพียงผ่านไปครึ่งวันก็หายดีเหมือนเก่า แม้แต่รอยแผลก็ไม่มี ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ
เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร?
เป็นเพราะการผสมผสานของเลือดงูหรือผลของพลังก่อนกำเนิดกันแน่
หลี่มู่ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ไม่รู้จะตัดสินว่าเป็นเพราะอะไร
เขาหามีดอย่างรีบร้อน ก่อนจะกดไปที่หลังมือของเขา สร้างแผลเพื่อลองดูว่าบาดแผลจะฟื้นฟูเร็วหรือไม่ แต่ก็รู้สึกว่ามันคงจะเจ็บมาก หลังลังเลอยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็ตัดสินใจได้
อย่างไรอาการบาดเจ็บสาหัสก็ยังหายภายในครึ่งวัน นับว่าเป็นเรื่องดี
อีกทั้งหลี่มู่รู้สึกรางๆ ว่าร่างกายเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง พลังกายเพิ่มขึ้นมาก หากเทียบกับก่อนที่จะไปจู่โจมฐานที่มั่นพรรคเสินหนง เขารู้สึกถึงพลังอันเปี่ยมล้นราวกับสามารถใช้หนึ่งหมัดทลายฟ้า หนึ่งหมัดทลายแผ่นดินได้ รู้สึกว่าแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้หลี่มู่ยังรู้สึกว่าหลังจากผ่านการปะทะครั้งใหญ่แบบนี้มา ประสาทสัมผัสทั้งห้าพัฒนาขึ้นประหนึ่งมีคนมาปลดพันธนาการในร่างกาย ทุกข้อต่อในร่างกายยืดหยุ่นมาก เส้นเอ็นก็กลายเป็นอ่อนนุ่ม
หลี่มู่ลองใช้หมัดยุทธ์แท้
เขาตั้งท่าพื้นฐานอย่างง่ายดาย
กระบวนท่าแรก ‘ค้อนทะยานฟ้า’ ถูกนำออกมาฝึก ไม่รู้สึกถึงความหนักอึ้ง เจ็บปวดที่เส้นเอ็น หรือชาที่กล้ามเนื้ออะไรเลย แต่เป็นความรู้สึกสบายอย่างที่ไม่มีมาก่อน พลังออกมาจากระหว่างเอวและช่องท้องเชื่อมเข้ากับสันหลัง ระหว่างกำปั้นและเท้ามีคลื่นพลังราวกับมังกรคำราม มีเสียงระเบิดพลังราวกับฟ้าร้อง
หลี่มู่รู้สึกติดใจความรู้สึกแบบนี้
เขาฝึกท่า ‘ค้อนทะยานฟ้า’ จบหนึ่งครั้ง เขาไม่ฝึกกระบวนท่าที่สอง ‘ลิ่มสวรรค์’ แต่วนฝึกท่า ‘ค้อนทะยานฟ้า’ ฝึกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ่งฝึกยิ่งลื่นไหล ยิ่งฝึกยิ่งสวยงาม
หลี่มู่รู้สึกเหมือนมีข้อมูลบางอย่างแวบขึ้นมาในหัว เป็นเคล็ดลับการกักเก็บพลังและปล่อยพลังอยู่ในระดับเชี่ยวชาญ เหมือนโชคมาปัญญาเกิด ทำให้หลี่มู่รู้สึกว่าท่วงท่า ‘ค้อนทะยานฟ้า’ เปลี่ยนไปผ่านทางสมอง สุดท้ายก็นำมาประยุกต์ใช้จนเกิดเป็นสัญชาตญาณของกล้ามเนื้อและกระดูก
หลี่มู่หยุดลง
เขารู้ว่าการควบคุมพลังของเขาก้าวข้ามไปอีกขั้น
หมัดยุทธ์แท้ไม่ใช่วรยุทธ์ที่เอาไว้ใช้ฆ่าฟัน แต่ให้ผลเยี่ยมยอดในด้านการหลอมรวมร่างกาย การตระหนักรู้ ไปจนถึงการบุกเบิกหนทางแห่งวิถียุทธ์ เรียกได้ว่าเป็นหนทางการควบคุมการเคลื่อนไหวพื้นฐาน ซินแสเฒ่าเคยกล่าวว่า หมัดยุทธ์แท้เป็นเพลงหมัดของเซียน ตอนนี้หลี่มู่เชื่อแล้ว
แน่นอนว่าวิชายุทธ์ทั่วไปไม่ส่งผลเช่นนี้
หมัดยุทธ์แท้และพลังก่อนกำเนิดล้วนเป็นความลับอันยิ่งใหญ่ของหลี่มู่ ไม่ควรให้แพร่งพรายออกไป
มิเช่นนั้นจะนำภัยมาสู่ตน
หากเรื่องนี้ถึงหูเหล่ายอดฝีมือในยุทธภพว่ามีเคล็ดวิชาแบบนี้อยู่บนโลก เกรงว่าจะเกิดการนองเลือดระหว่างยอดฝีมือในยุทธภพ นำมาซึ่งการต่อสู้และฆ่าฟัน แม้ว่าหลี่มู่จะมั่นใจ แต่เขายังอ่อนเยาว์ ยังไม่โตเต็มวัยและปีกกล้าขาแข็งไม่พอ แม้ว่าในวันนี้เขาจะทำลายพรรคเสินหนงไป เกือบจะไร้เทียมทาน แต่พรรคเสินหนงก็เป็นเพียงพรรคหนึ่งในอำเภอขาวพิสุทธิ์ หลี่มู่ไม่มีโอกาสชนะจอมยุทธ์ที่แท้จริงได้เลยหากต้องประมือกัน
หลี่มู่กำลังขยับแขนขาอยู่ในห้องฝึกยุทธ์
เขายืนฝึกวรยุทธ์อยู่หน้าแผ่นศิลา ไม่ต้องดิ้นรนอะไร เขาค่อยๆ ขยับกำปั้นชกไปที่แผ่นศิลาจนเกิดคลื่นเสียง กำปั้นเหมือนต่อยเข้าไปที่ดินเหนียว หมัดของเขาจมลงไปในนั้น แต่กลับไม่มีรอยแตกที่แผ่นศิลา
นี่เป็นสัญญาณของการบรรจบพลัง
ความรู้สึกของหลี่มู่เด่นชัด หมัดของเขาเต็มไปด้วยพลัง
ตู้ม!
มีเสียงดังขึ้น
แผ่นศิลาฝึกยุทธ์ที่แข็งราวกับเหล็กแตกกระจายเหมือนผงฝุ่นที่ระเบิดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย กลายเป็นฝุ่นหินแล้วลอยตามลมไป
หลี่มู่เป่าผงหินที่อยู่บนตัว รู้สึกพอใจกับพลังนี้
เขาตระหนักว่ากระบวนท่าแรก ‘ค้อนทะยานฟ้า’ ประกอบไปด้วยการปล่อยพลัง ‘ที่เบากว่าการยกของหนัก’ กำปั้นนี้ประกอบด้วยพลังหมื่นจิน แต่กลับปล่อยออกไปอย่างแผ่วเบาราวกับลมพัดยอดหญ้า และล้มคู่ต่อสู้ได้อย่างแน่นอน
“สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ เหมือนร่างกายของเราไม่ผลิตพลังปราณแบบจอมยุทธ์บนโลกใบนี้”
หลี่มู่ไม่ค่อยเข้าใจ
พลังก่อนกำเนิดดูไม่ใช่วิธีฝึกพลังปราณ แม้ว่าจะมีความอบอุ่นในเส้นลมปราณพิเศษ 8 เส้นขณะที่หายใจ แต่หลังจากฝึกความอบอุ่นนี้ก็จางหายไป ไม่ได้กักเก็บอยู่ในร่างกาย
‘เราอาจจะต้องลองฝึกวรยุทธ์ของโลกใบนี้ดู?’
แม้ว่าพลังก่อนกำเนิดและหมัดยุทธ์แท้เป็นทักษะที่เพิ่มกำลังและสร้างเสริมร่างกาย เป็นหนทางแห่งการต่อสู้ที่แท้จริง
หลี่มู่ครุ่นคิดอยู่ภายในใจ แล้วเดินออกจากห้องฝึกฝน
ความมืดเข้าปกคลุมด้านนอก
แสงจันทร์กระจ่างดุจน้ำ
ค่ำคืนที่มีแสงจันทร์ ร่างผอมบางยืนอยู่นอกประตูที่หันไปทางภูเขา ไร้เสียงรบกวนใดๆ เงียบเหมือนมีเพียงวิญญาณ
“ใครน่ะ?” หลี่มู่ตกใจ เมื่อเดินเข้าไปใกล้จึงจำได้ว่าเป็นเด็กหญิงผู้รับใช้บัณฑิตหมิงเยวี่ย จึงพูดว่า “ข้าเดินผ่านมาพบ เจ้ามายืนทำอะไรลับๆ ล่อๆ ตรงนี้? ทำเอาข้าตกอกตกใจหมด”
หมิงเยวี่ยหันศีรษะกลับมา ดวงตารูปเสี้ยวจันทร์ทั้งสองฉายแววไม่พอใจ กล่าวขึ้นว่า “คุณชาย คำที่ท่านพูดนับวันยิ่งประหลาด ยังมาว่าข้าทำตัวลับๆ ล่อๆ อีก ข้าแค่มาชมจันทร์ อ่า จริงสิ คนสอพลอแซ่เฝิงอะไรนั้นรอท่านอยู่ในที่ว่าการมาประมาณหนึ่งชั่วยามแล้ว”
หลี่มู่ฟังแล้วรู้สึกขบขัน
ขนาดเด็กน้อยอย่างหมิงเยวี่ยยังดูออกว่าเฝิงหยวนซิงประจบสอพลอ?
ดูท่าจะมารายงานความคืบหน้าของงานในวันนี้
เขากำลังคิดจะออกไปพบ แต่จู่ๆ ก็เกิดเสียงบางอย่างขึ้น จึงระเบิดหัวเราะแล้วพูดว่า “ด้านหลังจวนของพวกเรา มีสัตว์ประเภทไก่หรือเป็ดไหม?”
ภายใต้แสงจันทร์ เด็กรับใช้บัณฑิตที่ผิวขาวราวกับหิมะ รูปร่างที่เปราะบางน่าทะนุถนอม กำลังจับผมเปียเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนจะพยักหน้าพูดว่า “เหมือนจะมีนะเจ้าคะ คุณชาย ท่านกินเนื้อของมันหรือไม่? ข้าอยากกินตูดไก่”
หลี่มู่ลูบหน้าผากอย่างไม่มีทางเลือก “ได้ๆๆ ตูดไก่เป็นของเจ้า เจ้าไปเชือดไก่ก่อนแล้วนำเลือดไก่ใส่ชามมาให้ข้า”
……
ในห้องโถงส่วนหน้า ที่ว่าการประจำอำเภอเมือง
เฝิงหยวนซิงรอคอยอย่างกระวนกระวายใจ
เขารอมาหนึ่งชั่วยามแล้ว รู้สึกร้อนใจแต่ไม่กล้าแสดงออกมาทางสีหน้า
ระหว่างที่รอ สิ่งที่เกิดขึ้นในพรรคเสินหนงวันนี้ยังคงฉายซ้ำอยู่ในใจของเฝิงหยวนซิง ภายในใจยิ่งยำเกรงหลี่มู่
เหตุการณ์ในวันนี้ เริ่มแรกที่ถ้ำหิน เขาเลือกที่จะทรยศโจวอู่อย่างไม่ลังเลเพราะมั่นใจในความวู่วามของหลี่มู่ที่ยังเยาว์วัย คนประเภทนี้ แม้ว่าจะมีพลังยุทธ์แข็งแกร่ง แต่หากวางแผนให้ดีก็สามารถชักจูงได้ง่าย เฝิงหยวนซิงอยู่ข้างกายโจวอู่ที่เจ้าเล่ห์มานานหลายปี ด้วยกลยุทธ์ของเขาและความมั่นใจในการบริหารเมืองของตนเอง เขาคิดว่าตนสามารถควบคุมหลี่มู่ ทำให้ขุนนางเมืองหนุ่มคนนี้ฟังคำของเขา และจะยึดครองอำนาจในอำเภอขาวพิสุทธิ์ แต่ตอนนี้กลับพบว่ายิ่งเวลาผ่านไปเขายิ่งไม่มั่นใจ
การกระทำของหลี่มู่ยิ่งทำให้เขาเกิดความกลัวขึ้น
ในเวลานั้น มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น
เฝิงหยวนซิงตกใจเมื่อรู้ว่าขุนนางเมืองมาแล้ว จากนั้นกระวีกระวาดยืนขึ้น จัดระเบียบเสื้อผ้า แล้วคำนับด้วยความนอบน้อม
แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นร่างที่มาจากทางประตูด้านหลัง เฝิงหยวนซิงก็งุนงง
คนที่เดินเข้ามาก็คือหลี่มู่
แต่ช่างแตกต่างจากที่เฝิงหยวนซิงจินตนาการเอาไว้
ในเวลานี้ ท่อนบนของหลี่มู่พันผ้าพันแผลเอาไว้ ทั้งยังฉ่ำไปด้วยเลือด ดูแล้วน่าตกใจที่สีหน้าคนผู้นี้อ่อนล้า ในมือถือไม้เท้าเดินอย่างเชื่องช้า ดูราวกับเจ็บสาหัส เมื่อเทียบกับความดุดันที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังในระหว่างวันแล้ว ช่างดูแตกต่างโดยสิ้นเชิง อ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด
“คารวะท่านขุนนางเมือง” เฝิงหยวนซิงที่กำลังตกใจรีบเข้าไปทำความเคารพ
……………………..