จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 21 กำลังภายใน
หลี่มู่โบกมือ ด้วยการช่วยประคองของเด็กหญิงผู้รับใช้บัณฑิตหมิงเยวี่ย เขาเดินไปถึงที่นั่งประธานแล้วกล่าวว่า “มีเรื่องอะไร รีบพูดมา”
เฝิงหยวนซิงโค้งตัว รายงานว่า “เรียนท่านขุนนางเมือง จัดการฐานที่มั่นพรรคเสินหนงจนเสร็จสิ้นแล้วขอรับ คนชั่วที่หลงเหลืออยู่ถูกส่งเข้าคุก สิ่งของ อาวุธ สมุนไพร อาหาร และของอื่นๆ ถูกขนย้ายมาที่ว่าการประจำเมือง รอให้ใต้เท้าจัดสรร จวนนายตรวจการและบ้านสกุลโจวก็ปิดเอาไว้แล้ว เพียงแต่..” เอ่ยถึงตรงนี้ เขาลังเลเล็กน้อย ไม่กล้าพูดต่อไป
“แต่อะไร” หลี่มู่พูดอย่างไร้เรี่ยวแรง
เฝิงหยวนซิงกัดฟัน รายงานต่อว่า “ตอนที่ข้าน้อยนำคนไปจวนนายตรวจการและบ้านสกุลโจว พบว่ามีแต่ความว่างเปล่า ของทุกอย่างถูกขนออกไปแล้ว สมาชิกในบ้านนั้นหายตัวไป เหลือเพียงสาวใช้บางส่วนและห้องลับถูกทำลายทั้งหมด ไม่ทิ้งร่องรอยให้ติดตามขอรับ”
นี่ก็หมายความว่าเขาคว้าน้ำเหลว ไม่มีอะไรคืบหน้าเลย
ในเวลานี้ เฝิงหยวนซิงกลัวจับใจว่าขุนนางเมืองหนุ่มจะก้มหน้าลงมาพูดว่า ‘ข้าส่งเจ้าเอง’ แล้วแผลงศรใส่เขาเหมือนโจวอู่และเจิ้งหลงซิง ช่างเข้ากับคำกล่าวที่ว่าติดตามผู้นำเหมือนติดตามเสือจริงๆ
“โธ่เอ๊ย เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ เจ้าจัดการไปเองเถอะ สืบได้ก็สืบ สืบไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” หลี่มู่กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
เขาสังหารโจวอู่และเจิ้งหลงซิงไม่ใช่เพราะทรัพย์สิน และยิ่งไม่ใช่ว่าต้องการรู้ความลับอะไร
เฝิงหยวนซิงถอนหายใจโล่งอก
หลี่มู่เอ่ยต่อว่า “ทรัพย์สินที่ยึดมาจากพรรคเสินหนงในนั้นมีหนังสือเคล็ดวิชาลับอะไรรึไม่?”
“มีหนังสือวรยุทธ์อยู่หลายเล่ม บนร่างของซือคงจิ้งพบ ‘ตำราพิษทั้งห้า’ และ ‘เคล็ดกลั่นพลังปราณ’ เป็นวิชาทั่วไปขอรับ หากเทียบกับพลังที่สวรรค์ประทานให้ใต้เท้าแล้วยังห่างชั้นราวฟ้ากับดิน” เฝิงหยวนซิงกล่าวประจบอีกครั้ง
หลี่มู่พูดอย่างหงุดหงิดขึ้นว่า “อย่าพูดเหลวไหล ส่งตำราทุกเล่มมาให้ข้า”
สีหน้าของเฝิงหยวนซิงไม่มีความสงสัยแม้แต่น้อย กล่าวอย่างร้อนรนต่อไป “ได้ๆๆ ข้าน้อยจะรีบนำมาให้ใต้เท้า”
ตอนที่เขาหันหลังกำลังจะเดินจากไป หลี่มู่เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงถามว่า “จริงสิ ในที่ว่าการแห่งนี้มียอดฝีมือในการยิงธนูด้วย?”
เฝิงหยวนซิงหันกลับมาตอบ “ใต้เท้า ช่างบังเอิญเสียจริงที่หัวหน้าองครักษ์หม่าจวินอู่เป็นยอดฝีมือในการยิงธนู ใต้เท้าอยากเรียนยิงธนูหรือ?”
หลี่มู่พยักหน้า ทันใดนั้นก็ไออย่างรุนแรง เขาอ้าปากถ่มเสมหะปนเลือดออกมา สีหน้าเขาเปลี่ยนไปแล้ว “ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เจ้าไปเถอะ”
เฝิงหยวนซิงมองเสมหะปนเลือด ภายในใจสั่นไหว
‘อาการบาดเจ็บของใต้เท้าดูแล้วจะหนักกว่าที่คาดไว้’
ทันใดนั้นเขาก็เริ่มกังวลใจ
ใต้เท้าที่แข็งแรงดุจเทพเซียนอยู่สภาพเช่นนี้ จะสามารถต้านทานการแก้แค้นของพรรคจันทราโลหิตและสกุลโจวได้หรือ?
โจวอู่และเจิ้งหลงซิงถูกฆ่าเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของทั้งสองฝ่าย แน่นอนว่าคงไม่ยอมรามือไปง่ายๆ
เฝิงหยวนซิงจากไปอย่างหนักใจ
ทันทีที่เขาจากไป เด็กน้อยหมิงเยวี่ยก็กระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข “คุณชาย ทำไมท่านถึงเอาเลือดไก่มาป้ายตัวล่ะ เหมือนเจ้าคนประจบสอพลอนั่นจะหลงเชื่อนะ สีหน้าเหมือนกำลังกินอาจมเลย ฮ่าๆๆ จริงสิ ทำไมท่านถึงพ่นเลือดออกมาได้ล่ะ? ไม่ใช่ท่านจะตายจริง ๆ หรอกนะ? ฮ่าๆๆ ท่านต้องรักษาคำพูดนะเจ้าคะ ต้องให้ข้ากินตูดไก่ด้วย”
“เจ้าเด็กน้อย ไปกินตูดไก่ของเจ้าเถอะ” หลี่มู่ยกมือเขกหัวเด็กหญิงหนึ่งที
เทียบกับเด็กคนนี้แล้ว บาดแผลเจ็บน้อยกว่าการปวดใจเยอะทีเดียว
……..
ยามค่ำคืน
“หลี่มู่ หากข้าไม่แก้แค้นเจ้า อย่านับว่าข้าโจวเจิ้นไห่ยังเป็นคนอยู่เลย”
ภายนอกที่ว่าการ ส่วนลึกของทางบนเขาขาวพิสุทธิ์ มีชายแก่ที่เผยสีหน้าชั่วร้ายผู้หนึ่ง เขามีอายุประมาณหกสิบปี กำลังชูมือขึ้นพูดกับดวงดาวสุกสกาวบนท้องฟ้าในอำเภอขาวพิสุทธิ์ และกล่าวสาปแช่งด้วยความเศร้าออกมา
รอบๆ เขามีคนนับร้อยติดตามอยู่
ในนั้นล้วนเป็นคนบ้านสกุลโจว ทั้งพี่น้องของรองขุนนางเมืองโจวอู่ ภรรยาเอก ภรรยารอง และลูกหลาน
คนที่สบถคำสาปแช่งออกมา ชายผู้ชั่วร้ายในวัยหกสิบก็คือโจวเจิ้นไห่ซึ่งเป็นบิดาของโจวอู่
แววตาคนบ้านสกุลโจวเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
เดิมทีในอำเภอพวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี กินอยู่อย่างราชา ทำอะไรได้ตามอำเภอใจ แต่ทุกอย่างกลับจบสิ้นลงเพราะขุนนางเมืองหน้าใหม่ พวกเขาต้องรีบหลบหนี ละทิ้งสิ่งของที่มีทั้งหมดมาอาศัยอย่างทุกข์ทรมานในเขาลึกแห่งนี้ โดยเฉพาะเด็กรุ่นเยาว์ของสกุลโจวที่โดนเลี้ยงมาอย่างตามใจ ไม่เคยประสบความยากลำบากในชีวิต ต้องระหกระเหินมาทั้งคืนบนถนนขรุขระของเขาแห่งนี้จนฝ่าเท้าเป็นแผลซ้ำยังโดนยุงกัด จึงรู้สึกทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก อยากสับหลี่มู่ทั้งเป็นด้วยความแค้น
“หากพวกเราอาศัยอยู่ในเมืองแล้วใช้แซ่หลี่ คงไม่มีใครกล้าทำอะไร เราใช้ความเกี่ยวข้องนี่ได้…” เด็กในสกุลโจวพูดออกมาโดยไม่ทันระวัง
“หุบปาก” โจวเจิ้นไห่มีสีหน้าดุร้ายและโหดเหี้ยม ราวกับสิงโตกำลังโกรธ ดวงตากวาดมองผู้คนจนทุกคนต่างก้มหน้า เขากล่าวขึ้นว่า “เจ้าโง่ หลี่มู่ผู้นั้นใจอำมหิตและไร้ความปรานี เจ้าคนโฉดนั่นมันกล้าสังหารลูกชายข้า เตรียมการจะฆ่าปลาทำลายตาข่าย หากพวกเรายังอยู่ในเมืองเกรงว่าคงจะกลายเป็นศพไปแล้ว หากเจ้าอยากตายก็กลับไปดู”
ทุกคนต่างเงียบ ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
วันนี้เมื่อได้ยินข่าวที่ว่าโจวอู่โดนฆ่าตาย ประมุขตระกูลรุ่นก่อนอย่างโจวเจิ้นไห่ก็ตั้งตัวพาคนในบ้านสกุลโจวหลบหนีในทันที เป็นครั้งแรกที่เขาจากอำเภอขาวพิสุทธิ์มา เพื่อรักษาความลับและรุ่นหลานสกุลโจวไว้
“ฮึ ปล่อยให้มันทะนงตัวไปก่อน พวกเราไปพบพี่ใหญ่ของข้าซึ่งเป็นผู้อาวุโสของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ ขอเพียงให้ยอดฝีมือสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ออกแรง หลี่มู่ต้องถูกสับเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น กลายเป็นกองเลือดแล้วเผาให้เป็นจุณ เพื่อเป็นการแก้แค้นสำหรับเรื่องในวันนี้”
โจวเจิ้นไห่กล่าวอย่างชั่วร้าย
“พวกเราไป”
เขากำหมัดหันไปมองอำเภอขาวพิสุทธิ์ด้วยสีหน้าเคืองแค้น แล้วเดินไปยังทางเท้าที่ขรุขระ มุ่งหน้าไปในเขาลึก
……
ท่ามกลางความมืดที่หนาวเย็น
“เจิ้งหลงซิงตายแล้ว ฮ่าๆ ตายก็ดีแล้ว หัวหน้ากลุ่มที่ภาคภูมิ พรรคจันทราโลหิตลงทุนลงแรงช่วยเขาตั้งมากมาย ให้เขาได้เป็นถึงนายตรวจการแห่งอำเภอขาวพิสุทธิ์ สุดท้ายต้องมาตายด้วยน้ำมือเด็กหนุ่มคนหนึ่ง คนไร้ค่าเช่นนี้ยิ่งตายเร็วได้เท่าไหร่ยิ่งดี จะได้ไม่ฟุ่มเฟือยทรัพยากรของพรรค”
เสียงนั้นเหมือนเสียงนกฮูก ดังก้องในห้องโถงที่มืดมิด
จันทราเลือดลอยอยู่ในห้องโถง
แสงในห้องโถงเหมือนมีสีของเลือดปะปนอยู่ บนพื้นมีจอมยุทธ์ยอดฝีมือจำนวนยี่สิบคนสวมเกราะจันทราโลหิตคุกเข่าอยู่ พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ เพราะต่างรู้ดีว่าประมุขพรรคไม่พอใจในเรื่องนี้มาก ความกดดันที่สะสมมานานหลายปีทำให้ทุกคนในพรรคจันทราโลหิตต่างกลัวประมุขที่ลึกลับผู้นี้
“แต่มาสังหารหัวกลุ่มพรรคจันทราโลหิตของข้า เรื่องนี้หากเราไม่คิดบัญชี พวกเราคงได้เป็นตัวตลกในยุทธภพ หากอยากจะเป็นพรรคชั้นนำก็คงจะเสียเปล่า” เสียงประมุขพรรคดังขึ้นมาอีกครั้ง
เสียงที่เหมือนเหล็กกระทบกันชวนให้คนฟังรู้สึกถึงกรดในกะเพาะอาหาร ใจสั่นระรัว
“ในเมื่อหลี่มู่ผู้นี้เป็นจอมยุทธ์ก็จัดการได้ง่าย ประกาศออกไป หลังจากนี้สามเดือนข้าจะออกไปท้าประลองกับหลี่มู่ที่ยอดเขาจีเฟิง โดยใช้กฎของเก้าสำนักเทพแก้ไขเรื่องราวนี้” ในห้องโถง เสียงสะท้อนของประมุขพรรคจันทราโลหิตเหมือนเสียงอสูรที่กำลังกระหายเลือด
ยอดฝีมือพรรคจันทราโลหิตรู้สึกหนาวสั่นในหัวใจ
เก็บตัวฝึกฝนอยู่สิบปี ในที่สุดท่านประมุขจะออกไปโลกภายนอกแล้ว?
สิบปีก่อน ประมุขพรรคเป็นผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในจุดสูงสุดขั้นรวมจิต ออกสังหารไปทั่วหล้า เป็นบุคคลที่ผู้คนในยุทธภพต่างหวาดกลัว เพื่อให้พรรคจันทราโลหิตก้าวข้ามสำนักต่างๆ เขาเลือกที่จะเก็บตัวฝึกฝนวิชาอันโหดร้ายยิ่ง มาวันนี้ การประเมินสำนักในใต้หล้าที่สิบปีมีครั้งหนึ่งกำลังจะเปิดฉาก ท่านประมุขออกมาในเวลานี้ หมายความว่าเขาก้าวหน้าขึ้นแล้ว และมั่นใจเป็นอย่างมาก?
สามารถจินตนาการได้ว่า คนแข็งแกร่งในยุทธภพจากทั่วทุกทิศกำลังจะปรากฏตัวแล้วก่อให้เกิดการนองเลือดขึ้น
สำหรับขุนนางเมืองหนุ่มแห่งเมืองขาวพิสุทธิ์น่ะหรือ?
ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
……
“ของสิ่งนี้ก็เรียกว่าตำราได้ด้วย?”
หลี่มู่ส่ายหัวอย่างดูแคลน วางตำราสีน้ำเงินเข้มในมือลงด้านข้าง
หลังจากที่เฝิงหยวนซิงจากไปเมื่อคืน เขาก็สั่งคนให้นำตำราวิชายุทธ์ที่เก็บมาจากพรรคเสินหนงมาให้ทันที เบื้องต้นอ่านแล้วไม่มีสาระสำคัญ ในนั้นเล่มที่มีความสำคัญที่สุดก็คือ ‘ตำราพิษทั้งห้า’ และ ‘เคล็ดกลั่นพลังปราณ’ พอจะฝืนใจนับว่าเป็นเคล็ดวิชาลับวิถียุทธ์ได้
หลี่มู่ลองอ่าน ‘ตำราพิษทั้งห้า’ ก่อน เมื่ออ่านจบก็รู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อย
สิ่งที่เรียกว่า ‘ตำราพิษทั้งห้า’ เล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการหลอมพิษ ควบคุมพิษ รวมถึงวิธีการใช้พิษทำอาวุธ วางกับดัก และสังหารคน จะว่าไปก็บันทึกวิธีการและเทคนิคการลอบฆ่าแบบนอกรีตไว้ส่วนหนึ่งด้วย ในเวลาสั้นๆ สามารถฝึกแบบรวดรัดได้ แต่อยู่ในขอบเขตที่จำกัด ไม่อาจฝึกฝนระยะยาวได้
แม้ว่าหลี่มู่จะเพิ่งเริ่มฝึกวรยุทธ์ แต่ตอนอยู่บนโลกมนุษย์อารยธรรมกำลังภายในล้วนผ่านหูผ่านตามาแล้ว ซินแสเฒ่าเป็นผู้ที่สอนเขา เขารู้อยู่แล้วว่าจะเลือกฝึกวิชามารนอกรีตไม่ได้ พลังที่แท้จริงก็คือความแข็งแกร่งของตนเอง ไม่ใช่อาศัยสิ่งอื่นอย่างเช่นพิษ
ดังนั้นหลังจากอ่านจบครั้งหนึ่ง เขาก็ไม่ได้สนใจ ‘ตำราพิษทั้งห้า’ ที่เป็นของนอกรีตนี่อีก
หลังจากนั้นเขาเริ่มเปิดอ่าน ‘เคล็ดกลั่นพลังปราณ’
เนื้อหาของตำราเล่มนี้ ในส่วนแรกก็บอกถึงสาระสำคัญตรงเข้าประเด็น จึงดึงความสนใจของหลี่มู่ได้
“พลังกายมีจุดอ่อน อาวุธเทพมีจุดอ่อน ภูเขาแม่น้ำมีจุดอ่อน ไฟและน้ำแข็งมีจุดอ่อน…สรรพสิ่งมีจุดอ่อนด้วยกันทั้งสิ้น แต่พลังที่แกร่งที่สุดในฟ้าดินมีเพียงปราณ ปราณคือพลังที่ยิ่งใหญ่ในฟ้าดิน เป็นกฎของสรรพสิ่ง ไม่มีรูปไม่มีสี ไม่มีกลิ่นไม่มีรส กักเก็บไว้เกินเก้าวัน ไหลเวียนอยู่ในจุดที่ลึกที่สุด ผู้คนที่โง่งมไม่อาจเข้าใจได้ โชคดีที่โบราณกาลมีนักบวชผู้หนึ่งเข้าใจวิถีฟ้าดิน เข้าใจในความว่างเปล่า ควบคุมปราณไว้ในจิตวิญญาณจะรู้หนทาง เปิดประตูรับปราณเข้าร่างจะได้พลังแห่งปราณ โลดแล่นอหังการในฟ้าและดิน จวบจนวันนี้ การกลั่นพลังปราณเป็นที่แพร่หลาย พันหมื่นสำนักทั่วหล้ามีเคล็ดวิชามากมาย แต่รากฐานสำคัญคือการกลั่นพลังปราณ ไม่เว้นแม้แต่เก้าสำนักเทพ…”
…………………………………