จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 22 ประตูปราณ
ข้อความบทนี้กล่าวถึงรากฐานวิถียุทธ์
ใจความสำคัญก็คือ ทุกอย่างในโลกล้วนมีจุดอ่อนแอ แม้ว่าจะเป็นน้ำ ไฟ ทอง หรือเหล็ก ดูเหมือนไร้ความปรานี ทว่ามันไม่ใช่พลังที่แข็งแกร่งที่สุด พลังที่แข็งแกร่งที่สุดคือปราณ ปราณไม่มีตัวตน คนธรรมดาไม่สามารถรับรู้ได้ แต่ในอดีตกาลมีนักบวชค้นพบแล้วจับจุดพลังปราณได้ เมื่อรู้วิธีการฝึกฝน จึงค่อยสร้างหนทางกลั่นพลังปราณขึ้น หากสิ่งมีชีวิตธรรมดาชำนาญการกลั่นปราณประเภทนี้ จะแข็งแกร่งขึ้นเทียบเท่าเทพเซียน เก่งกาจเหนือใครในยุทธภพ
ดังนั้นระบบการฝึกยุทธ์ในโลกใบนี้ จึงเรียกได้ว่าเป็นหนทางแห่งการกลั่นปราณ
นี่ยังเป็นครั้งแรกที่หลี่มู่เห็นคำอธิบายโดยละเอียดของระบบวิถียุทธ์ในโลกใบนี้
ช่วงเริ่มต้นของ ‘เคล็ดกลั่นพลังปราณ’ เป็นการกล่าวยกย่องพลังของ ‘ปราณ’ อย่างที่สุด เรียกว่ามันเกือบเหมือนเต๋า นอกจากนี้ยังยกตัวอย่างและรายละเอียดมาพิสูจน์ถึงความน่ากลัวของพลังปราณ ส่วนมากพรรณนาถึงทักษะการต่อสู้อันน่าพรั่นพรึงของผู้แข็งแกร่งที่ฝึกพลังปราณจนถึงขีดจำกัด สุดท้ายจึงเน้นย้ำด้วยท่าทีและน้ำเสียงที่เด็ดขาดว่า พลังที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลกนี้คือพลังแห่งปราณ หากไม่ฝึกกลั่นปราณ ก็ยากที่จะทำลายขีดจำกัดโดยกำเนิดของร่างกายมนุษย์ได้ การฝึกร่างกายจนถึงที่สุดล้วนยากจะหลุดพ้นจากทักษะที่ได้มาเองภายหลังอย่างแท้จริง
แต่เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่การโอ้อวด ‘เคล็ดกลั่นพลังปราณ’ แต่เป็นความจริงแท้ที่ไม่อาจหักล้างซึ่งสั่งสมผ่านวันเวลาขึ้นบนดาวดวงนี้
เมื่อหลี่มู่อ่านถึงตรงนี้ ก็คล้ายครุ่นคิดบางอย่าง
บนโลกมนุษย์ ชาวจีนโบราณฝึกวรยุทธ์ก็กล่าวถึง ‘ปราณ’ เช่นกัน อาทิการฝึกกำหนดลมปราณหรือชี่กง หลังจากการวิวัฒนาการของอารยธรรมศิลปะการต่อสู้มากมาย ชี่กงก็เป็นที่นิยมอย่างล้นหลามในประเทศจีน เชื่อว่าการฝึกชี่กงจะทำให้มีพลังภายใน สิ่งเรียกได้ว่าปราณแท้หรือกำลังภายในจำพวกนี้ ก็เชื่อเช่นกันว่าการฝึกชี่กงสามารถปลดโซ่ตรวนในร่างกายและทำเรื่องที่ไม่อาจทำได้ด้วยการออกกำลังเพียงอย่างเดียว เช่นการใช้จิตเคลื่อนย้ายสิ่งของ การทำร้ายคนจากระยะไกล การเหาะเหินเดินอากาศและอื่นๆ กระทั่งของจำพวกเวทมนตร์ทางตะวันตกก็ยังเกี่ยวข้องกับปราณ เพียงแต่ชาวตะวันตกเรียกมันว่าธาตุ
ดาวดวงนี้พูดถึงและมีต้นกำเนิดของการฝึกฝนวรยุทธ์ใกล้เคียงจนเกือบเหมือนบนโลกมนุษย์
ความแตกต่างก็คือ โลกยึดวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นสำคัญ การฝึกชี่กงจึงถูกตั้งคำถามอยู่เสมอ พลังเหนือธรรมชาติต่างๆ ที่ผู้ฝึกกงชี้กล่าวกัน เช่นการเหาะเหินเดินอากาศ เหยียบหิมะโดยไร้ร่องรอย หรือใช้จิตเคลื่อนของ ส่วนมากมักจะปรากฏในหนังจีนกำลังภายใน ทว่าบนดาวดวงนี้ พลังปราณถูกค้นพบและบุกเบิกอย่างแท้จริง เป็นสิ่งที่รับรู้โดยทั่วกัน และช่วยให้ครอบครองพลังเหนือธรรมดาได้จริง
จะว่าไป หลี่มู่ก็เห็นด้วยกับการบรรยายเรื่องปราณในบทนำของ ‘เคล็ดกลั่นพลังปราณ’
เขาก้มหน้าอ่านต่อไป
เนื้อหา ‘เคล็ดกลั่นพลังปราณ’ หลังจากบทนำเป็นวิธีการกลั่นพลังปราณธรรมดา
วิธีฝึกก็คือการวิธีหายใจอย่างหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่เหมือนพลังก่อนกำเนิดก็คือ การหายใจประเภทนี้จะต้องอยู่ในท่วงท่าที่จำเพาะบางอย่าง อีกทั้งระบุไว้ชัดเจนยิ่งว่าการกลั่นพลังปราณมีเงื่อนไขที่ต้องกระทำก่อน เช่นพลังกาย เลือดลม พลังงาน และอายุเป็นต้น พูดได้ว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่มนุษย์ธรรมดาจะฝึกกลั่นพลังปราณได้ทันที ต้องเป็นจอมยุทธ์ขั้นรวมกำลังซึ่งผ่านการฝึกฝนตามระบบแล้วผลักดันพลังกายให้ถึงระดับหนึ่งเท่านั้น ถึงจะสามารถลองกลั่นพลังปราณ เปิดประตูปราณ รับพลังปราณที่กลั่นแล้วเข้าสู่ร่างกาย แล้วจึงกุมพลังปราณได้
“ ‘เคล็ดกลั่นพลังปราณ’ เล่มนี้เป็นขั้นพื้นฐานมาก เป็นวิธีการหายใจเหมือนกัน แต่ว่าเมื่อเทียบกับ ‘พลังก่อนกำเนิด’ ของซินแสเฒ่าแล้ว ความต่างชั้นมากมายเกินจะนับไหว แถมคุณสมบัติการฝึกฝนที่ต้องมีก็ช่างโหดหิน น่าจะเป็นของทั่วไปแต่เป็นที่นิยมกัน…เมื่อคิดดูแล้วก็ใช่ พรรคในอำเภอเมืองเล็กๆ นี้จะมีวิชาฝึกดีๆ ได้ที่ไหน ถ้ามีละก็ซือคงจิ้งคงไม่โดนเราฆ่าตายไปหรอก”
หลี่มู่อ่านจบก็รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง เขาโยน ‘เคล็ดกลั่นพลังปราณ’ ไปข้างๆ เช่นกัน
หลังจากเปรียบเทียบ ในใจเขาก็ประเมินค่า ‘พลังก่อนกำเนิด’ และ ‘หมัดยุทธ์แท้’ สูงขึ้นอีกหลายเท่า
“ปัญหาในตอนนี้คือเราไม่ฝึกไม่ได้กำลังภายใน…”
หลี่มู่ค่อนข้างคิดไม่ตกกับประเด็นนี้
เห็นได้ชัดว่าการฝึกฝน ‘พลังก่อนกำเนิด’ สูงกว่า ‘เคล็ดกลั่นพลังปราณ’ แต่ทำไมถึงไม่สามาถสร้างกำลังภายในได้?
หลี่มู่ยังให้ความสำคัญกับกำลังภายในมาก
พลังกายของเขาตอนนี้สูงเกินขอบเขตของคนปกติแล้ว การจัดการพรรคเสินหนงที่มีอำนาจในอำเภอขาวพิสุทธิ์มานับสิบปี สำหรับเขาแล้วง่ายเหมือนหั่นผัก ทั้งยังมาจากพื้นฐานประสบการณ์การต่อสู้ของเขาเมื่อก่อน เชื่อว่าหากเพิ่มประสบการณ์ต่อสู้ ทักษะด้านนี้ของหลี่มู่ก็จะแข็งแกร่งขึ้น
แต่ปัญหาก็คือ การต่อสู้ที่อาศัยเพียงพลังกายอย่างเดียวก็เหมือนเดินด้วยขาข้างเดียว มีจุดอ่อนมากมาย
อีกทั้งมีวิชาจำนวนมากที่ใช้กำลังภายในหรือพลังภายในมากมายในการผลักดัน หลี่มู่ไม่รู้จะฝึกฝนอย่างไร
พลังกายล้วนๆ จะเพียงพอในการปลดโซ่ตรวน เดินทางออกนอกดวงดาว ข้ามผ่านจักรวาลได้อย่างไร?
ตอนอยู่บนโลกมนุษย์ ซินแสเฒ่ากำลังเน้นฝึกพลังภายในเช่นกัน
แต่ตอนนั้นตาแก่บ่นพึมพำเรียกพลังแบบนี้เรียกว่า ‘พลังเซียน’
จากมุมมองของหลี่มู่ การผลักดันกำลังภายในบนดวงดาวดวงนี้ เป็นไปได้มากว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘พลังเซียน’ เป็นแบบฉบับอย่างหยาบ เป็นพลังในขั้นต้น หากอนาคตต้องการกุมพลังเซียน วันนี้ต้องลองฝึกพลังภายใน แล้วค่อยๆ พัฒนาขึ้น เพราะอย่างไรพลังปราณก็มีความเกี่ยวข้องกับธาตุแท้ของวิถีหลักในฟ้าดิน เมื่อพลังทางกายภาพแข็งแกร่งก็จะเป็นพลังในวันหน้า
“ตามที่ได้อธิบายไว้ใน ‘เคล็ดกลั่นพลังปราณ’ คุณสมบัติร่างกายของเราตรงตามข้อกำหนด แต่ภายในตัวไม่สามารถผลิตกำลังภายในได้? หรือเป็นเพราะว่า ‘พลังก่อนกำเนิด’ ที่ได้ชื่อว่าเป็นวิชาเซียน ระหว่างการฝึกจึงไม่สามารถผลิตกำลังภายใน”
หลี่มู่ใช้ความคิด
ในที่สุด เขาก็หยิบตำรา ‘เคล็ดกลั่นพลังปราณ’ มาพลิกอ่านอีก
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป หลี่มู่เข้าใจส่วนสำคัญที่อยู่ในสมองแล้ว
เขาเริ่มลองเปิด ‘ประตูปราณ’ ตามที่วิธีที่เขียนไว้ใน ‘เคล็ดกลั่นพลังปราณ’
…
เวลาหนึ่งคืนผ่านไปอย่างรวดเร็วยิ่ง
ยามเช้า พระอาทิตย์ส่องแสงสดใส
ในเวลาที่หลี่มู่ออกจากห้องฝึก สีหน้าเขาแปลกมาก
“แปลกจริง หรือว่าเราจะเป็นคนซวยที่ข้ามโลกมาแล้วกากขั้นสุด ในเวลาหนึ่งคืนจำ ‘เคล็ดกลั่นพลังปราณ’ ได้ขึ้นใจแล้ว แต่เส้นลมปราณพิเศษทั้งแปดในตัวกลับไม่สามารถผลิตปราณได้ อย่าว่าแต่การเปิดประตูปราณบ้าบอนั่นเลย”
ใช่แล้ว เวลาหนึ่งคืน หลี่มู่ลองฝึก ‘เคล็ดกลั่นพลังปราณ’ ทุกวิถีทางแต่ล้มเหลวตลอด
เคล็ดลับกระจอกแบบนี้ เขากลับไม่สามารถฝึกมันได้
“ต้องเป็นเพราะเคล็ดลับในตำราเล่มนี้มันธรรมดาไป และเราเป็นอัจฉริยะที่ต้องฝึกจากเคล็ดวิชาลับสุดยอดเท่านั้น…มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ เป็นเหตุผลอื่นไปไม่ได้”
หลี่มู่ตะโกนอยู่ภายในใจ
ชะตากรรมที่ต้องกอบกู้โลก คือต้องทำลายโซ่ตรวนของดวงดาวและเข้าสู่อาณาจักรดวงดาวภายในเวลายี่สิบปี
การเดินทางเข้าสู่อาณาจักรดวงดาวคือจุดเริ่มต้นเท่านั้น
เพราะแค่การเดินทางเข้าสู่อาณาจักรดวงดาว ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถเปลี่ยนการตัดสินใจของดาราจักรจื่อเวยหรือกลุ่มอำนาจวิถียุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ ให้พวกเขายอมยุติการสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายมวลสารขนาดใหญ่แต่โดยดี กว่าครึ่งต้องพลังยุทธ์ ถึงเวลานั้นไม่แน่ว่าอาจเกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้น
ดังนั้นเวลายี่สิบปีนี้จึงเป็นเวลาที่สำคัญยิ่งสำหรับหลี่มู่
การฝึก ‘พลังก่อนกำเนิด’ และ ‘หมัดยุทธ์แท้’ เพิ่มพลังและระดับชีวิตของตนเอง ครอบครองพลังเซียนนี้เป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือเขายังต้องขัดเกลาทักษะการต่อสู้และประสบการณ์การต่อสู้ เพิ่มพลังต่อสู้ในระดับสูงที่สุด และกระตุ้นพลังแฝงในร่างกายให้สำแดงออกมา
ทั้งสองด้านเติมเต็มซึ่งกัน ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้
มิเช่นนั้นก็เหมือนลาวาของภูเขาไฟที่ถูกกดไว้ใต้ดิน ถึงแม้มีพลังที่สั่งสมไว้มากกว่านี้ก็หลบเลี่ยงการปะทุได้ยาก เมื่อขาดวิธีในการต่อสู้ หลี่มู่ที่มีเพียงพลังอันน่าตกตะลึงเฉพาะตัว เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูเป็นไปไม่ได้เลยที่จะต่อสู้เต็มที่อย่างแคล่วคล่อง
ยกตัวอย่างที่ง่ายที่สุด หากหลี่มู่ฝึกทักษะการต่อสู้แล้ว ศึกกับพรรคเสินหนงเมื่อวานเขาคงไม่ต้องสู้แบบสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ทำลายฐานที่มั่นจนยับเยิน และคงไม่ถูกประมุขถูกซือคงจิ้งลอบทำร้ายระหว่างต่อสู้ได้
เชื่อว่าเหตุผลที่ซินแสเฒ่าส่งหลี่มู่มายังดวงดาววิถียุทธ์ระดับล่างแห่งนี้ แทนที่จะส่งเขาไปยังดาวที่บำเพ็ญวิถีเซียนอย่างแท้จริงโดยตรง เป็นเพราะซินแสเฒ่าหวังไว้ว่าหลี่มู่จะขัดเกลาตัวเองบนดวงดาววิถียุทธ์ระดับล่างแห่งนี้ได้ และเริ่มฝึกวรยุทธ์จากจุดเริ่มต้น จนค้นพบรูปแบบการต่อสู้ที่สามารถสำแดงพลังของ ‘พลังก่อนกำเนิด’ และ ‘หมัดยุทธ์แท้’ ของตัวเขาเอง
ข้างหูได้ยินเสียงนกร้องที่เสนาะหูแว่วมา ช่างไพเราะเกินจะเปรียบ
หลี่มู่ค่อยๆ บิดขี้เกียจ หาวหวอดออกมา
อำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์แห่งนี้เป็นเมืองภูเขา ตั้งอยู่ที่ป่าบริสุทธิ์ผืนใหญ่ ทิวทัศน์งดงาม เมืองบนภูเขาเขียวชอุ่ม แมกไม้อุดมสมบูรณ์ สวยงามเป็นอย่างมาก มีวิหคหลากหลายชนิด ในอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้ สดชื่นยิ่งนัก ประหนึ่งแดนสุขาวดีก็ไม่ปาน ที่ว่าการแห่งนี้ตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของเมือง ด้านหลังมีทิวทัศน์ตระการตา เรียกได้ว่าเป็นอำเภอเมืองที่เหนือชั้น
หลี่มู่เดินอยู่ในที่พักด้านหลังที่ว่าการ เสมือนเดินอยู่ในแดนเซียน
สมองของเขากำลังทำงานอย่างรวดเร็ว
“ในเมื่อฝึก ‘เคล็ดกลั่นพลังปราณ’ ไม่ได้ เช่นนั้นก็ต้องหาวิธีการฝึกขั้นสูงกว่าและวิชายุทธ์บางอย่าง ในสำนักใหญ่ต่างๆ น่าจะมีตำราลับชั้นสูงอยู่ ต้องหาวิธีเอามาอ่านดูว่าจะช่วยฝึกจนได้กำลังภายในหรือไม่ หลังจากนั้นก็ลองต่อสู้กับคนที่แข็งแกร่ง แลกเปลี่ยนวิชากันดู ฮี่ๆ แบบนี้ถึงจะได้ผลของการฝึกที่ดีที่สุด”
ภายในหัวหลี่มู่มีแนวโน้มของความคิดที่น่ากลัวมากบางอย่าง
และยุทธภพของทั้งดาวดวงนี้ก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะเกิดคลื่นลมโหมกระหน่ำขึ้นเพราะความคิดที่เรียบง่ายนี้ของหลี่มู่
พอมาถึงห้องโถงด้านหน้า ชิงเฟิงสั่งให้คนเตรียมอาหารเช้าไว้เรียบร้อย เป็นกับข้าวชุ่มคอสองถ้วยกับน้ำแกงเนื้องูชามใหญ่ งูเขียวอสุรกายถูกเก็บอยู่ในห้องแช่แข็งในที่ว่าการ เพียงพอที่จะให้หลี่มู่และเด็กรับใช้สองคนนี้กินไปสักพัก
หมิงเยวี่ยบ่นอย่างไม่พอใจยิ่งว่า “ทำน้ำแกงเนื้องูอะไรออกมา กินเนื้อเฉยๆ ดีกว่าตั้งเยอะ…” ช่างเป็นสัตว์กินเนื้อโดยแท้
………………………….