จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 26 มีคนหาเรื่องอีกแล้ว
ของบรรณาการจากโรงฝึกดารายุทธ์และสำนักคุ้มกันวายุโหมอย่าง ‘หมัดห้าธาตุ’ และ ‘เพลงดาบลมกระโชก’ นับว่าเป็นวิชาต่อสู้ชั้นสูงที่หาได้ในทั้งสองสำนัก แต่ก็เป็นเพียงขั้นเก้า พวกมันไม่ได้นับว่าทรงพลังอะไรปานนั้น ทว่าหากทำได้ถึงขั้นนี้ก็เลือดตกยางออกได้แล้ว
ในห้องฝึกยุทธ์ หลี่มู่เปิด ‘หมัดห้าธาตุ’ ขึ้นมาก่อน
นี่เป็นวิชายุทธ์เชิงหมัด มีเพียงห้ากระบวนท่า นามตั้งมาจากทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดินห้าธาตุนี้ หมัดทองเฉียบคม หมัดไม้คล่องแคล่ว หมัดน้ำนุ่มนวล หมัดไฟร้อนแรง หมัดดินหนักแน่น ห้าท่านี้มีลักษณะเด่นเฉพาะตัว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงวิชาขั้นเก้า ไม่ได้ดีเลิศเท่าใดนัก เป็นเพียงการเลียนอย่างความหมายผิวเผินของพลังทั้งห้าธาตุด้วยการเปลี่ยนท่วงท่าเท่านั้น มิได้แฝงหลักการลึกซึ้งที่ไร้รูปไว้อย่างแท้จริง
หลี่มู่อ่านครั้งหนึ่งก็เข้าใจวิชาหมัดชุดนี้แล้ว
ทั้งที่เป็นวิชาหมัดเช่นเดียวกัน แต่หากเทียบ ‘หมัดห้าธาตุ’ และ ‘หมัดยุทธ์แท้’ ความต่างชั้นยากที่จะคาดคะเนตามหลักทั่วไปได้
หลังจากนั้น หลี่มู่ก็อ่าน ‘เพลงดาบลมกระโชก’
กระบวนท่าของวิชาดาบนี้มากกว่าหน่อย มีทั้งหมดสามสิบหกกระบวนท่า ให้ความสำคัญกับคำว่า ‘รวดเร็ว’ ในสามสิบหกกระบวนท่า ทุกดาบจะเร็วขึ้นเรื่อยๆ ตามที่เขียนในตำรา หากฝึกจนถึงขั้นสูงสุด ประกายดาบฉับไวจะสำแดงทุกกระบวนท่าดาบภายในสิบลมหายใจดุจลมคลั่งกวาดใบไม้ นี่จึงจะสมกับคำว่าลมกระโชกในชื่อวิชาอย่างแท้จริง
‘เพลงดาบนี้มีคุณและโทษอย่างชัดเจน หากเป็นศัตรูธรรมดา คงยากจะรับมือดาบที่รวดเร็วนี้ แต่หากพูดถึงความเร็วก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะสูญเสียความแม่นยำและความรุนแรงไป เมื่อพบกับยอดฝีมือที่แท้จริง ขอเพียงฝ่ายตรงข้ามทำลายจังหวะได้ก็ไม่อาจสู้ไหว’
ในสมองหลี่มู่เข้าใจอย่างชัดเจน
นี่เป็นเพราะซินแสเฒ่าคอยพูดโม้ปลูกฝังหลายๆ อย่างตอนอยู่วัดหรานเติง
ในตอนนั้นเขาคิดเพียงว่าซินแสเฒ่ามีอาการทางประสาท แต่มาตอนนี้ เรื่องมากมายที่ตาเฒ่าพูดล้วนมีเหตุผลทั้งสิ้น
อันที่จริงภายในใจหลี่มู่ก็รู้สึกแปลกใจนัก ซินแสเฒ่าเดิมทีมีที่มาแบบใด เขารู้แทบทุกอย่าง ดูแล้วเหมือนไม่ใช่คนบนโลกมนุษย์ แล้วทำไมถึงไปอยู่ที่โลกมนุษย์ได้?
ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของหลี่มู่ แต่ก็ไม่ได้คำตอบ ได้แต่ต้องรอกลับไปยังโลกมนุษย์แล้วค่อยถามซินแสเฒ่าดู
หลังจากเขาอ่านวิชายุทธ์ทั้งสองเล่มจบก็ครุ่นคิดอยู่สักครู่ แล้วเลือก ‘เพลงดาบลมกระโชก’ ขึ้นมาเริ่มฝึก
เป็นเพราะในแนวคิดด้านศิลปะการต่อสู้ที่เรียบง่ายของหลี่มู่ ตอนต่อสู้การหยิบดาบจะได้เปรียบกว่าสู้ด้วยหมัดเปล่าๆ เล็กน้อย
ในห้องฝึกยุทธ์มีชั้นวางอาวุธอยู่ ทั้งหมดล้วนเป็นของขุนนางเมืองคนก่อน อาวุธทั้งสิบแปดประเภทวางครบถ้วนอยู่บนชั้นวาง แค่ดาบก็มีห้าเล่มแล้ว หลี่มู่ชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะเลือกดาบเล่มที่ยาวที่สุดมา
ยาวหนึ่งชุ่น แข็งแกร่งขึ้นหนึ่งชุ่น[1]!
ช่างเข้ากับความป่าเถื่อนของหลี่มู่ที่ได้รับการสอนสั่งจากซินแสเฒ่ามานานปีมาก
ดาบเรียบๆ เล่มนี้น่าจะเป็นดาบที่หนักที่สุดในจำนวนห้าเล่ม หลอมขึ้นจากเหล็กดี หนักประมาณห้าสิบหกสิบจิน แต่ด้วยพละกำลังประหลาดของหลี่มู่ น้ำหนักในมือเขาจึงเบาเหมือนใบหญ้า ทว่าสามารถนำมาใช้ไปพลางๆ ก่อนได้
เมื่อดาบยาวสั่นไหว ประกายระยับราวกับเกล็ดหิมะปรากฏขึ้นในห้องฝึกยุทธ์
ดาบส่องประกายดุจสายฟ้า
……..
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า
ในยุทธภพทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่เดิมทีก็ไม่นับว่าสงบอยู่แล้วพลันมีข่าวใหญ่แพร่สะพัดไปทั่ว
ข่าวลือกระจายไปทุกที่ ว่ากันว่า ‘จอมมารจันทราโลหิต’ ผู้ร้ายกาจที่เก็บตัวมาหลายสิบปีจะออกจากปิดด่านในอีกไม่ช้า และต้องการท้าประลองกับขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ในอีกสามเดือนให้หลังที่ยอดเขาจีเฟิง หนึ่งในยอดเขาหลักของเทือกเขาขาวพิสุทธิ์
‘จอมมารจันทราโลหิต’ มีชื่อเสียงตั้งแต่หลายสิบปีก่อน เคยก่อให้เกิดฝนโลหิตในยุทธจักรทิศตะวันตกเฉียงเหนือมาแล้ว ในยุทธภพของจักรวรรดิต้าฉินก็นับว่ามีชื่อเสียงระดับหนึ่ง แม้ว่าจะเก็บตัวฝึกฝนมาหลายปี ทว่าพรรคจันทราโลหิตที่เขาก่อตั้งขึ้นยังเคลื่อนไหวอยู่ในยุทธภพมาตลอด และรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ในปีนี้มีคุณสมบัติที่จะเข้าเป็นสำนักระดับเก้าแล้ว มีอนาคตกว้างไกลนัก การได้อันดับขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น ดังนั้นชื่อเสียงอันโหดเหี้ยมของ ‘จอมมารจันทราโลหิต’ จึงไม่เลือนหายไปแต่กลับเพิ่มมากขึ้น อิทธิพลดั่งดวงอาทิตย์ในเวลากลางวัน
ผู้มีฝีมือร้ายกาจเช่นนี้ ทุกการกระทำ ทุกคำพูด ล้วนดึงดูดความสนใจของทุกฝ่ายในแถบตะวันตกเฉียงเหนือของจักรวรรดิ
แต่สิ่งที่ทำให้คนคาดไม่ถึงก็คือ ตอนที่พรรคจันทราโลหิตจะเข้าเป็นสำนักระดับเก้า ประมุขพรรคอย่าง ‘จอมมารจันทราโลหิต’ ออกจากการเก็บตัว เรื่องแรกที่ทำมิใช่การปรับปรุงพรรคและขยายอำนาจ แต่กลับท้าประลองคนรุ่นหลังที่ไร้ชื่อในยุทธภพผู้หนึ่ง สร้างความประหลาดใจให้ผู้คนมากมาย
ใช่แล้ว ดูจากอิทธิพลมากมายของยุทธจักรแถบนี้ หลี่มู่นั้นไร้ชื่อเสียงเรียงนาม
เรื่องเดียวที่ทำให้ผู้คนต้องชำเลืองมองมิใช่พลังของหลี่มู่ แต่เป็นฐานะของเขา
ขุนนางเมืองแห่งอำเภอขาวพิสุทธิ์
มีตำแหน่งขุนนางติดตัว หากเทียบกันก็ไม่ค่อยเหมือนคนรุ่นเยาว์ในยุทธภพแล้ว
อย่างไรก็ตาม ตามธรรมเนียมของแผ่นดินใหญ่เสินโจว ไม่ว่าจะมีตำแหน่งทางราชการใหญ่เพียงใด แม้กระทั่งเป็นคนในราชวงศ์ เมื่อรับคำท้าประลองและก้าวเข้าสู่เวทีของจอมยุทธ์แล้ว ความเป็นความตายก็จะขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเอง ตำแหน่งขุนนางไม่ได้เป็นเครื่องป้องกันใดๆ
ผู้คนมากมายในยุทธภพเริ่มประหลาดใจว่าขุนนางอำเภอขาวพิสุทธิ์ผู้นี้เป็นใครมาจากที่ใด และมีความแค้นอะไรกับ ‘จอมมารจันทราโลหิต’ กันแน่ จึงถูกจอมมารหมายหัวเอาไว้
แม้แต่ในแวดวงราชการทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจักรวรรดิก็ยังประหลาดใจไม่แพ้กัน
ไม่ช้า ข้อมูลและข่าวลือมากมายเกี่ยวกับหลี่มู่ก็แพร่กระจายเป็นวงกว้างในแถบนี้
กระทั่งมีคนในยุทธภพมากมายเริ่มมุ่งหน้าไปที่เมืองภูเขาอย่างอำเภอขาวพิสุทธิ์ เพื่อที่จะไปผสมโรงครึกครื้นด้วย
แต่ทั้งหมดนี้ หลี่มู่ที่เป็นต้นเรื่องกลับไม่สนใจเท่าใด
ในสิบห้าวันที่ผ่านมา หลี่มู่ฝึกฝนทั้งวันทั้งคืนไม่หลับไม่นอน
ทั้ง ‘หมัดห้าธาตุ’ และ ‘เพลงดาบลมกระโชก’ เขาล้วนฝึกจนเชี่ยวชาญแล้ว ในขณะเดียวกัน เวลาที่ไปฝึกธนูกับหม่าจวินอู่ทุกวันก็ลดน้อยลง แต่ก็ยังไม่ยกเลิก หากรู้สึกเหนื่อยล้า เพียงฝึกฝน ‘พลังก่อนกำเนิด’ เป็นเวลาหนึ่งชั่วยามก็จะรู้สึกสดชื่น ความเหนื่อยล้าหายเป็นปลิดทิ้ง วิธีนี้ได้ผลดีกว่าการกินยากระตุ้นเป็นไหนๆ
พลังของหลี่มู่พัฒนาขึ้น ทำให้คนประหลาดใจ
คนที่รู้สึกได้ชัดเจนที่สุดก็คือหม่าจวินอู่
ก่อนหน้านี้ยามที่ยืนข้างหลี่มู่ เขาเพียงรู้สึกกดดันและเกรงกลัว แต่มาตอนนี้ แค่ยืนใกล้หลี่มู่ในรัศมีหนึ่งจั้ง เขาก็รู้สึกราวกับมีมีดแหลมเล่มหนึ่งกดที่หน้าผากตน อดหนาวสั่นอยู่ภายในใจไม่ได้
และความสำเร็จในทักษะการยิงธนู หลี่มู่เข้าถึงได้อย่างลึกซึ้ง ฝีมือเทียบเคียงกับหม่าจวินอู่ได้แล้ว
เพียงแต่ธนูสีเงินนั้นอานุภาพร้ายแรงเกินไป กำลังของหลี่มู่ยังไม่สามารถง้างได้จนสุดวง หลี่มู่กลับไปที่ห้องฝึกยุทธ์ทุกวันเพื่อขัดเกลาพลังโดยการฝึกดึงสาย ให้ตัวเองคุ้นชินกับธนูสีเงินมากขึ้น แต่เขากลับไม่กล้ายิงธนู เพราะพลังของมันมากเกินไป และไม่มีเป้าหมายที่จะรับลูกธนูที่ยิงออกไปได้
หลี่มู่จึงพักการฝึกยิงธนูไว้ตรงนี้
เขาแบ่งเวลาออกเป็นสองส่วนคือช่วงกลางวันและกลางคืน เวลากลางวันเขาจะใช้พลังไปกับ ‘หมัดห้าธาตุ’ และ ‘เพลงดาบลมกระโชก’ ในเวลากลางคืนเขาจะฝึก ‘พลังก่อนกำเนิด’ และ ‘หมัดยุทธแท้’ ทั้งหมด ในใจหลี่มู้รู้ดี สองอย่างหลังนี้ต่างหากถึงเป็นพื้นฐานพลังที่แท้จริงของเขา
ในวันนี้ สายลมอ่อนโยนแสงอาทิตย์อบอุ่น ท้องฟ้าเป็นสีคราม
หลี่มู่กำลังฝึกฝนเพลงดาบอยู่ในสวนของเรือนพักหลังที่ว่าการ ทั่วทั้งร่างถูกห่อหุ้มด้วยประกายดาบดุจเกล็ดหิมะขาว ราวกับลมกระโชกก็ไม่ปาน เห็นเพียงประกายดาบไม่เห็นเงาคน
ขวับ!
ปลายดาบสั่นสะเทือน
เขาเก็บดาบแล้วเหยียดตัวขึ้น
‘เพลงดาบกระโชกสามสิบหกกระบวนท่า ดูเหมือนเปลี่ยนได้ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ความจริงแล้วสลับซับซ้อนไปหน่อย หากถูกขัดจังหวะเมื่อไหร่ อานุภาพจะลดลงมาก ถ้าสามารถลดความยุ่งยากให้ง่ายขึ้นได้ก็คงจะดีกว่านี้…’
เขาคิดอยู่ในใจ
ยามนี้เอง เงาร่างที่อยู่ไกลๆ พุ่งตรงมาหาดุจสายลม ราวกับเป็ดป่าโดนหมาไล่
“แย่แล้ว แย่แล้ว คุณชาย เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ”
คนเดียวในที่ว่าการที่กล้ามาขัดจังหวะยามหลี่มู่กำลังฝึกยุทธ์โดยไม่บอกกล่าว ย่อมเป็นเด็กหญิงรับใช้บัณฑิตที่โง่เง่าหมิงเยวี่ย นางวิ่งหน้าตื่นเข้ามาพลางร้องตะโกน
หลี่มู่พูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “เป็นเจ้าอีกแล้ว? มีอะไร? หรือเจ้าไปกินของที่โรงเตี๊ยมแล้วไม่จ่ายเงินจนเขาตามมาทวงหนี้ถึงที่ว่าการอีก?”
ไม่กี่วันก่อน เด็กรับใช้ที่โง่เขลาผู้นี้ถูกไล่ตามมาถึงประตูใหญ่ที่ว่าการเพราะกินอาหารเลิศหรูที่โรงเตี๊ยมแล้วไม่จ่ายเงิน
หมิงเยวี่ยส่ายหน้ารัว ผมเปียสองข้างสะบัดไปมา ศีรษะราวกับกลองป๋องแป๋ง “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ในเมืองมีคนก่อเรื่อง เกิดการต่อสู้ ลงดาบกันแล้ว…”
หลี่มู่ตอบอย่างรำคาญ “เรื่องเล็กๆ พรรค์นี้ต้องให้ข้าออกโรงด้วยตัวเองเลยหรือ? เจ้าไปหาหัวหน้าองครักษ์หม่าจวินอู่…”
“แต่ปัญหาคือ คนที่ถูกทำร้ายก็คือเจ้าคนไร้ประโยชน์หม่าจวินอู่นั่นแหละ” หมิงเยวี่ยเอ่ยด้วยสีหน้าดูแคลน “ตอนข้ากลับมา หม่าจวินอู่กระดูกซี่โครงหักสามซี่ องครักษ์ที่ไปด้วยก็บาดเจ็บสาหัสไปหลายคน…ช่างน่าอายนัก อ่อนแอเกินต้านไหว”
“หือ?”
หลี่มู่ยืนนิ่งอึ้ง
หม่าจวินอู่บาดเจ็บ?
ในอำเภอขาวพิสุทธิ์ แน่นอนว่ามีคนที่สามารถเอาชนะหม่าจวินอู่ได้ แต่คำถามคือไอ้บ้าที่ไหนมันไม่รู้ว่าหม่าจวินอู่เป็นคนสนิทของเขา ว่ากันว่าตีหมาให้ดูเจ้าของ หักซี่โครงสามซี่ของหม่าจวินอู่ ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าขุนนางเมืองอย่างเขาเลย?
“ไป ไปดูกัน”
หลี่มู่กัดฟันกรอด
“ข้าอยากเห็นสักหน่อย ใครหน้าไหนกล้ามากระตุกหนวดเสือถึงถ้ำ”
……
“ฮ่าๆๆ ความสามารถกระจอกงอกง่อยอย่างพวกเจ้า ก็อยากมาผดุงความยุติธรรมรึ? เป็นมดที่ริอ่านเขย่าต้นไม้จริงๆ น่าขันเหลือเกิน”
คุณชายผู้สูงศักดิ์คนหนึ่งขยับพัดจีบในมือเบาๆ สีหน้าไม่เอาจริงเอาจัง
เท้าข้างหนึ่งของเขาเหยียบอกหม่าจวินอู่ จงใจถ่มน้ำลายใส่หน้าฝ่ายตรงข้าม ใบหน้าแสดงความเยาะเย้ยดูแคลน ก่อนหัวเราะเสียงเย็นแล้วกล่าวว่า “ในวันนี้หากไม่เห็นแก่ที่พวกเจ้าเป็นขุนนาง ข้าคงตัดแขนขาเอาไปทำไม้เท้ามนุษย์แล้ว”
หม่าจวินอู่อับอาย ใบหน้าแดงจัดโกรธถึงขีดสุด
เขาพยายามดิ้นรน แต่กระดูกหักไปแล้วไม่น้อย จึงบาดเจ็บสาหัสและไม่สามารถออกแรงได้ เท้าของคุณชายคนนี้หนักมาก ราวกับมีภูเขากดทับตัว ทำให้เขาไม่อาจดิ้นหลุดได้เลย
คุณชายผู้นี้เป็นจอมยุทธ์ยอดฝีมือ
ข้างๆ ยังมีองครักษ์หลายคนที่ถูกคุณชายผู้สูงศักดิ์ลงมือส่งเดชจนกระอักเลือดหมดสติไประหว่างการปะทะกันเมื่อครู่
“ฮ่าๆ ใครยังอยากเป็นผู้กล้าช่วยสวยงามอีก? แสดงตัวออกมา” คุณชายผู้นั้นกวาดมองไปรอบๆ อย่างลำพองใจ
………………………..
[1] ยาวหนึ่งชุ่น แข็งแกร่งขึ้นหนึ่งชุ่น หมายถึง ยิ่งอาวุธยาวขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งแกร่งและได้เปรียบมากขึ้นเท่านั้น