จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 27 สัตว์เลื้อยคลานตัวหนึ่ง
สถานที่เกิดเหตุอยู่ที่สี่แยกตรงถนนสายหลักในอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์ ยามนี้รายล้อมไปด้วยผู้คนหลายร้อย ทว่าจากที่มีคนชี้นิ้ววิจารณ์ด่าทอในตอนแรก จนภายหลังหัวหน้าองครักษ์ที่ว่าการอำเภอหม่าจวินอู่และพรรคพวกถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสอย่างน่าอับอาย ในเวลานี้ คนเดินเท้าที่เฝ้าดูอยู่ต่างก็กลัวจนไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
แม้แต่หัวหน้าองครักษ์ของทางการยังถูกทำร้ายจนเป็นเช่นนี้ ยังจะมีใครกล้าพูดอะไรอีกหรือ?
“ฮ่าๆ ในอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์ ที่แท้ก็มีแต่คนบ้านนอกน่าสงสารดังคาด” คุณชายสูงศักดิ์หัวเราะลั่นอย่างกำแหง
เขายกเท้าที่เหยียบอกหม่าจวินอู่ออก ใบหน้าประดับรอยยิ้มบางๆ มุ่งหน้าไปหาสาวงามมากเสน่ห์ที่อยู่ด้านข้าง ก่อนจะกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “แม่นาง ไม่มีใครมารบกวนพวกเราแล้ว พูดกันตามตรง ข้าไม่คิดเลยว่าอำเภอเมืองเล็กๆ ที่ห่างไกลแห่งนี้จะมีหญิงที่พิเศษกว่าคนธรรมดาเช่นเจ้า”
สาวงามคนนี้ดูแล้วอายุไม่น่าถึงสามสิบปี ใส่ชุดกระโปรงธรรมดาแต่ก็ยากจะกลบซ่อนความงามโดยธรรมชาติ นางมีผิวขาวราวหิมะ รูปลักษณ์งดงามจับตายิ่ง แต่เบื้องหน้านางมีชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่ไว้หนวดเคราและแบกสามง่ามคอยปกป้อง น่าจะเป็นสามีของสาวงามผู้นี้ และยังมีเด็กน้อยหน้าตาน่ารักคนหนึ่งยืนหวาดกลัวอยู่ระหว่างทั้งสองคน
“ฮ่าๆ เดิมทีแค่จะมาดูเรื่องครึกครื้น ไม่นึกว่าจะมาไม่เสียเที่ยว ได้พบหญิงงามในหมู่มวลมนุษย์เช่นนี้” คุณชายผู้สูงศักดิ์มองไปที่หญิงงามอย่างหลงใหลใคร่จะครอบครองโดยไม่ปิดบัง
เรื่องในวันนี้เกิดขึ้นเพราะผู้หญิงนี่เอง
คุณชายผู้สูงศักดิ์คนนี้เป็นจอมยุทธ์ต่างถิ่นที่มาอำเภอขาวพิสุทธิ์ เพราะเรื่องที่เล่าลือกันสะพัดในยุทธภพว่า ‘จอมมารจันทราโลหิต’ ท้าประลองขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ เขาจึงมาที่นี่เพื่อร่วมประสมโรงเรื่องสนุกด้วย
ระหว่างกำลังเดินเล่นที่ถนน พวกเขาบังเอิญเจอสามีภรรยาคู่นี้ และตกตะลึงในความงามของภรรยาสาวทันที
โดยเฉพาะคุณชายผู้สูงศักดิ์คนนี้ที่หาญกล้าบ้าตัณหา เริ่มออกปากเย้าแหย่อย่างกำเริบเสิบสาน ลงไม้ลงมือ จนโดนก่นด่าจากคนโดยรอบ เขาจึงทำร้ายคนไปหลายคนอย่างวางอำนาจบาตรใหญ่ยิ่ง ก่อนจะถูกหม่าจวินอู่พร้อมทหารองครักษ์ที่ผ่านมาโดยบังเอิญห้ามไว้ ใครจะล่วงรู้ว่าคุณชายผู้สูงศักดิ์คนนี้แข็งแกร่งจนน่ากลัว หม่าจวินอู่และพรรคพวกไม่ใช่คู่มือ จึงบาดเจ็บสาหัสและอับอาย…
แก้ไขเรื่องเจ้าพนักงานเสร็จก็แล้ว ทำให้ฝูงชนหวาดกลัวก็แล้ว คุณชายผู้สูงศักดิ์กลับไม่รู้สึกประสบความสำเร็จใดๆ
เพราะสำหรับเขานี่เป็นเรื่องปกติยิ่งนัก
“หึๆ ไม่ทราบแม่นางตัดสินใจได้แล้วหรือยัง? จะไปกับข้าหรือไม่?” คุณชายผู้สูงศักดิ์ยิ้มบางราวกับคมดาบ เดินหน้าเข้ามาทีละก้าว เขามองชายมีเคราที่ขวางอยู่หน้าหญิงสาว เหยียดยิ้มแล้วกล่าวว่า “เจ้าคือสามีนาง?”
สีหน้าชายมีหนวดเคราราวกับตื่นตกใจ พูดไม่ออกสักประโยคเดียว
“หึๆ ดูสภาพขี้ขลาดตาขาวของเจ้า เหมือนดอกไม้ปักอยู่บนขี้วัวเสียจริงๆ…นับจากนี้ไปแม่นางคนนี้กับเจ้าไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกันอีก นางคู่ควรกับการเป็นคนของคุณชายเช่นข้า” คุณชายสูงศักดิ์หัวเราะเย้ยหยัน หลังจากนั้นก็มองไปทางหญิงสาว ท่าทางน้ำลายสอน่ารังเกียจ “แม่นางน้อย ไปกับข้าเถอะ”
เขาพูดพลางก้าวไปจะดึงมือนางมา
หญิงผู้งดงามเอี้ยวตัวหลบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าใดๆ “ขอให้ท่านโปรดสำรวมด้วย”
“หืม?” คุณชายไม่คาดคิดว่าหญิงสาวผู้บอบบางจะหลบจากมือของตนได้ แต่เขาก็ไม่คิดอะไรมาก หัวเราะร่าแล้วกล่าวว่า “แม่นางน้อย เจ้าอาจจะไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร ข้าเชื่อว่าถ้าเจ้ารู้ เจ้าต้องอ้อนวอนขอติดตามข้าทั้งน้ำตาแน่ ฮ่าๆๆ”
รอบข้างก็ได้ยินเสียงระเบิดหัวเราะ
ผู้ติดตามของคุณชายสูงศักดิ์ผู้นี้มีสิบกว่าคน ทุกคนสวมเสื้อแพรไหมอย่างดี สะพายกระบี่ยาวไว้ที่ข้างเอว เมื่อได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
“แม่นางน้อย เจ้ายินยอมพร้อมใจเถิด”
“ฮ่าๆ คุณชายหลี่ของพวกเรามีฐานะสูงส่ง สตรีที่เขาหมายตาจะไม่สามารถหลุดรอดเงื้อมมือไปได้”
“เจ้ามองสภาพน่าเวทนาของสามีเจ้าสิ ไม่กล้าพูดแม้แต่ประโยคเดียวด้วยซ้ำ เป็นเพียงคนโง่เง่าคนหนึ่ง ยังจะมาเกลือกกลั้วกับคนชั้นต่ำที่ไม่เข้าใจเรื่องในมุ้งเช่นนี้ทำไม รอให้เจ้าติดตามคุณชายหลี่ไปก่อนเถอะ ฮี่ๆ เขาจะทำให้เจ้าเข้าใจความปรารถนาในสิ่งนั้นของผู้หญิง จะทำให้เจ้าล่องลอยเหมือนอยู่ในสวรรค์ ฮ่าๆๆ”
คนหนุ่มที่คล้ายพวกเสเพลในยุทธภพหลายคนหัวเราะสนุกสนาน จากนั้นล้อมนางกับสามีและบุตรสาวเอาไว้
ชายฉกรรจ์ไว้หนวดเคราที่สะพายสามง่ามและคล้ายอึ้งงันไปแล้ว ดวงตาของเขาเปล่งประกายเย็นเยียบอย่างที่สังเกตไม่พบ หมัดค่อยๆ กำแน่น แสงอ่อนจางดุจเมฆดาวสีทึบสายหนึ่งหมุนวนขึ้นกลางฝ่ามือ แต่พริบตาถัดมา หญิงสาวโฉมสะคราญกุมมือเขาไว้เบาๆ ทำให้แสงที่เหมือนเมฆดาวมืดทึบนั้นหายวับไป
ชายหนุ่มไว้เคราขัดขืนแค่เล็กน้อย ไม่มีวี่แววจะสลัดมือออก ไม่มีอาการดื้อแพ่งอีก
ความจริงภายในใจเขาเข้าใจชัดเจน รู้ว่าตัวเองกับศิษย์น้องหญิงต้องจ่ายราคามหาศาลถึงจะแกล้งตายแล้วปลีกตัวออกมา และพาลูกไปยังที่ไกลสุดหล้าฟ้าเขียวได้ ในที่สุดก็ได้พบกับชีวิตสงบสุข หลุดพ้นจากความขัดแย้งในยุทธภพ หากลงมือตอนนี้แล้วมีคนตาไวมาพบร่องรอย จากนี้คงต้องระหกกระเหินเดินทางอีกครั้ง
หญิงงามเห็นศิษย์พี่อดกลั้นได้แล้วก็รู้สึกโล่งใจ ก้าวออกไปกล่าวว่า “คุณชายทั้งหลาย ข้าน้อยเป็นคนรากหญ้า เป็นคนต่ำต้อยความรู้ตื้นเขิน มีลูกชายคนหญิงคนแล้ว ร่างกายเหมือนต้นหลิวที่เหี่ยวเฉาในฤดูใบไม้ร่วง ไม่กล้ารับความปรารถนาดีของคุณชาย ขอให้คุณชายปล่อยข้า สามี และลูกสาวไปเถอะ”
“ฮ่าๆ ชาวบ้านรากหญ้าจะพูดจาเหมือนคนมีการศึกษาอย่างแม่นางเสียที่ไหน?” คุณชายผู้สูงศักดิ์คนนั้นโบกพัดหยกขาวในมือ แสยะยิ้มเอ่ย “เจ้าอยากบอกกับข้าว่าเจ้าเป็นแม่ลูกสองแล้ว? ฮ่าๆ ข้าคุณชายไม่ใส่ใจหรอก ข้าชอบหญิงที่สุกปลั่งแบบเจ้า”
สาวงามสูดหายใจเข้าลึก ส่ายหน้าแล้วพูดอย่างอดทนว่า “คุณชายท่านนี้ ที่นี่คืออำเภอขาวพิสุทธิ์ ขุนนางเมืองหลี่มู่ปกครองเป็นธรรมไร้ความเห็นแก่ตัว กฎหมายเคร่งครัด ท่านทำร้ายคนของที่ว่าการเข้าแล้ว หายนะจะมาเยือนท่านในไม่ช้า ท่านควรไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเสีย มิเช่นนั้นหากรอจนใต้เท้ามาถึง เกรงว่าพวกท่านจะลำบาก”
นางยังไม่อยากลงมือ
หากไม่ตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน นางก็ไม่อยากลงมือในที่สาธารณะ
ใครจะรู้ คุณชายสูงศักดิ์ได้ยินแล้วไม่เกรงกลัว แต่กลับทำเหมือนได้ยินเรื่องตลก หัวเราะออกมาดังลั่น
เขาและสหายชั้นเลวหัวเราะพร้อมกัน
“ฮ่าๆ ช่างน่ารักจริงๆ ขุนนางเมืองที่ชื่อว่าหลี่มู่ผู้นั้น ในสายตาของชาวบ้านอย่างพวกเจ้าอาจเป็นคนที่ต้องเงยหน้ามองเท่านั้น แต่ต่อหน้าข้าหลี่ปิง เขาก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เลื้อยคลานตัวหนึ่ง ข้าต้องกลัวเขาด้วย?” คุณชายผู้สูงศักดิ์เผยอาการบ้าคลั่งชัดเจน
หญิงงามสูดหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าการพูดกล่อมไร้ผล นางมองไปทางศิษย์พี่อย่างรู้กันโดยไร้สุ้มเสียง ในใจเตรียมรับสถานการณ์ที่แย่ที่สุด ในหัวรีบคิดหาแผนการ ‘ไม่ได้จริงๆ เราทำได้เพียงแสร้งตอบรับกลุ่มอันธพาลนี่ไปก่อน รอเวลาคนน้อยค่อยลงมือด้วยความเร็วดุจสายฟ้า จัดการแก้ไขปัญหา ให้พวกคนมักมากเหล่านี้มลายหายไป…’
ในเวลานั้นเอง มีเสียงหนึ่งดังขึ้น…
“เอ๋? ยายา เป็นเจ้านี่เอง”
ฝูงชนแหวกทางออก
ชายหนุ่มคิ้วเข้มตาโตที่องอาจห้าวหาญเดินเข้ามา เมื่อเห็นเด็กน้อยที่อยู่ระหว่างสาวงามและชายไว้เครา ดวงตาก็เปล่งประกาย เผยสีหน้ายินดีแล้วยกมือทักทายเด็กน้อย
ไม่ใช่หลี่มู่แล้วจะเป็นใคร
“ท่านคือ…พี่ชายที่หน้าประตูเมือง?”
เด็กน้อยขลาดกลัว ลังเลอยู่สักครู่ ในที่สุดก็จำได้ คนหนุ่มผู้นี้คือพี่ชายที่เมื่อเดือนก่อนยืนหิวท้องร้องอยู่หน้าประตูเมือง แม่ของนางให้นำผลซิ่งไปให้สองลูก นางจำได้รางๆ ว่ารอยยิ้มของพี่ชายท่านนี้สดใสยิ่ง แต่เสื้อผ้าที่สวมในตอนนี้หากเทียบกับตอนนั้นแล้วสะอาดกว่ามาก
“ฮ่าๆ ไม่คิดว่าจะได้พบยายาอีกครั้ง” หลี่มู่ก็ดีใจเป็นอย่างมาก
บุญคุณจากผลซิ่ง จวบจนวันนี้ยังยากที่จะลืม
“ท่านทั้งสอง พวกเราพบกันอีกครั้งแล้ว ขอบคุณสำหรับผลซิ่งในวันนั้นมาก” หลี่มู่ประสานมือกล่าวขอบคุณคู่สามีภรรยา
แม้เขาคนนี้ใจร้อน ทว่าหลังวู่วามแล้วก็จะขี้ขลาดนัก อีกทั้งค่อนข้างห่อเหี่ยว ชอบเสแสร้งแกล้งทำ…อืม ถึงจะมีจุดอ่อนเยอะมากก็มีข้อดีหนึ่งข้อ นั่นคือรู้จักบุญคุณคน แม้ว่าวันนั้นคู่สามีภรรยาจะให้แค่ผลซิ่งมา แต่สำหรับหลี่มู่ มันกลับทำให้เขารู้สึกถึงความใจดีและจริงใจของคนบนดวงดาวนี้ ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย
“คุณชายเกรงใจเกินไปแล้ว”
ใบหน้าหญิงงามมีรอยยิ้มบาง ในเวลาเดียวกันก็แอบส่งสายตาบอกให้หลี่มู่รีบหนีไป จะได้ไม่ติดร่างแหกับเรื่องนี้
เห็นได้ชัดว่านางไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของหลี่มู่
ในช่วงเวลานี้ แม้ว่าหลี่มู่จะเขย่าขวัญอำเภอขาวพิสุทธิ์ แต่วันนั้นคนที่เห็นหลี่มู่เดินออกมาจากฐานที่มั่นพรรคเสินหนงกับตาก็มีเพียงหลายพันคนเท่านั้น อีกทั้งส่วนใหญ่มองมาจากที่ไกลๆ ดังนั้นขุนนางเมืองมีรูปลักษณ์เป็นอย่างไร คนที่รู้จึงมีไม่เยอะ นอกจากนี้สามีภรรยาคู่นี้ก็ไม่ได้ไปเฝ้าดูในวันนั้นด้วย
ทว่า ทางด้านคุณชายผู้สูงศักดิ์หมดความอดทนแล้ว
เมื่อเห็นว่าตัวเองลงแรงไปไม่น้อยก็ยังไม่อาจได้เห็นรอยยิ้มของสาวงามสักนิด แต่เด็กหนุ่มที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนกลับทำให้นางพูดแล้วมีรอยยิ้มได้ ในใจเขาโกรธกริ้วมาก และเอาความโกรธมาลงที่หลี่มู่ซึ่งไม่ดูตาม้าตาเรือแล้ว เขาลอบส่งสายตาให้สหายคนอื่นหยุดหลี่มู่ไว้
“พะ…พวกเจ้าจะทำอะไร?” หลี่มู่แกล้งทำเป็นหวาดกลัว
คุณชายผู้สูงศักดิ์ถามเสียงเย็นว่า “เจ้าคนไม่ดูตาม้าตาเรือ ที่นี่ใช่ที่ที่เจ้าจะพูดอะไรได้ที่ไหน ทำให้คุณชายอย่างข้าเสียเวลา หากควักลูกตาของเจ้าออกมาเอง ข้าจะละเว้นชีวิตเจ้า”
สาวงามไม่สามารถทนได้อีกต่อไป กำลังจะพูดอะไรออกมา แต่หลี่มู่กลับชิงตัดหน้า จงใจกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ “มันจะมากไปแล้วกระมัง ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเจ้า เจ้าก็อยากจะควักลูกตาข้าแล้ว บ้านเมืองยังมีขื่อมีแปอยู่หรือไม่?”
“กฎหมายบ้านเมือง ตัวข้าที่ยืนอยู่ตรงนี้สิถึงเป็นกฎหมายบ้านเมือง” คุณชายผู้สูงศักดิ์ทำหน้าหยิ่งผยอง พูดจาใหญ่โต ระหว่างพูดก็หุบพัดหยกดังพรึ่บ แสร้งวางท่าเป็นที่สุด
“หึ…” หลี่มู่ตั้งใจจะเล่นเป็นหมูอีกสักนิด พอใจแล้วค่อยกินเสือ แต่สุดท้ายเขาก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ให้ตายสิ เจ้าเล่นละครเก่งจริงๆ ข้าไม่รู้จะพูดกับเจ้าต่อไปอย่างไรดี…เจ้าเป็นกฎหมายบ้านเมือง อย่างนั้นข้าเป็นอะไร ในอำเภอขาวพิสุทธิ์นี้ เจ้าเป็นคนแรกที่พูดแบบนี้ต่อหน้าข้า”
“เจ้า…” คุณชายผู้สูงศักดิ์โกรธกริ้ว จากนั้นถึงเข้าใจความหมายที่หลี่มู่จะสื่อ จึงขมวดคิ้วพูด “เจ้าเป็นใคร?”
หลี่มู่ตอบกลั้วยิ้มว่า “ข้า? ก็แค่สัตว์เลื้อยคลานเล็กๆ ตัวหนึ่งน่ะ”
………………………….