จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 28 บดเหล็กให้เป็นผง
คุณชายผู้สูงศักดิ์ตกใจ
เวลานี้ หม่าจวินอู่ที่สลบไปค่อยๆ ได้สติ เมื่อลืมตามาเจอหลี่มู่ด้านข้างก็กล่าวเสียงดังว่า “ใต้เท้า…ระวัง…เขา…เป็นยอดฝีมือ…” ระหว่างพูดยังกระอักเลือดออกมา
“เจ้าเป็นขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์?” คุณชายผู้สูงศักดิ์ในที่สุดก็กระจ่าง
หลี่มู่พยักหน้าอย่างจริงจังมาก “ใช่แล้วๆ เป็นสัตว์เลื้อยคลานที่เจ้าพูดถึงนั่นแหละ”
“ที่แท้เป็นเจ้า…” สีหน้าของคุณชายไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย แต่ก็ยิ้มหยันออกมาอย่างรวดเร็ว “แล้วอย่างไร?”
หลี่มู่มองไปที่ฝ่ายตรงข้ามแวบหนึ่ง แล้วจึงกวาดตามองสหายชั่วช้าที่อยู่รอบๆ “ก็ไม่อย่างไร แค่อยากจับเจ้าแขวนแล้วเฆี่ยนเท่านั้น”
ขณะเอ่ยเขาเดินไปหาหม่าจวินอู่ กดจุดขับเคลื่อนปราณให้ หยิบยาสมานแผลและยารักษาอวัยวะภายในให้หม่าจวินอู่กิน จากนั้นจึงไปดูเหล่าองครักษ์ที่เจ็บหนักจนสลบ
ในเวลานี้ เด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงวิ่งกระหืดกระหอบพาหมอจากโรงหมอตรงเข้ามา
“ใต้เท้า…” หัวหน้าหมอเป็นชายวัยกลางคนที่รักษาหลี่มู่ในถ้ำหินของฐานที่มั่นพรรคเสินหนงวันนั้น เมื่อเห็นหลี่มู่ก็เผยท่าทีเคารพทันที พลางนำลูกศิษย์ที่พามาคารวะเขา
หลี่มู่โบกมือ “ช่วยคนก่อน”
ในเวลาเดียวกัน เสียงเกือกม้าและเสียงฝีเท้าคนดังกระชั้นเข้ามา
นายทะเบียนเฝิงหยวนซิงขี่ม้าศึกพาทหารองครักษ์ชั้นดีที่ติดอาวุธครบครันมาสี่ร้อยคน
เด็กหญิงรับใช้บัณฑิตวิ่งอยู่หน้าสุด ฝีเท้ารวดเร็วจนเกิดลม ราวกับโตมาด้วยการกินธัญพืชป่า ถึงขั้นวิ่งเร็วกว่าม้าศึกเสียอีก ใบหน้านางผ่อนคลาย พูดเสียงดังมาจากที่ไกลๆ ว่า “เร็วเข้า ไปล้อมอันธพาลเหล่านั้นไว้ อย่าให้หนีรอดไปไหนแม้แต่คนเดียว คุณชายของข้าจะเริ่มเปิดฉากฆ่าแล้ว ฮ่าๆๆๆ…”
หลี่มู่กุมขมับอย่างเหนื่อยใจทันที
เจ้าเด็กโง่คนนี้
ยามนี้ ผู้ชมที่อยู่รอบบริเวณพูดกันปากต่อปาก และล่วงรู้ถึงฐานะของหลี่มู่ในที่สุด
“คารวะใต้เท้าผู้ผดุงความยุติธรรม”
“ใต้เท้าหลี่มู่!”
มีเสียงคุกเข่าดังขึ้น
หลังจากเหตุการณ์ทลายฐานที่มั่นพรรคเสินหนงด้วยตัวคนเดียว ช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์ที่ตกเป็นเหยื่อออกมามากมาย จากนั้นก็เปิดศาลให้เฝิงหยวนซิงไต่สวนคดีอยุติธรรม รวมทั้งกำจัดอิทธิพลท้องถิ่นที่โกงกินในอำเภอขาวพิสุทธิ์ ในช่วงเวลานี้ หลี่มู่รู้สึกว่าตัวเองเหมือนไม่ได้ทำอะไร แต่ชื่อเสียงและความเคารพที่ชาวบ้านธรรมดาในอำเภอเมืองมีต่อเขานั้นสูงเสียดฟ้า ไปถึงระดับสูงสุดแล้ว
“ล้อมไว้!”
เฝิงหยวนซิงกระโดดลงจากหลังม้าและโบกมือให้สัญญาณ ทหารทั้งสี่ร้อยนายเข้าล้อมคุณชายผู้สูงศักดิ์และพรรคพวก ทวนยาวเล็งไปที่กลุ่มคนพาล
หลี่มู่หัวเราะกล่าว “เป็นอย่างไร ยังไม่รีบคุกเข่าร้องขอความเมตตาแต่โดยดีอีก?”
คุณชายผู้สูงศักดิ์เหลือบมองทหารรอบด้านอย่างดูถูก พูดขึ้นมาว่า “อาศัยขยะที่ไร้ค่าพวกนี้น่ะหรือ?”
หลี่มู่ส่ายหน้า “เปล่า นี่ต่างหาก”
เขาแกว่งกำปั้น
คุณชายผู้สูงศักดิ์ตกใจ ก่อนจะพยายามสงบใจลงแล้วกล่าวว่า “ฮ่าๆ แม้ข้าไม่รู้ว่าทำไม ‘จอมมารจันทราโลหิต’ ถึงท้าประลองเจ้า แต่พึ่งแค่เจ้า? ขยะชิ้นหนึ่งที่ยังไม่เปิดประตูปราณ หนำซ้ำทั่วร่างไม่มีกลิ่นอายปราณสักนิด?”
หลี่มู่ไม่ได้โกรธ แต่พยักหน้าอย่างจริงจัง “ใช่แล้ว อาศัยกำลังขยะอย่างข้านี่แหละ พวกเจ้าใครจะเข้ามาก่อน?”
คุณชายหลี่ปิงเหยียดยิ้มดูถูก “ลงมือกับขยะเช่นเจ้า ชื่อเสียงของข้าในยุทธภพจะมัวหมองเสียเปล่า”
หนุ่มเสเพลผู้หนึ่งที่อยู่ข้างกันก้าวยาวๆ ออกมาพลางขยับแขน เสียงข้อต่อกระดูกสันหลังดังราวเสียงคั่วถั่ว พลังที่มองไม่เห็นแผ่กระจาย กระทั่งคนธรรมดาที่ไม่เป็นวรยุทธ์ ก็รู้ได้ว่าหนุ่มเสเพลคนนี้เป็นยอดฝีมือขั้นรวมปราณที่เปิดประตูปราณแล้ว
“ผู้นำอำเภอขาวพิสุทธิ์ที่เล่าลือกัน ที่แท้ก็เป็นแค่คนโง่เง่าคนหนึ่ง ข้าจะสอนเจ้าเองว่ายอดฝีมือที่แท้จริงในยุทธภพแข็งแกร่งแค่ไหน…” หนุ่มเสเพลหัวเราะลั่นอย่างดูถูก
แต่ยังไม่ทันสิ้นเสียงดี
ปัง!
เสียงอื้ออึงดังขึ้น
ผู้คนรู้สึกเพียงตรงหน้าพร่ามัว เจ้าคนเสเพลหายไปจากที่ตรงนั้นแล้ว
ฝ่ามือของหลี่มู่ยังอยู่ในท่าโบกออกไป
ตามทิศทางของฝ่ามือหลี่มู่ ห่างไปประมาณสามสี่จั้งกว่า บนกำแพงดินปรากฏหลุมยุบรูปร่างคน ฝุ่นควันลอยฟุ้ง
มีเสียงสูดลมหายใจเฮือก
“เจ้า…ลอบโจมตี…น่าไม่อาย…” เสียงขาดห้วงดังมาจากหลุมยุบรูปร่างคนบนกำแพง หนุ่มเสเพลยื่นใบหน้าอาบเลือดออกมาจากในหลุมนั้นพลางชี้หลี่มู่ พูดไปได้ครึ่งประโยคอย่างไม่ยอมเลิกรา หลังจากนั้นก็หมดสติล้มไปหลังกำแพง
หลี่มู่สะบัดฝ่ามือ “ลอบโจมตีน้องเจ้าสิ…ข้านึกว่าเป็นยอดฝีมือมาจากไหนเสียอีก สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่ขยะ เสียเวลาข้าเปล่าๆ” หากออกแรงจริงๆ ก็ใช้ฝ่ามือประเคนเข้าที่หน้าไปแล้ว
“ฆ่าพวกมัน บดขยี้พวกมัน…ให้พวกมันหมอบกระแตไปเลย” เด็กบื้อหมิงเยวี่ยตะโกนพร้อมชูกำปั้นด้วยความตื่นเต้น ประหนึ่งคนบ้าป่าเถื่อน ภาพลักษณ์จะเทียบกับโลลิน้อยน่ารักที่เสียงนุ่มตัวนิ่มผลักล้มง่ายได้อย่างไร?
ฟากเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงถอนหายใจออกมา
แต่เวลาเดียวกัน เขาสงสัยอยู่ภายในใจ ความเปลี่ยนแปลงของคุณชายทำไมถึงมากมายเพียงนี้ แตกต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน
คุณชายผู้สูงศักดิ์ม่านตาหดเกร็ง
เหล่าคนเสเพลที่ก่อกรรมทำเข็ญ ในตอนนี้หัวเราะไม่ออกเลยทีเดียว
“ใต้เท้าช่างทรงพลัง!”
“ใต้เท้าผู้ผดุงความยุติธรรมไร้เทียมทาน”
กลุ่มทหารชั้นดีและชาวบ้านที่เฝ้ามองอยู่รอบๆ เมื่อมองเห็นฉากนี้ก็ส่งเสียงโห่ร้องให้กำลังใจอย่างตื่นเต้น
การเปลี่ยนแปลงและอิทธิพลของหลี่มู่ในอำเภอขาวพิสุทธิ์เริ่มปรากฏผลอย่างไร้สุ้มเสียง ฝ่ามือนี้รวมไปถึงทัศนคติที่แสดงผ่านฝ่ามือ ยิ่งส่งผลให้ประชาชนอำเภอขาวพิสุทธิ์รู้สึกฮึกเหิม เป็นความรู้สึกภาคภูมิใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“ว้าว พี่ใหญ่เก่งจัง” เด็กน้อยยายาตบมืออย่างตื่นเต้นจนแดงไปหมด
สาวงามและชายไว้เคราที่มีสามง่ามมองหน้ากันและกัน ต่างเห็นความสนใจใคร่รู้ในดวงตาของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มที่ยังไม่ได้เปิดประตูปราณ ไม่มีพลังปราณ กลับมีพลังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้?
“ยังมีใครอีก?” เนื้อแท้หลี่มู่เป็นคนบ้าระห่ำคนหนึ่ง ท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้ เขาเอาสองมือเท้าเอว มองกลุ่มคุณชายผู้สูงศักดิ์พลางตะโกน
คุณชายผู้นั้นส่งสายตาให้สัญญาณ
“เตรียมอาวุธ!”
“ก็แค่พลังหยายๆ เท่านั้น ดูซิว่าเจ้าจะรับมือกับกระบี่อย่างไร”
หนุ่มเสเพลอีกสองคนพุ่งเข้ามาหาหลี่มู่
คนหนึ่งชักกระบี่คมออกจากช่วงเอว อีกคนถือดาบโค้งแหลมคม
บนผิวกายของทั้งสองมีแสงประหลาดส่องประกายบางๆ ชัดเจนว่าล้วนเป็นจอมยุทธ์ขั้นรวมปราณ อาวุธในมือเย็นเฉียบ เปล่งแสงเย็นวูบวาบ เมื่อถูกกระตุ้นจากกำลังภายในก็แผ่แสงออกมาหลายเส้น เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งกว่า ‘ดาบตัดนภา’ สวี่จื้อหนึ่งในจตุรเทพพรรคเสินหนง
“ฮ่าๆ คุณชายหลี่ ท่านพูดมาเถิด จะสั่งเสียหน่อยหรือไม่” หนุ่มเสเพลที่ประคองดาบโค้งยิ้มมุมปากบางๆ และหัวเราะอย่างชั่วร้าย
ใบหน้าของคุณชายหลี่ปิงฉายแววโหดเหี้ยม กล่าวว่า “อย่างไรก็เป็นถึงขุนนางของจักรวรรดิ ตัดแขนข้างหนึ่งพอแล้ว…ฮ่าๆ ลงมืออย่างวางใจเถอะ หากฟ้าถล่ม ข้ารับผิดชอบเอง”
พูดจบ เขาก็มองไปที่สาวงามนางนั้นอีกครั้ง “เจ้าดูสิ นี่เป็นเพราะเจ้าไม่ตามข้าไปจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เปิดตาดูให้ดีๆ หากเจ้ายังทำตามอำเภอใจ ไม่แน่อีกพักหนึ่ง จุดจบของขุนนางเมืองโง่เง่าคนนี้ก็จะเป็นแบบอย่างให้สามีกับลูกสาวเจ้า”
ฟุ่บ!
ฟิ้ว!
ในสนามมีเงาร่างขยับวูบวาบ
คนหนุ่มเสเพลทั้งสองลงมือพร้อมกัน เงาร่างราวกับนกกำลังบินโฉบ ความเร็วอยู่ในจุดสูงสุดแล้ว
แสงกระบี่เหมือนหยาดฝน แสงดาบเหมือนอสุนี
พริบตาเดียว แสงดาบเงากระบี่ที่กระจายทั่วเพิ่มจำนวนขึ้นพุ่งพรวด ประหนึ่งลมฝนโหมกระหน่ำมุ่งหน้าไปหาหลี่มู่ จากมุมมองคนภายนอก หลี่มู่เป็นเหมือนเรือลำน้อยที่อยู่ท่ามกลางพายุฝนทะเลคลุ้มคลั่ง สามารถพลิกคว่ำได้ทุกเวลา แทบจะรอดพ้นจากหายนะนี้ไปไม่ได้
“ใต้เท้าระวัง…” หม่าจวินอู่หลุดอุทานออกมา
”คุณชาย บดขยี้ศีรษะของพวกมันเลย” หมิงเยวี่ยเด็กบื้อหัวรุนแรงส่งเสียงให้กำลังใจ
ผู้คนที่เฝ้ามองอยู่โดยรอบเห็นฉากเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ต่างก็ร้องออกมาอย่างกังวล
ตึง! ตึง!
เสียงทุ้มต่ำสองเสียงดังขึ้น
แสงดาบเงากระบี่เต็มฟ้าหายไปทันควัน
ตรงกำแพงที่ห่างออกไป มีรอยยุบรูปร่างคนเพิ่มขึ้นอีกสองจุด
มือของหลี่มู่ยังคงอยู่ในท่ากางออกไปเหมือนพัด แต่กลับมีกระบี่ยาวและดาบโค้งเพิ่มเข้ามา
เป็นอาวุธของจอมเสเพลทั้งสองนั่นเอง
ในพริบตาเดียวเมื่อครู่ ท่ามกลางเงากระบี่แสงดาบนับหมื่นพัน เขาซัดฝ่ามือออกไปและชิงอาวุธฝ่ายตรงข้ามมารวมสองท่วงท่า ไม่มีใครมองเห็นชัดว่าทั้งหมดเกิดขึ้นได้อย่างไร
“ขยะ นี่ก็ยังเป็นขยะ ทนไม่ได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว” หลี่มู่ถอนหายใจอย่างไม่พอใจยิ่ง “เฮ้อ แต่ละคนเอาแต่คุยโม้โอ้อวด ใช้ปากขู่ให้คนกลัว สุดท้ายไม่มีคนที่สู้เป็นแม้แต่คนเดียว”
มือซ้ายขวาของเขาถือดาบโค้งและกระบี่ยาว ข้อมือสั่นเล็กน้อย มีเสียงแตกหักดังกังวาน อาวุธคมทั้งสองที่ทำจากเหล็กชั้นดีแตกออกทีละชุ่นราวกับเครื่องปั้นดินเผา จากนั้นเขาออกแรงเบาๆ ที่นิ้วทั้งห้า ดาบและกระบี่ในมือกลายเป็นผงเหล็กร่วงหล่นลงจากปลายนิ้ว
โดยรอบเงียบสนิทดั่งคนตาย
คุณชายผู้สูงศักดิ์สูดหายใจเฮือก เสียวสันหลังวาบ
ใช้มือบดดาบและกระบี่จนกลายเป็นผง…ต้องใช้พลังที่น่ากลัวแบบไหนกัน
กรงเล็บอินทรี?
วิชาดัชนีเหล็ก?
หรือนี่เป็นวิชากรงเล็บปีศาจยมโลก?
เป็นพลังนิ้วเช่นไรกันแน่ถึงสามารถทำได้ขนาดนี้?
ชั่วเวลานี้ เขาเข้าใจขึ้นมาบ้างทันทีว่าทำไม ‘จอมมารจันทราโลหิต’ ที่มีชื่อมานานถึงท้าประลองคนไร้ชื่อเสียงเรียงนามอย่างขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์
มองไม่ออก
ช่างน่าหวาดกลัว
คุณชายผู้สูงศักดิ์เริ่มไม่มั่นใจกับพลังของเขาเท่าใดแล้ว
อีกด้านหนึ่ง ใบหน้าหญิงงามและชายฉกรรจ์ไว้เคราเผยความประหลาดใจยิ่งขึ้นทุกที พวกเขารู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตัวหลี่มู่มากกว่าเดิม ทั้งสองคนเคยประสบกับคนที่แข็งแกร่งกว่าพรรคพวกของคุณชายหลี่ปิงหลายเท่า แน่นอนว่าย่อมมองความประหลาดของหลี่มู่ออก เขาสามารถบดเหล็กจนแหลกทั้งที่ไม่เดินกำลังภายใน ในยุทธภพทิศตะวันตกเฉียงเหนือผู้ที่ทำได้มีเพียงหยิบมือ
“ทหาร จับอันธพาลพวกนี้ไปแขวนไว้บนต้นไม้”
หลี่มู่ชี้ไปที่หลังกำแพงซึ่งมีจอมเสเพลทั้งสามสลบอยู่
……………………….