จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 32 พายุฝนก่อตัว
หลี่มู่ผิวปากพลางหรี่ตา รู้สึกสนอกสนใจ
กล่าวโดยทั่วไป ลักษณะภายนอกของบุคคลเป็นสิ่งตายตัว นี่เป็นลักษณะพื้นฐานที่แตกต่างจากผู้อื่นของแต่ละบุคคล
บนโลกมนุษย์ การศัลยกรรมความงามของเกาหลีเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นหนึ่งในสี่เวทมนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย เนื้อแท้คือการเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาของคนผ่านการผ่าตัดเปลี่ยนกล้ามเนื้อและกระดูก แต่ก็ตามมาด้วยค่าใช้จ่ายที่น่าตกใจและผลข้างเคียงต่างๆ แต่ตำรา ‘ยอดวิชาเปลี่ยนร่างย้ายกล้ามเนื้อแปรกระดูก’ กลับใช้ทักษะและพลังสายยุทธ์เปลี่ยนกล้ามเนื้อและโครงกระดูกของบุคคลในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทำให้รูปลักษณ์ของคนคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็นวิธีการศัลยกรรมความงามบนโลกวิถียุทธ์
หลี่มู่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิม อ่านหนังสือในมืออย่างตั้งใจ
จนกระทั่งอ่านจบ เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
“เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่เรื่องหลอกลวง”
นี่คือข้อสรุปของหลี่มู่
เพราะเขาพบว่าเคล็ดลับที่อธิบายไว้ในหนังสือเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเขาในช่วงเวลาสั้นๆ ได้จริง ยิ่งเป็นผู้มีความชำนาญด้านยุทธ์มากเท่าไหร่ก็จะยิ่งง่ายขึ้นเท่านั้น เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับวิธีการหมุนเวียนกำลังภายในกับวิธีฝึกกล้ามเนื้อบางอย่าง มีเหตุผลและพิสูจน์ได้ อีกทั้งก็ไม่ได้เป็นวิชาลึกลับเลิศล้ำอะไร น่าจะไม่นับว่าหายากในยุทธจักรของแผ่นดินใหญ่เสินโจว
‘น่าเสียดาย มีเพียงคนในขั้นรวมปราณที่ฝึกได้กำลังภายในแล้วเท่านั้น ถึงจะฝึกฝนวิชาเปลี่ยนร่างนี้ได้’
หลี่มู่เสียดายเล็กน้อย
ทักษะและวิธีการสำคัญบางอย่างที่อธิบายไว้ในหนังสือเล่มนี้จะต้องใช้ร่วมกับพลังภายในทั้งสิ้น
ดูอันอื่นแล้วกัน
หลี่มู่เริ่มค้นหาในกล่องอีกครั้ง
ในที่สุดเขาก็ค้นพบตำราลับวิชาการต่อสู้เช่นดาบสะบั้นหยก เพลงดาบมือซ้าย เคล็ดฝึกลมปราณ ย่างก้าวอสุนี วิชาบำรุงปราณกำหนดลมหายใจ พลังเหล็กกล้า เคล็ดระลอกปราณ และอื่นๆ อีกมากมายราวสิบกว่าเล่ม นับได้ว่ากำไรหนาทีเดียว อีกทั้งส่วนใหญ่ในนั้นก็เป็นตำราลับระดับเก้า สินสงครามมากกว่าที่เก็บรวบรวมมาจากพรรคเสินหนงเสียอีก
เมื่อหลี่มู่เริ่มเข้าสู่วงโคจรของวิถียุทธ์ เขามีความมุ่งมั่นในการฝึกอย่างแรงกล้า นอกจากภารกิจที่แบกไว้บนบ่า เด็กหนุ่มเลือดร้อนที่ไหนบ้างไม่มีความฝันที่จะเป็นวีรบุรุษแบกกระบี่เดินทางไปสุดขอบฟ้า
เขาไม่เลือกมาก เปิดหนังสืออ่านทีละเล่ม พยายามศึกษาวิเคราะห์ หมกหมุ่นจมดิ่งลงไปโดยสมบูรณ์
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หนึ่งคืนผ่านพ้นไป
เช้าตรู่วันที่สอง เด็กชายรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงนำอาหารเช้ามาส่งถึงหน้าประตูห้องฝึกยุทธ์ หลี่มู่ที่กำลังหมกมุ่นอยู่ไม่ได้สนใจจะกินมัน
จนกระทั่งเช้าวันที่สาม ในที่สุดหลี่มู่ก็อ่านและศึกษาตำราวิชาลับทั้งหมดอย่างละเอียดครบหนึ่งรอบ
แกรก!
ประตูถูกเปิดออก
เขาออกมาจากห้องฝึกยุทธ์พร้อมด้วยขอบตาดำ ทำให้หมิงเยวี่ยและชิงเฟิงที่หน้าประตูต่างสะดุ้งตกใจ
“คุณชายขอบตาท่านดำ…”
“นี่เป็นสัญญาณของความบกพร่องที่ไต…คุณชาย ท่านทำอะไรในห้องฝึกยุทธ์กันแน่?”
เด็กรับใช้บัณฑิตทั้งสองโดยเฉพาะหมิงเยวี่ยเด็กน้อยเจ้าอารมณ์ตะโกนออกมาเสียเกินจริง
หลี่มู่กุมหน้าผากด้วยสีหน้าอึมครึม
“เด็กเมื่อวานซืนสองคนรู้ว่าอะไรคือไตบกพร่อง อย่ามาพูดเหลวไหลน่ะ…ไป เอาน้ำแกงเนื้องูมาให้ข้าชามหนึ่ง ข้าเริ่มหิวแล้ว” ในหัวของเขากำลังมีข้อมูลมากมายและความคิดแล่นผ่าน หลังจากอ่านเคล็ดวิชาการต่อสู้ไปหลายสิบเล่มจนหมด เขาเข้าใจศิลปะการต่อสู้ลึกซึ้งมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็รู้สึกหิวเล็กน้อย
สภาพแบบนี้เหมือนตอนที่เขาอ่านนิยายกำลังภายในทั้งคืน แล้วตอนเช้าเดินไปตามภูเขาด้วยความอิ่มอกอิ่มใจผสมกับความเหนื่อยล้าทางกาย ทำให้รู้สึกเต็มอิ่มมีความสุข
เด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงลังเลอยู่สักครู่ แล้วมองไปยังเด็กรับใช้บัณฑิตหมิงเยวี่ย
ฝ่ายหลังพูดขึ้นมาอย่างตะกุกตะกัก “เอ่อ คุณชาย มีข่าวไม่ค่อยดีนัก หากฟังแล้วอาจจะไม่พึงพอใจ แต่ความจริงคือ…เนื้องูมังกรเขียวนั้นไม่มีเหลือแล้วเจ้าค่ะ”
“เป็นไปได้อย่างไร?” หลี่มู่ตกตะลึง “งูตัวนั้นพอให้พวกเราสามคนกินกันครึ่งปีเลยมิใช่หรือ? จะไม่มีเหลือแล้วได้อย่างไร?”
สีหน้าหมิงเยวี่ยปรากฏแววเขินอาย ไม่เอ่ยอะไรอีก
ชิงเฟิงเห็นดังนั้นก็ได้แต่รวมรวบความกล้าอธิบาย “คุณชาย…เรื่องเป็นอย่างนี้ขอรับ ช่วงนี้ความอยากอาหารของหมิงเยวี่ยค่อนข้างมาก” ความหมายก็คือถูกหมิงเยวี่ยเด็กน้อยเจ้าอารมณ์กินหมดแล้ว
หลี่มู่มองหมิงเยวี่ยด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
ฝ่ายหลังพยักหน้าอย่างใสซื่อยิ่ง “คุณชาย อย่ามองคนอื่นด้วยสายตาแบบนั้นสิเจ้าค่ะ…จริงๆ แล้วข้าก็แค่ไม่ทันระวังกินมากไปหน่อย…มากไปนิดเดียวเท่านั้นเอง”
หลี่มู่จนคำพูดในทันที
‘นี่เราเลี้ยงเด็กรับใช้โลลิหรือเลี้ยงหมูกันแน่
กินเข้าไปเยอะขนาดนั้นได้อย่างไร?’
พึงรู้ก่อนว่า เจ้างูอสุรกายตัวนั้นกำลังจะกลายร่างเป็นมังกร ไม่เพียงมีขนาดใหญ่ แต่เนื้อยังอุดมไปด้วยเลือดลม พลังงาน คุณประโยชน์ และสรรพคุณทางยา คนทั่วไปกินเนื้องูเพียงไม่กี่ชิ้นทุกวันก็อิ่มเต็มท้องแล้ว ถ้าหากกินมากเกินไปจะป่วยด้วยอาการรุ่มร้อนเพราะเลือดลมไหลเวียนมากเกิน เกรงว่าแม้แต่ผู้มีวรยุทธ์ก็ไม่กล้ากินเยอะ
ช่วงหลายวันที่ผ่านมา หลี่มู่อาศัยเนื้อของงูอสุรกายถึงสามารถฝึก ‘หมัดยุทธ์แท้’ ได้อย่างต่อเนื่อง
แต่เด็กน้อยสมองทึบหัวรุนแรงคนนี้แท้จริงแล้วเป็นตัวประหลาดอะไรกันแน่ ถึงกับแอบกินเนื้องูจนหมด?
เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วน งูมังกรสีเขียวตัวนี้หลี่มู่และชิงเฟิงกินไปไม่ถึงหนึ่งในสาม ที่เหลือสองในสามทั้งหมดอยู่ในท้องของหมิงเยวี่ยแล้ว หนำซ้ำมองดูลักษณะของนาง เทียบแล้วไม่แตกต่างกับช่วงก่อนหน้า นอกจากผิวขาวเปล่งประกายขึ้นบ้าง ส่วนสูงก็ยังไม่เพิ่มสักนิด…นางเป็นตัวประหลาดอะไรกันแน่
หมิงเยวี่ยมองหลี่มู่ตาปริบๆ ดวงตากลมโตเป็นประกาย พูดออกมาอย่างน่าสงสารว่า “คุณชายเจ้าคะ ท่านคงไม่รังเกียจหมิงเยวี่ยที่กินเก่งไป จนไม่ต้องการหมิงเยวี่ยแล้วกระมัง? แต่มันหิวจริงๆ เจ้าค่ะ เลวร้ายที่สุดภายหลังข้าจะกินให้น้อยลงหน่อย…จะพยายามควบคุมตัวเองสุดความสามารถดีหรือไม่”
หลี่มู่คร่ำครวญอย่างไร้เรี่ยวแรงเล็กน้อย “เอาเถอะๆ ก็แค่งูตัวหนึ่งเท่านั้น…ตอนนี้ที่ครัวมีอะไรกินบ้าง ทำอะไรง่ายๆ มาให้ข้ากินหน่อย เติมท้องกันก่อน”
หมิงเยวี่ยโห่ร้องขึ้นมา “คุณชายจงเจริญหมื่นปี”
เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา
ในโถงข้างส่วนหน้าของที่ว่าการ หลี่มู่กินอาหารหมดทั้งโต๊ะราวกับพายุพัดกวาดเมฆ ถึงจะรู้สึกสบายดีขึ้นมาบ้าง
เขาตบๆ ท้องอย่างพึงพอใจ แล้วลุกขึ้นมุ่งหน้ากลับไปห้องฝึกยุทธ์อีกครั้ง
หลังจากอ่านตำราเคล็ดวิชาเหล่านั้น ในสมองของหลี่มู่มีความคิดมากมายที่ต้องทดสอบ
เด็กชายผู้รับใช้บัณฑิตชิงเฟิงมองดูแวบหนึ่งด้วยสีหน้าไม่มีทางเลือก รีบไปดึงแขนเสื้อหลี่มู่เอาไว้
“หืม? ยังมีเรื่องอะไรอีก?” หลี่มู่มองกลับไปที่เขา
ชิงเฟิงแสดงสีหน้าไม่ได้ดั่งใจ ตักเตือนทักท้วงด้วยเจตนาดี “คุณชาย ท่านไม่ได้ทำงานราชการในที่ว่าการมาเป็นเวลานานแล้ว ยังมีงานราชการอีกมากมายที่ท่านต้องจัดการด้วยตนเองนะขอรับ…ถ้าหากยังเป็นเช่นนี้ ทั้งอำเภอขาวพิสุทธิ์คงจะรู้จักแต่นายทะเบียน ไม่รู้จักขุนนางเมืองอีกต่อไป”
นี่เป็นความกังวลในใจของเด็กชาย
ตั้งแต่เขามาเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ เขาเห็นคุณชายของตนค่อยๆ ถดถอยจากการเป็นเหวินจิ้นซื่ออายุน้อยที่สุดในอาณาจักรซึ่งมีอนาคตอันสดใส กลายเป็นจอมยุทธ์ผู้โง่เขลาคนหนึ่งที่รู้จักแต่การตีรันฟันแทง ชอบฝึกฝนวรยุทธ์ก็เอาเถอะ ไม่ว่าดีหรือร้ายก็ทำให้ร่างกายแข็งแรงได้ แต่ปัญหาคือในฐานะขุนนางเมือง หลี่มู่ไม่อาจเอาแต่เพิกเฉยต่อเขตการปกครองและละทิ้งหน้าที่ไปได้
หากเป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่แน่ว่าคุณชายอาจธาตุไฟเข้าแทรก จากนั้นก็จะเป็นเช่นขุนนางเมืองคนก่อน เสียสติจนลาออกจากตำแหน่งราชการ แล้วเข้าป่าลึกมุ่งฝึกฝนวิถีเซียน?
ต้องทำให้คุณชายตระหนักถึงความผิดพลาดของตนเองให้ได้
ชิงเฟิงวิตกกังวล ลึกๆ รู้สึกว่าหน้าที่ที่ตนรับผิดชอบช่างใหญ่หลวงนัก
หลี่มู่ได้ยินดังนั้นก็ครุ่นคิด แล้วพยักหน้าพูดว่า “ที่เจ้าพูดก็ถูก เอาอย่างนี้แล้วกัน ต่อไปเรื่องงานราชการในอำเภอไม่อาจให้เฝิงหยวนซิงผูกขาดแต่เพียงผู้เดียว” เมื่อได้ยินอย่างนี้ ชิงเฟิงก็รู้สึกยินดี คิดว่าในที่สุดเจ้านายก็ฟังความจริงที่เสียดหูของตนแล้ว ใครจะรู้หลี่มู่กลับพูดต่อว่า “เอาอย่างนี้ งานราชการต่อจากนี้เจ้าก็ไปตรวจตราสักหน่อย หารือร่วมตัดสินใจกับเฝิงหยวนซิงด้วยแล้วกัน”
ชิงเฟิงพลันหน้ามืด รู้สึกคล้ายจะเป็นลม
พูดไปมากมาย ทำไมเหมือนสีซอให้ควายฟังเช่นนี้
“คุณชาย ข้าไม่ได้หมายความแบบนี้…” เขากำลังจะอธิบาย
ร่างของหลี่มู่โบยบินจากไปอย่างรวดเร็ว หายลับไปตรงหัวมุมที่อยู่ไกลๆ เข้าไปฝึกวรยุทธ์ในห้องฝึกแล้ว
“เฮ้อ” สหายตัวน้อยถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
“คุณชายเปลี่ยนไปแล้ว” เขาลูบขมับอย่างกับผู้ใหญ่
“นั่นสิ” หมิงเยวี่ยที่รู้สึกเช่นเดียวกันพยักหน้า เอ่ยว่า “เป็นปกติมากขึ้นเรื่อยๆ”
“เจ้า…” ชิงเฟิงจ้องเขม็ง ยิ่งผิดปกติมากขึ้นทุกทีมากกว่ากระมัง?
ขณะพูดคุยกัน เฝิงหยวนซิงที่เหงื่อท่วมหน้ารีบร้อนเดินเข้ามา ผ่านเสียงประกาศจนมาถึงห้องโถง ทันทีที่เข้าประตูมาเขาก็พูดว่า “ใต้เท้า เกิดเรื่องอีกแล้ว…หืม? ได้ยินว่าใต้เท้าออกมาจากการเก็บตัวฝึกฝนแล้วมิใช่หรือ? อยู่ที่ใดล่ะ?”
“เจ้ามาช้าไป คุณชายกลับไปเก็บตัวอีกแล้ว” หมิงเยวี่ยกล่าวพร้อมยิ้มระรื่น
“ทำไมเร็วเช่นนี้?” สีหน้าเฝิงหยวนซิงแย่ลงทันใด “จะทำเช่นไรดี?”
“ใต้เท้าเฝิง เกิดอะไรขึ้น?” เด็กชายรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงเงยหน้าขึ้นมาถาม
“ในอำเภอเมืองมีคนในยุทธภพก่อเรื่อง คนสร้างเรื่องคือคนสำนักเขี้ยวพยัคฆ์และพรรคมังกรฟ้า ตายตกไปแล้วหลายคน ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายรวมไพร่พล ได้ยินว่ากำลังจะต่อสู้เป็นครั้งที่สอง เกรงว่าถึงเวลานั้นจะเกิดการนองเลือดครั้งใหญ่อีกครั้ง ทั้งอำเภอเมืองจะอลหม่านวุ่นวายไปหมด” เฝิงหยวนซิงถูมือพลางตอบ
เด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงได้ยินดังนั้นก็นวดขมับครุ่นคิดอยู่สักครู่ แล้วเอ่ยว่า “อืม รับมือยากเล็กน้อยจริงๆ สำนักเขี้ยวพยัคฆ์และพรรคมังกรฟ้าล้วนเป็นสำนักใหญ่ในแถบตะวันตกเฉียงเหนือที่ก่อตั้งมาเกินหกสิบปี แม้ว่าพวกเขาจะไม่ทรงอำนาจเช่นพรรคจันทราโลหิต แต่คราวนี้มีความคิดที่จะเข้าสู่การจัดอันดับสำนักเช่นกัน ในสำนักมียอดฝีมือไม่น้อย อิทธิพลยากที่จะรับมือ แต่ละฝ่ายมีความเคียดแค้นฝังลึกกันมาก่อน หากก่อเรื่องในเมืองคงเป็นหายนะจริงๆ…การต่อสู้ก่อนหน้านี้ของพวกเขากระทบถึงพลเรือนหรือไม่?”
สหายตัวน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงครุ่นคิดลึกซึ้ง ทำตัวราวกับเป็นผู้ใหญ่
เฝิงหยวนซิงรู้สึกเหมือนเผชิญกับขุนนางขั้นที่สูงกว่า จึงตอบโดยไม่รู้ตัวว่า “คนเสียชีวิตและบาดเจ็บไม่มาก มีพวกอันธพาลใจกล้าหลายคนบาดเจ็บเล็กน้อยเพราะมุงดูการต่อสู้ ทว่ายามนี้ผู้คนในอำเภอเมืองต่างตื่นกลัว พรรคและสำนักทั้งสองยิ่งกำเริบเสิบสาน ต้องการจะชโลมเลือดอีกฝ่าย หนำซ้ำสถานที่นัดต่อสู้ก็อยู่ในเมือง…หลายปีที่ผ่านมา คนในยุทธภพยิ่งวางอำนาจบาตรใหญ่ขึ้นทุกที”
…………………………