จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 34 ขุนนางเมืองหลี่หนีไปไกลแล้ว?
หนุ่มมังกรเงินยิ้มเย็น กล่าวขัดทันทีอย่างเย็นชาและโหดเหี้ยม “ข้าไม่อยากได้ยินข้อแก้ตัวของมดปลวกเช่นเจ้า ข้าแค่ต้องการจะบอกเจ้าว่าในโลกใบนี้ ไม่ว่าใครล้วนต้องได้รับผลจากการกระทำและถ้อยคำของตน จากประโยคเมื่อสักครู่นี้ของเจ้า ข้ากุดแขนเจ้าข้างหนึ่งตอนนี้ก็ไม่นับว่าเกินเหตุ…ใครก็ได้ สะบั้นแขนขวาของมัน”
ชายหนุ่มมีหนวดเคราพลันหน้าเปลี่ยนสี พยายามขัดขืนและถอยหนี “เจ้า…นี่มันจะเกินไปแล้ว ข้าแค่…”
ศิษย์สองคนของพรรคมังกรฟ้าชักกระบี่คมพลางก้าวไปหาชายหนุ่ม
“จงจำไว้ ชายที่ตัดแขนของเจ้าวันนี้คือฉินหย่ง ศิษย์เอกในความดูแลของ ‘หนึ่งกระบี่มังกรฟ้า’ ผู้คุมกฎซ้ายพรรคมังกรฟ้า” หนุ่มมังกรเงินผู้นั้นกล่าวเน้นทีละคำ “ถ้าเจ้ารับไม่ได้ วันหน้าข้ายินดีให้มาล้างแค้นได้ทุกเมื่อ”
ผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหลายต่างเปลี่ยนสีหน้า
ช่างโหดเหี้ยมนัก
เพียงแค่พูดไปตามปากสั้นๆ ว่าเห็นดีกับสำนักเขี้ยวพยัคฆ์มากกว่า ยังมิได้พาดพิงถึงพรรคมังกรฟ้าแม้แต่น้อย ยังถึงกับต้องตัดแขนคน…คนของพรรคมังกรฟ้าผู้นี้จะวางอำนาจบาตรใหญ่เกินไปแล้ว
แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าก้าวออกไปพูดในสิ่งที่ชอบธรรม
เหล่าบุรุษจอมยุทธ์ที่ก่อนหน้านี้พูดคุยออกรสกับหนุ่มไว้หนวดเครา กลับถอยไปหลบอยู่ห่างๆ เป็นสิ่งแรก ไม่กล้าเอ่ยถ้อยคำเกลี้ยกล่อมสักประโยค
เจ้าของแผงร้านน้ำชาเป็นชายชราคนท้องถิ่นในอำเภอขาวพิสุทธิ์ ตั้งร้านชาบนถนนสายนี้มานานยี่สิบกว่าปีแล้ว เขาขึ้นชื่อว่าเป็นคนมีจิตใจดีงามในละแวกเพื่อนบ้าน เมื่อชายชราเห็นชายหนุ่มผู้มีหนวดเคราตื่นกลัวและสิ้นหวัง ก็อดไม่ได้คิดถึงลูกชายคนเดียวที่ถูกพรรคเสินหนงสังหารโหดและจากไปก่อนวัยอันควร ขณะนั้นความอดทนหมดไป ชายชราไม่สนใจภรรยาที่พยายามรั้งตัวเขาเอาไว้สุดชีวิต พลันลุกขึ้นเข้าขัดขวาง กล่าวด้วยใบหน้าฝืนยิ้ม “จอมกระบี่ฉินท่านนี้โปรดฟังชายชราอย่างข้าก่อน หนุ่มคนนี้พูดจาไม่รู้จักกาละเทศะ ไม่ได้ตั้งใจที่จะล่วงเกิน อีกทั้งเขาก็ถูกพวกท่านทำร้ายจนบาดเจ็บแล้ว ครั้งนี้พวกท่านปล่อยเขาไปเถิด จากนี้ไปเขาคงไม่กล้าทำอีก…”
ศิษย์สองคนของพรรคมังกรฟ้าหยุดและหันมองฉินหย่ง
ดวงตาของฉินหย่งมองมาที่เจ้าของร้านน้ำชา ถามด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านลุง ท่านคือ…”
“ผู้เฒ่าเป็นชาวบ้านธรรมดาในอำเภอเมือง ตั้งร้านน้ำชาที่นี่มานานกว่ายี่สิบปี และไม่ใช่คนมีวรยุทธ์สูงส่งอะไร…จอมกระบี่ฉิน ท่านผู้ยิ่งใหญ่ควรใจกว้าง หากผ่อนปรนได้ก็ผ่อนปรน คราวนี้ไม่สู้ท่านปล่อยเขาไปเถิด” ชายชราเจ้าของร้านใบหน้าประดับรอยยิ้มกว้าง พลางโค้งตัวลงประสานมือเอ่ย
ผัวะ!
เสียงตบหน้าดังกังวานขึ้น
ชายชราเจ้าของร้านน้ำชากระเด็นออกไปปะทะกำแพงอย่างแรง ก่อนจะล้มลงแน่นิ่งไปตรงขอบร้านน้ำชาที่ระเกะระกะ เลือดสีแดงใต้ร่างไหลออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อเป็นแอ่งเลือดขนาดย่อม…
ชายชราธรรมดาจะทนต่อฝ่ามือของจอมยุทธ์ยอดฝีมือได้อย่างไร?
ไม่มีใครคาดคิดว่าฉินหย่งผู้ซึ่งมีใบหน้ารื่นรมย์ในชั่วอึดใจก่อน จู่ๆ จะลงมืออย่างโหดเหี้ยม “ไม่นะ…ตาเฒ่า…” หญิงชรานิ่งตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยร้องครวญอย่างโศกเศร้าสิ้นหวัง แล้วพุ่งเข้าไปประคองชายชรา เมื่อพลิกกายมาก็เห็นใบหน้าที่บวมเป่งจนไม่เหมือนคน เลือดไหลออกมาจากปากและจมูก สีหน้าของหญิงชราตื่นตระหนกและไร้ที่พึงพิง หยาดน้ำตาไหลพรั่งพรู
หนุ่มมังกรเงินฉินหย่งหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาเช็ดมือ พูดเรียบๆ ว่า “ตาแก่บ้านนอกกล้าสอดมือยุ่งเรื่องในยุทธภพ รนหาที่ตาย”
เวลานี้ ชายหนุ่มมีเคราพลันมีปฏิกิริยาตอบสนอง เมื่อเห็นว่าชายชราติดร่างแหเพราะตัวเขาเอง เขาทั้งกลัวและโกรธจัด เลือดเดือดพล่าน เขาไม่คำนึงถึงอาการบาดเจ็บ พยายามฝืนยืนขึ้นและตะโกนว่า “เศษสวะ เจ้ายังมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีหรือไม่…ข้าและเจ้า เรามาสู้กัน” ร่างของเขาพุ่งเข้าไปสังหารฉินหย่งดุจสายฟ้าแลบ
ทว่าชายหนุ่มเป็นเพียงผู้ฝึกไร้สังกัด ความแข็งแกร่งไม่เพียงพอ
ผลสุดท้ายคือถูกยอดฝีมือของพรรคมังกรฟ้าสะบั้นแขนขาดข้างหนึ่ง เลือดทะลักดุจสายน้ำ หมดสติลงที่ริมร้านน้ำชา
กลิ่นคาวเลือดฟุ้งกระจายในอากาศ
ผู้คนรอบๆ พลันหน้าเปลี่ยนสี
ฉินหย่งกวาดมองไปรอบๆ และยิ้มเอ่ยอย่างลำพองใจ “ผู้ต่อต้านพรรคมังกรฟ้าของข้า นี่คือจุดจบของพวกมัน จงจำไว้ให้ดี” กล่าวจบก็จากไปอย่างวางก้ามพร้อมกับศิษย์พรรคมังกรฟ้า
จวบจนยามนี้ เหล่าชาวบ้านในบริเวณนั้นจึงค่อยกล้าเข้ามาช่วยเหลือหญิงชราร้านน้ำชา
“ท่านป้าซ่งอย่าเพิ่งร้องไห้ พี่ใหญ่ซ่งยังไม่ตาย รีบส่งเขาไปโรงหมอถึงจะช่วยได้ทัน”
“ใช่ๆๆ ส่งเขาไปที่โรงหมอประจำเมืองเร็วเข้า ที่นั่นมีหมอมากฝีมือ นอกจากนี้ท่านหลี่ผู้ผดุงความยุติธรรมยังมีคำสั่งให้ผู้ยากไร้เข้ารักษาที่โรงหมอได้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย”
“ชายหนุ่มคนนี้ช่างน่าสงสารเช่นกัน หากไม่มีใครช่วยหยุดเลือดต้องตายแน่ พาไปด้วยกันเถิด”
ชาวบ้านในอำเภอเมืองล้วนซื่อสัตย์และมีเมตตา คนกลุ่มหนึ่งช่วยกันรื้อบานประตูมาทำเป็นเปลหาม ยกชายชราเจ้าของร้านน้ำชาและชายหนุ่มที่แขนขาดไปส่งโรงหมอในความดูแลของที่ว่าการอำเภอ
ห่างออกไปราวหกจั้ง ตรงทางเข้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง กลุ่มหนุ่มสาวที่สวมเสื้อผ้าสีขาวแบบนักกระบี่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใบหน้าพวกเขาต่างแสดงความไม่พอใจ
“ผู้อาวุโส พรรคมังกรฟ้าอหังการเช่นนี้ เมื่อครู่ทำไมท่านไม่ให้พวกเราช่วยผู้คนและสั่งสอนพวกมันเสียหน่อย”
“ถูกต้อง หรือว่าเราสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ยังต้องเกรงลิ่วล้อของพรรคมังกรฟ้าพวกนี้?”
เหล่านักกระบี่รุ่นเยาว์แค้นเคืองต่อความไม่ชอบธรรม
ภายในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ข้างโต๊ะสี่เหลี่ยมมีชายชราในชุดคลุมสีขาวราวหิมะนั่งอยู่ผู้หนึ่ง
ผมของเขาเป็นสีเทา คิ้วยาวหางตก ใบหน้านิ่งสงบ ด้านหลังสะพายกระบี่โบราณที่อยู่ในฝักลายต้นสน เขากำลังใช้ตะเกียบคีบถั่วลิสงในจานทีละเม็ดอย่างระมัดระวัง เอ่ยเรียบๆ โดยไม่หันมาว่า “ครั้งนี้เราลงเขามาทำภารกิจสำคัญ ไม่ใช่เพื่อยุ่งเกี่ยวเรื่องในยุทธภพ”
ตรงข้ามกับชายชราผู้สะพายกระบี่มีชายชราในวัยเดียวกันอีกคน เขาสวมผ้าโพกหัว ใส่เสื้อแขนกว้างทำจากผ้าฝ้าย แต่งกายอย่างขุนนางนอกระบบราชการที่มีอันจะกิน ทว่าไม่ดึงดูดความสนใจ แต่ถ้าคนมีชื่อเสียงระดับกลางและสูงในอำเภอขาวพิสุทธิ์อยู่ที่นี่ด้วย เพียงสังเกตโดยละเอียด พวกเขาจะต้องตื่นตกใจและจำได้ว่าชายชราผู้นี้คือโจวเจิ้นไห่ ผู้อาวุโสของตระกูลโจวที่หายสาบสูญไประยะเวลาหนึ่ง
ไม่มีใครคาดคิดว่าหัวหน้าตระกูลโจวผู้เป็นคนร้ายที่ทางการต้องการตัวจะกลับมาที่เขตอำเภอเมืองอีกครั้งในสถานการณ์เช่นนี้
“ไม่ผิด ถ้าพวกเจ้าเข้าขัดขวาง ผู้คนมากมายจะคิดว่าสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์เป็นพันธมิตรกับสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ และสำนักเราจะถูกบีบให้เข้าไปพัวพันกับเรื่องราวในยุทธภพทันที เมื่อถึงเวลานั้น คนจากโถงคุมกฎต้องถามหาความรับผิดชอบจากพวกเจ้าเป็นแน่ ผู้อาวุโสโจวทำเช่นนี้ก็เพื่อพวกเจ้า” โจวเจิ้นไห่แย้มยิ้ม อธิบายกับเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ที่กำลังเจ็บแค้นกับความไม่เป็นธรรม
เขาคิดว่าตนอายุมากแล้ว มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ต่อเรื่องทางโลก เรื่องมากมายเพียงคิดก็รู้ส่วนได้ส่วนเสีย การคิดพิจารณาก็ถี่ถ้วนกว่าเด็กเมื่อวานซืนพวกนี้ อีกทั้งเบื้องหน้าคือ ‘กระบี่โบราณผมขาว’ โจวเจิ้นเยวี่ย ญาติผู้น้องของเขาซึ่งเป็นผู้อาวุโสนอกประจำสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ น้ำเสียงที่เอ่ยจึงวางอำนาจเล็กน้อย
ใครจะรู้ว่าศิษย์รุ่นเยาว์เลือดร้อนเหล่านี้ไม่เชื่อถือคำพูดเขาสักนิด
“จิ๊ เข้าไปพัวพันแล้วอย่างไร? หรือว่าสำนักกระบี่เราไม่ใช่สำนักในยุทธจักร? ยังต้องกลัวพวกมันอีก?”
“ใช่แล้ว กลุ่มเล็กๆ อย่างพรรคมังกรฟ้าและสำนักเขี้ยวพยัคฆ์จะมาเทียบกับสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ของเราได้อย่างไร? พวกมันก่อเรื่องก่อราวที่นี่ หลงลืมไปว่าตัวเองแซ่อะไร จากความเห็นของข้าควรจะสั่งสอนกันสักหน่อย ให้พวกมันเข้าใจว่าในขอบเขตเมืองฉางอัน สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ต่างหากที่เป็นใหญ่”
“ฮ่าๆ อย่าใช้ความคิดพ่อค้ามาตีความเรื่องสำนักในยุทธภพของเราเลย”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ไม่กล้าขัดคำสั่งของผู้อาวุโสโจวเจิ้นเยวี่ย แต่กลับไม่ไว้หน้าโจวเจิ้นไห่แม้แต่น้อย เอ่ยวิจารณ์พลางเยาะหยัน ทำเอาโจวเจิ้นไห่ใบหน้าสลับสีแดงและเขียว กระดากอายและโกรธกริ้ว แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ต่างมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อโจวเจิ้นไห่
เหตุผลส่วนใหญ่เป็นเพราะนับตั้งแต่เข้าเมืองมา ในเวลาสั้นๆ ไม่ถึงครึ่งวัน พวกเขาก็ได้ยินเรื่องเลวร้ายที่สกุลโจววางอำนาจบาตรใหญ่และฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาในอำเภอขาวพิสุทธิ์มาไม่น้อย ทั้งยังได้ยินคำชื่นชมมากมายเกี่ยวกับความเป็นธรรมและเห็นอกเห็นใจประชาชนของขุนนางเมืองหลี่มู่ สิ่งนี้แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากที่โจวเจิ้นไห่ด่าว่าหลี่มู่โหดร้ายทารุณกดขี่ผู้คนตอนอยู่สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์
ถ้าไม่ใช่เพราะความน่าเกรงขามของผู้อาวุโสโจวเจิ้นเยวี่ย พวกเขาคงจะจากไปนานแล้ว ไหนเลยจะยังอยู่เพื่อล้างแค้นให้สกุลโจว
“พี่ใหญ่ นี่…” โจวเจิ้นไห่มีสีหน้าปั้นยากเล็กน้อย
โจวเจิ้นเยวี่ยซึ่งสะพายกระบี่โบราณในฝักลายสนกินถั่วลิสงบนจานตรงหน้าเสร็จแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ มองไปทางที่ว่าการที่ด้านบนของเมืองภูเขา พูดว่า “ไม่ต้องรีบร้อน จงเฝ้าดูฝนฟ้าเอาไว้”
…….
ฉินหย่งยอดฝีมือระดับมังกรเงินของพรรคมังกรฟ้าทำร้ายชาวบ้านในเมือง ตัดแขนของชายหนุ่มจากสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ ข่าวเรื่องนี้แพร่สะพัดไปทั่วอย่างรวดเร็ว
เรื่องนี้เป็นดั่งกังหันตรวจทิศลม
ผู้คนมากมายต่างรอดูปฏิกิริยาของสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ต่อเหตุการณ์นี้ อีกทั้งยังอยากเห็นปฏิกิริยาของขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ที่ไม่ปรากฏตัวผู้นั้น ไม่กล่าวถึงสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ พูดถึงแค่ขุนนางเมือง จากข่าวลือต่างๆ เขาเป็นคนที่รักประชาชนอย่างลึกซึ้งและมีนิสัยหุนหันพลันแล่น หากเรื่องนี้ถึงหูเขา เกรงว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่ตอบสนองกระมัง?
อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน ดูเหมือนว่าจะไม่มีความเคลื่อนไหวใดจากทางอำเภอ
ถึงแม้โรงหมอของทางการรักษาลุงเจ้าของร้านน้ำชาที่ได้รับความเดือดร้อน พร้อมกับรักษาชายหนุ่มที่โดนตัดแขนแล้ว แต่ก็มีข่าวที่เชื่อถือได้เล่าว่าเรื่องนี้ถูกรายงานไปยังทางอำเภอเรียบร้อย ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ ทางที่ว่าการดูเหมือนจะไม่มีความเห็นใดๆ กลับมา แม้แต่การประณามพรรคมังกรฟ้าเป็นเชิงสัญลักษณ์ก็ไม่มีให้เห็น ยังรักษาท่าทีสงบราวกับคนตาย
สำหรับตัวขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ซึ่งอยู่ใจกลางของวังวนนี้ ยิ่งไม่มีร่องรอยของเขาปรากฏ
ขลาดกลัวแล้วหรือ?
คนในยุทธภพได้ข้อสรุปเช่นนี้
หลังจากนั้น จอมยุทธ์ที่เข้ามาในอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์ซึ่งเคยเกรงกลัวอำนาจของทางการก็เปลี่ยนมาโอหังมากขึ้นเรื่อยๆ สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้คน แม้แต่คนที่มีฐานะร่ำรวยบางคนก็ถูกปล้นชิง ซ้ำยังมีเรื่องบังคับขืนใจสตรีเกิดขึ้น ทำให้ชาวอำเภอเมืองต้องทุกข์ทรมานอย่างมาก
ในวันที่สาม ประชาชนในเมืองจำนวนมากเลือกผู้อาวุโสและผู้แทนที่มีคุณธรรมประมาณหลายร้อยคนเดินทางไปยังที่ว่าการเพื่อร่วมกันร้องทุกข์ หวังว่าใต้เท้าผู้ผดุงความยุติธรรมจะปรากฏตัวออกมาและหยุดยั้งคนในยุทธภพที่ไม่เกรงกลัวกฎหมาย แต่ผลสุดท้ายกลายเป็นว่าตัวแทนของชาวบ้านเหล่านี้ไม่ได้พบหลี่มู่ ต้องกลับไปด้วยความผิดหวัง
สัญญาณต่างๆ แสดงให้เห็นว่าหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมา ใต้เท้าหนุ่มผู้ทำลายพรรคเสินหนงด้วยตัวคนเดียวเหมือนจะหวาดกลัวแล้วจริงๆ จึงซ่อนตัวอยู่เรือนหลังที่ว่าการ ไม่กล้าปรากฏตัวออกมา
กระทั่งมีบางข่าวลือเล่าว่าขุนนางเมืองหนุ่มน้อยรู้ตัวว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของ ‘จอมมารจันทราโลหิต’ อีกทั้งยังหวาดกลัวในใจ ความจริงใช้กลยุทธ์จักจั่นลอกคราบ อาศัยช่วงชุลมุนที่คนดีชั่วปะปนกันหนีไปแล้วตั้งแต่ต้น
คำเล่าลือต่างๆ นานาโหมกระพือ แพร่สะพัดไปทั่วเขตคาม
……………………………….