จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 35 หลักการลึกล้ำในกระบวนท่าที่สอง
ในสายตาของทุกฝ่าย หลี่มู่กลายเป็นตัวตลกไปแล้ว
เหล่าชาวเมืองจากที่เคยคาดหวังในตอนต้น มาสิ้นหวังในภายหลัง ท้ายที่สุดก็ทำได้แค่ยอมรับชะตากรรม
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้คนในอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์ถูกกดขี่ข่มเหงจากขุนนางกังฉินทุจริต ตอนนี้พวกเขายังถูกคนในยุทธภพรังแกอีก ชะตากรรมช่างน่าขมขื่น เหมือนอยู่ในค่ำคืนที่ผ่านไปอย่างช้าๆ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เห็นแสงสว่างสักเสี้ยวหนึ่ง ทว่ากลับจมอยู่ในความมืดมิดที่ลึกล้ำยิ่งกว่าไปเสียแล้ว
…….
ในห้องฝึกยุทธ์ เรือนพักด้านหลังที่ว่าการอำเภอ
หลี่มู่ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นภายนอก
เขาหมกหมุ่นอยู่กับการฝึกศิลปะการต่อสู้
หลี่มู่ฝึกฝนเคล็ดวิชาต่อสู้หลายสิบเล่มที่ได้มาจากหลี่ปิงและพวกไปแล้วรอบหนึ่ง
แต่เขาก็ต้องผิดหวัง ไม่ว่าวิชาบำรุงปราณกำหนดลมหายใจ เคล็ดฝึกลมปราณ หรือกระทั่งวิธีฝึกกำลังภายในระดับเก้าอีกหลายเล่ม ทั้งหมดล้วนไร้ผลต่อตัวเขา ไม่สามารถช่วยเขาเปิดประตูปราณหรือรู้สึกถึงกำลังภายในใดๆ
ทำให้หลี่มู่สรุปในใจได้ว่า วิชาต่อสู้ระดับเก้าอาจไม่สามารถช่วยให้เขาควบคุมกำลังภายในได้จริงๆ
เขาครุ่นคิดไปมา จะต้องหาวิธีฝึกกำลังภายในที่ระดับสูงกว่านี้มาลองดูอีกขั้น ในส่วนของวิชาอื่นๆ เช่นย่างก้าวอสุนี เพลงดาบมือซ้าย และดาบสะบั้นหยก เขากลับฝึกฝนได้สำเร็จครบถ้วน
ไม่รู้ว่าเพราะหลี่มู่ฝึกฝนวิชาเซียนอย่างพลังก่อนกำเนิดและหมัดยุทธ์แท้ทั้งสองอย่างหรือไม่ เขาถึงสามารถฝึกทักษะการต่อสู้ทั่วไปเหล่านี้ได้รวดเร็วยิ่ง โดยพื้นฐานแล้วพอลงมือฝึกก็จะคล่องแคล่วได้เร็วยิ่ง และหลังจากทบทวนอีกสองสามครั้ง จะรู้สึกได้ถึงข้อบกพร่องและช่องโหว่ของวิชาระดับต่ำเหล่านี้อย่างชัดเจน
หลี่มู่ใช้เวลาทั้งวันเพื่อลดความซับซ้อนของ ‘เพลงดาบมือซ้าย’ และ ‘ดาบสะบั้นหยก’ จากนั้นรวมเคล็ดวิชาเข้าด้วยกัน แล้วผสมผสานเข้าใน ‘หกดาบวายุเมฆา’ ที่เขาคิดค้นขึ้นจาก ‘เพลงดาบลมกระโชกสามสิบหกกระบวนท่า’ ก่อนหน้านี้
ถ้าจะกล่าวให้ถูกต้อง ควรเป็นการผสานเข้าในสองดาบแรกของ ‘หกดาบวายุเมฆา’
เพราะยิ่งสัมผัสวิชาการต่อสู้มากขึ้น หลี่มู่จึงยิ่งมีความคิดในหัวมากกว่าเดิม
หากจะกล่าวเกินจริงเล็กน้อย องค์ความรู้และความเข้าใจด้านยุทธ์ของหลี่มู่เติบโตอย่างบ้าคลั่ง เมื่อมองย้อนกลับไปทบทวน ‘หกดาบวายุเมฆา’ ซึ่งตนสร้างขึ้น หลี่มู่จึงพบว่าวิชาดาบที่ลดลงจนง่ายแสนง่ายแล้วในความคิดตน ที่แท้ยังมีที่ว่างและหนทางให้บีบอัดทำให้ง่ายมากขึ้นอีก
ในหกดาบวายุเมฆา สองดาบแรกถูกตัดในแนวนอน
หลี่มู่ตั้งชื่อว่า ‘ชักดาบสะบั้น’ และ ‘ตัดอสุนี’
ในขณะเดียวกัน วิชาท่าเท้า ‘ย่างก้าวอสุนี’ ซึ่งสนับสนุนการโจมตีรุนแรง เขาก็เก็บแต่แก่นไว้ ทำให้เรียบง่าย และลดให้เหลือท่าเท้าสองแบบ จากนั้นผสานรวมเข้ากับดาบสองเล่มแรกของหกดาบวายุเมฆา
ภายใต้การทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลี่มู่พอใจกับพลังของดาบทั้งสองนี้มาก
หากเขาเชี่ยวชาญวิชาดาบทั้งสองในวันที่เข้าโจมตีฐานที่มั่นพรรคเสินหนง จะไม่มีใครต่อกรกับเขาได้อย่างแน่นอน โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาพละกำลังเหนือมนุษย์ใดๆ
สำหรับ ‘วิชาเหล็กกล้า’ วิชาฝึกกายเล่มสุดท้ายที่ยึดมาจากหลี่ปิง หลี่มู่ทิ้งมันไว้ไม่ฝึกฝน เพราะเมื่อเทียบกันแล้ว ความแตกต่างระหว่างวิชาฝึกกายนี้กับ ‘หมัดยุทธ์แท้’ ห่างกันหลายหมื่นปีแสง ไม่คุ้มค่ากับการเสียเวลา
หลังจากเก็บตัวฝึกตนหลายวันนี้ กวัดแกว่งดาบหลายหมื่นครั้ง ฝึกตัดอสุนีและชักดาบสะบั้นเข้าถึงแก่นจนกลายเป็นสัญชาตญาณของร่างกายแล้ว หลี่มู่รู้สึกรางๆ ได้ว่าเหมือนมีการเปลี่ยนแปลงที่ยอดเยี่ยมในร่างกายเขา คล้ายเกิดจากการสะสมมายาวนานจนไปถึงจุดสูงสุด การเปลี่ยนแปลงเชิงปริมาณจึงช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพขึ้น
หลี่มู่มองเห็นลู่ทางจึงกระจ่างแจ้ง และรังสรรค์ผลงานอันยอดเยี่ยมในห้วงความคิด เมื่อหยั่งรู้บางสิ่ง เขาก็เลิกฝึกดาบทันที ก่อนจะหันมาเริ่มฝึกฝนรูปแบบที่สองของ ‘หมัดยุทธ์แท้’
ก่อนหน้านี้หลี่มู่ฝึกจนได้ท่ากำลังขาตั้งต้นของ ‘หมัดยุทธ์แท้’ สำเร็จ สามารถสำแดง ‘ค้อนทะยานฟ้า’ กระบวนท่าแรกของหมัดยุทธ์แท้ได้อย่างราบรื่น แต่กระบวนท่าที่สอง ‘ลิ่มสวรรค์’ นั้นยากจะทำได้ กล้ามเนื้อและกระดูกของหลี่มู่ไม่สามารถทนความรู้สึกฉีกขาดจากการเคลื่อนไหว หากฝืนทำไปจะเจ็บปวดเกินบรรยาย เหมือนถูกมีดนับพันกรีดแทง
แต่คราวนี้เขาใช้กระบวนท่าที่สอง ‘ลิ่มสวรรค์’ แม้ว่ายังคงมีอาการบวมของกล้ามเนื้อเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อหดเกร็งอยู่ กลับไม่เจ็บปวดเหมือนเก่าก่อนอีก หลี่มู่กัดฟัน ฝืนออกกระบวนท่าจนครบรอบ เหงื่อไหลโซมทั่วทั้งกาย
ทว่าเขากลับเต็มไปด้วยพละกำลัง
เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกท่าการเคลื่อนไหวของ ‘ลิ่มสวรรค์’ ได้ครบถ้วน
เขาตระหนักได้ว่าโอกาสที่จะทำกระบวนท่าที่สองของ ‘หมัดยุทธ์แท้’ ให้สมบูรณ์มาถึงแล้ว
หลี่มู่กัดฟันแน่น เริ่มออกกระบวนท่าครั้งที่สอง
จากนั้นครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ ครั้งที่ห้า…
ความรู้สึกกล้ามเนื้อชาและบวมรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่ความเจ็บปวดดั่งหัวใจจะฉีกแยก ร่างของหลี่มู่คล้ายค่อยๆ สูญเสียการรับรู้ไป เขาอาศัยสัญชาตญาณของร่างกายออกท่าลิ่มสวรรค์ไม่หยุดหย่อน หยาดเหงื่อนับไม่ถ้วนไหลซึมออกจากรูขุมขน เหงื่อซ่กไปทั้งร่างเหมือนเพิ่งขึ้นมาจากน้ำ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร หลี่มู่พลันรู้สึกว่าร่างกายสั่นเทา
ตูม!
เสียงดังก้องสะท้อนอยู่ในหัวของหลี่มู่
ในชั่วพริบตา เขามีความรู้สึกว่าร่างกายเบาหวิวราวจะหลุดออกจากแรงดึงดูดของดาว พลิ้วสบายประหนึ่งจะกลายเป็นเซียน ช่างยอดเยี่ยมถึงขีดสุด ในขณะนั้นร่างกายที่เสียการรับรู้เหมือนกลับเข้าสู่น้ำคร่ำของมารดาอีกครั้ง ความรู้สึกอบอุ่นหลั่งไหลเข้ามา การควบคุมร่างกายกลับคืนมาทีละนิด
ในที่สุดก็เข้าใจกระบวนท่าที่สองของหมัดยุทธ์แท้ ‘ลิ่มสวรรค์’ อย่างถ่องแท้แล้ว
หลี่มู่หยุดลง รู้สึกเพียงปลอดโปร่งโล่งสบายไปทั้งตัว
เมื่อก้มลงมองถึงพบว่าผิวหนังถูกปกคลุมด้วยคราบสกปรกสีดำดุจยางมะตอย คราบทั้งหมดไหลออกมาจากรูขุมขน ส่งกลิ่นเหม็นออกมา เหมือนกับในครั้งแรกที่หลี่มู่ฝึกหมัดยุทธ์แท้กระบวนท่าค้อนทะยานฟ้าสำเร็จ ไม่จำเป็นต้องคาดเดาก็รู้ได้ เพราะลักษณะของการชำระล้างร่างกายหลังจากสำแดงหมัดยุทธ์แท้กระบวนท่าที่สอง ‘ลิ่มสวรรค์’ สำเร็จนั้นเหมือนกันทุกประการ
“สมรรถภาพทางกายพัฒนาขึ้นอีกครั้ง…”
หลี่มู่ทอดถอนใจ ในใจตื่นเต้นยิ่งนัก
การเพิ่มขึ้นของพลังไร้ขีดจำกัด
เนื่องจากไม่มีการเปรียบเทียบที่ชัดเจน หลี่มู่จึงไม่แน่ใจว่าพลังของเขาในตอนนี้น่ากลัวเพียงใด
เขามีความรู้สึกว่าเพียงยกมือก็สามารถพลิกภูเขาลูกหนึ่งได้
‘สำเร็จหมัดยุทธ์แท้กระบวนท่าแรก ‘ค้อนทะยานฟ้า’ แล้ว เข้าใจหลักการวิถียุทธ์ที่ว่า ‘หนักมากแต่เหมือนเบา’ แล้ว ไม่รู้ว่าจะมีหลักการลึกล้ำอะไรซ่อนอยู่ในกระบวนท่าที่สองลิ่มสวรรค์’
หลี่มู่หลับตาลง ทำความเข้าใจโดยละเอียด
ในไม่ช้า เขาก็ค้นพบบางสิ่ง
‘เหมือนน้ำหนักจะเบาลง…ไม่สิ ไม่ใช่น้ำหนักลดลง แต่เป็น…อาการตัวเบาตามหลักการวิถียุทธ์อย่างหนึ่ง?’
ดวงตาของหลี่มู่พลันเบิกกว้าง รู้สึกยินดีกับเรื่องที่เกินคาดคิด
เขารู้สึกว่าความลึกล้ำที่ซ่อนอยู่ใน ‘ค้อนทะยานฟ้า’ เป็นหลักการประเภทวิชาตัวเบา
ไม่น่าประหลาดใจ ก่อนหน้านี้ตอนที่จะข้ามผ่านช่วงสุดท้ายของกระบวนท่าที่สองไป ร่างกายพลันเกิดความรู้สึกประหลาดเหมือนหลุดออกจากแรงดึงดูดของดาว ที่แท้เป็นเพราะเหตุนี้เอง
หลี่มู่รับรู้โดยละเอียด ร่างกายขยับในฉับพลัน ปลายเท้าออกแรงเบาๆ
วูบ!
ฟิ้ว!
“อ๊าก…”
หลี่มู่ร้องลั่นออกมา ศีรษะกระแทกหลังคาห้องฝึกยุทธ์ ติดคาอยู่ในแผ่นหิน
เขาเพียงอยากกระโดดดูเล็กน้อย ลองใช้อานุภาพคร่าวๆ ของวิชาตัวเบานี้สักหน่อย ใครจะรู้ว่าเพียงพลังเล็กน้อย ร่างเขากลับทะยานออกไปอย่างไร้การควบคุมประดุจจรวด ทำให้หัวติดอยู่ในแผ่นกระเบื้องหินบนหลังคาจนเป็นรู คาอยู่ตรงนั้นเหมือนหัวผักกาดห้อยกลับหัว
เขาดิ้นรนสักครู่ ดึงหัวออกจากหลังคา ก่อนจะร่วงลงมาเบาหวิวเหมือนขนนก
“วิชาตัวเบานี่น่ากลัวนิดหน่อยแฮะ…”
ใบหน้าของหลี่มู่เต็มไปด้วยฝุ่นและเศษหิน เขาจุปากติดกันหลายครั้ง
พลังน่ากลัวยิ่งกว่าที่เขาจินตนาการไว้เสียอีก
“นอกเหนือจากวิชาตัวเบา ดูเหมือนมันจะเพิ่มความเร็วได้ด้วย…”
หลี่มู่ทำความเข้าใจอย่างถี่ถ้วน และค้นพบสิ่งใหม่อีกบางส่วน
เขาลองอีกครั้ง แผ่พลังไปใต้ฝ่าเท้า ร่างกายของเขาขยับไหวประดุจแสงสายฟ้าวาบผ่าน หายตัวไปจากจุดเดิม แล้วพลันปรากฏตัวไกลออกไปกว่าสองจั้งในพริบตา จากนั้น…
ปัง!
หลี่มู่ทิ้งรอยขนาดใหญ่ไว้บนผนัง เป็นรอยยุบรูปร่างคน
“บ้าเอ๊ย…”
เขาพยายามตะกายออกจากรอยยุบ ตาพร่าเหมือนเห็นดาวลอยวน
ฝึกฝนจนกลายเป็นแบบนี้ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันเขาน่าจะเป็นคนแรก
วิชาตัวเบาตามหลักการวิถียุทธ์ที่แฝงอยู่ในท่า ‘ลิ่มสวรรค์’ ผลที่ออกมานั้นทรงพลังจนเกินไปจริงๆ หลี่มู่เพิ่งตระหนักรู้ได้ ยังไม่ทันตกตะกอนและทำความเข้าใจอย่างสมบูรณ์ เมื่อออกแรงหนักเกิน ตัวเองควบคุมไม่อยู่ จึงเกิดเรื่องน่าขันเช่นนี้ขึ้น
แต่ยิ่งเป็นอย่างนี้ กลับยิ่งทำให้หลี่มู่ตื่นเต้น
เพราะสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าอานุภาพของวิชาตัวเบาใน ‘ลิ่มสวรรค์’ ช่างน่าเหลือเชื่อโดยแท้
ถัดจากนั้น หลี่มู่ยังลองทำความเข้าใจพลังในแต่ละแบบของวิชาตัวเบาต่อ
เขาใช้เวลาครึ่งชั่วยามเต็มในห้องฝึกยุทธ์ กระแทกไปมาหลายครั้งจนเกิดหลุมจำนวนมากบนผนังและหลังคา ในที่สุดถึงพอจะกะแรงได้ ไม่ถึงขั้นใช้แรงมากเกินไปจนชนกำแพงอีก
แต่ในส่วนที่ว่าข้อจำกัดของวิชาตัวเบานี้อยู่ตรงไหน จะกระโดดไปไกลสองลี้ในรวดเดียวเหมือนยอดมนุษย์ได้หรือไม่ เนื่องด้วยพื้นที่ในห้องฝึกค่อนข้างคับแคบ หลี่มู่จึงยังไม่แน่ใจ เขาต้องทดสอบอีกครั้งในสภาพแวดล้อมที่โล่งกว้างกว่านี้
‘ฮ่าๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น วิชาตัวเบานี่เป็นท่ารักษาชีวิตอย่างแท้จริงเลย ซินแสเฒ่าเคยบอกว่าถ้าไม่สามารถต่อสู้ได้ก็ให้หลบหนี ตอนนี้เราไม่ต้องกังวลเรื่องหนีไม่พ้นแล้ว’
หลี่มู่อารมณ์ดีจนไม่อาจดีไปมากกว่านี้อีก
ตอนแรกเขายังกังวลอยู่บ้าง เนื่องจากสามเดือนข้างหน้าอาจตกอยู่ในอันตรายระหว่างการต่อสู้กับ ‘จอมมารจันทราโลหิต’ ทว่าขณะนี้เขาผ่อนคลายอย่างแท้จริง ถ้าเรื่องถึงที่สุดก็หนีซะ ในฐานะคนต่างโลก ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเกียรติยศ เพื่อความเป็นความตายของโลก ต่อให้เสียชื่อเสียงไปจะเทียบอะไรได้?
“ฮ่าๆๆ ใช่ เอาอย่างนี้แหละ เลวร้ายที่สุดก็หนีไปซะ”
หลี่มู่ปลื้มปีติมาก
โอ้อวดภูมิใจอยู่สักครู่ เขาก็กลับมาเคร่งขรึมทีละน้อย สงบจิตสงบใจลง
“ตอนนี้เราฝึกฝนทั้งกระบวนท่าที่หนึ่งและสองของ ‘หมัดยุทธ์แท้’ ได้แล้ว จะเกิดอะไรขึ้นถ้าออกท่าทั้งสองติดต่อกันทันที”
มีแสงสว่างวาบขึ้นในความคิด และเขาก็เริ่มทดลองทันที
ในไม่ช้า หลี่มู่ก็ตระหนักรู้ในสิ่งที่ต่างออกไป
ทั้งสองท่าเชื่อมประสาน มีผลที่ยอดเยี่ยมกว่าเดิมมาก
……………………………..